สายรุ้งบางเบาเบื้องหน้าปรากฏเมื่อแสงแดดยามเย็นหลังฝนคะนองซาเม็ดทำให้ทศรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งรถประจำทางคันย่อมที่เต็มไปด้วยคราบโคลนแล่นจากไปดวงตาของทศเบิกกว้างมองไปยังท้องทุ่งที่นี่คืออดีตทุ่งข้าวของพ่อกับแม่ที่เพิ่งหมดสิทธิ์การครอบครองไปพร้อมกับอายุขัยของคนเมื่อปีก่อนเขากลับมาที่นี่โดยมิได้เป็นเจ้าของทุ่งแห่งนี้ชายหนุ่มวัยเบญจเพศเพียงแค่อยากจะเห็นทุ่งนาที่เขาเคยแก้ผ้าวิ่งเล่นน้ำฝนเมื่อครั้งยังเยาว์แต่ตอนนี้ถ้าไม่นับเหล่าต้นหญ้าที่ชูก้านไสวออกดอกสวยสีขาวเต็มทุ่งกับบรรดานกนานาชนิดที่กำลังบินโฉบไปโฉบมาคล้ายรอเพื่อนบ้านกลับรังพร้อมๆ กันทุ่งแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปกับคูคลองที่เป็นที่อาศัยของกบเขียดหรือปลายามหน้าฝนน้ำเจิ่งอย่างนี้คืนนี้เขามีความคิดว่าจะพักในเมืองสักคืนเพราะบ่ายวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯยังมีงานที่เขาต้องทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง “ทศ กลับมาเมื่อไหร่ล่ะลูก” ภาพเมื่อสงกรานต์ 3 ปีก่อนปรากฎในมโนภาพของชายหนุ่มเขาสวมกอดหญิงชราที่แก่เกินอายุเพราะความตรากตรำท่อนแขนที่มีเพียงผิวหนังสากและเหี่ยวย่นแต่อบอุ่นด้วยความรักทศหยิบเงินจำนวนหนึ่งให้แม่ หญิงชราคะยั้นคะยอคืนเงินให้ลูกชายแต่ทศก็เดินเลี่ยงมาเสีย พ่อเดินออกมาจากหลังบ้านตบไหล่ทศเบา ๆ “กลับมาแล้วเหรอ นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าเอ็งอีกแล้ว” พ่อพูดไปไอไป หมอบอกว่าอาการไอของพ่อค่อนข้างรุนแรงถ้าไม่เลิกสูบยาบ้างจะแย่ แต่พ่อไม่ยอมเลิกสูบยา ใครก็ห้ามในสิ่งที่พ่อทำติดต่อกันมาเกือบชั่วชีวิตไม่ได้ถึงแม้ปกติพ่อก็สามวันดีสี่วันไข้อยู่แล้ว แต่พักนี้ก็ดูจะดีขึ้นเดินเหินไปไหนมาไหนได้ไม่เหมือนช่วงต้นปีที่ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะเดินขึ้นลงบ้านทศไม่คิดว่าคำพูดของพ่อจะเป็นจริงในสงกรานต์ปีต่อมาแล้วแม่ก็ตามพ่อไปอย่างที่ทศเองตั้งตัวไม่ติด “ไอ้ทศ มาก็ไม่บอกนะมึง แล้วมายืนตากลมตากฝนอะไรตรงนี้ว่ะ” ทศตื่นจากภวังค์ ภาพพ่อกับแม่เลือนหายไป ส่วนพวกพี่ ๆนั้นต่างแยกย้ายกันไปเหมือนตายขาดจากกันไปนานแล้ว ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนหนุ่มวัยเดียวกันแต่ถ้าเทียบกับทศแล้ว เปี๊ยกมีหุ่นล่ำสันบึกบึนกว่า เพราะทำงานตำบลใกล้กันได้เล่นกีฬาแทบทุกวัน ทั้งใบหน้าก็คมคายอย่างหนุ่มหน้าตาดี ผิวสีแทนตามธรรมชาติของหนุ่มชนบทส่วนทศเองก็เป็นหนุ่มที่มีร่างกายสมส่วนหน้าตาออกจะเกลี้ยงเกลากว่าเพราะได้ไปเรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังรุ่น ๆเพื่อนของทศขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่า ๆ ที่เปื้อนโคลนไปเกือบทั้งคันทศขึ้นซ้อนท้ายแล้วรถก็เคลื่อนกลับออกไปอีกฝากของถนน “ทำไมมาไม่บอกว่ะ” เปี๊ยกหันมาถามด้วยความสงสัย “ก็ไม่มีอะไรหรอก ไม่ได้ตั้งใจมาค้างมาธุระเรื่องงานในเมืองพอดีเสร็จเร็วกว่าที่คิด เลยอยากแวะมาดูบรรยากาศเก่า ๆ หน่อย” “ยังไงก็ค้างกับข้าสักคืนสิวะ พรุ่งนี้ค่อยกลับเดี๋ยวจะบอกแม่ข้าให้ทำแกงส้มปลาช่อนให้ต้อนรับเอ็งสักหน่อย” ชายหนุ่มพูดแล้วกลืนน้ำลายลงคอ “ดีเหมือนกัน ตอนแรกกะว่าจะเข้าเมือง นี่เขาจองห้องพักไว้ให้แล้วแต่ไม่เป็นไร พักกับเอ็งสักคืนก็ได้ จริง ๆ ก็คิดถึงเหมือนกัน” “โอ๊ย หนุ่ม ๆ อย่างเอ็งไม่ต้องมาคิดถงคิดถึงข้าหรอก ขนาดสาว ๆที่ข้าชอบ ๆ เขายังหนีข้าไปหมดแล้วเล้ย” เปี๊ยกทำหน้าเบ้ ยักไหล่ยึก ๆ มอเตอร์ไซค์ดับเครื่องลงที่หน้าบ้านไม้ชั้นเดียวยกพื้นหลังเล็ก ๆใต้ถุนบ้านก็แฉะจากฝนหนักเมื่อครู่ หน้าบ้านต่ำลงมานิดหน่อยมีลานไม้สำหรับนั่งเล่นหลังคาทุกส่วนก็มุงด้วยสังกะสีเก่า ๆ ภายในบ้านก็เป็นลานโล่ง มีหลังบ้านก็เป็นครัวกับที่อาบน้ำแล้วเลยไปหน่อยก็เป็นสุขาเล็ก ๆ ตามนโยบายของกรมอนามัย “แม่...แม่...ดูสิใครมา” ป้าพร้อมโผล่หน้ามา “ใครกันล่ะวะ อ้าว ไอ้ทศลูกนางแป้น มายังไงกันนี่” “สวัสดีจ๊ะป้า” ทศยกมือไหว้แม่ของเปี๊ยกด้วยความคุ้นเคย “เอ้า ๆ มา ๆ ขึ้นมาก่อน ไอ้เปี๊ยกหาน้ำหาท่าให้เพื่อนสิวะ นี่ ๆวันนี้มีผักเยอะเลย จะทำอะไรกินกันดีล่ะ” ป้าพร้อมถามพร้อมกับมองหน้าแขกผู้มาเยือนให้เห็นกับตาชัด ๆอีกทีว่าเป็นลูกนางแป้นเพื่อนของแกจริง ๆแกคิดในใจว่าทำไมมันกลายเป็นหนุ่มหล่ออย่างนี้เพิ่งเห็นมันวิ่งแก้ผ้าเล่นน้ำฝนอยู่เมื่อวันสองวันนี้เอง “โถ่...แม่ ก็ปลาช่อนในโอ่งที่จับได้เมื่อเช้าล่ะแม่เอามาทำแกงส้มต้อนรับเพื่อนผมหน่อยสิแม่” “เออ...ข้ารู้แล้วน่ะ ไม่ต้องมาสอนหรอกโว้ย” ป้าพร้อมเดินไปหลังบ้าน จัดแจงเอาปลาช่อนตัวเขื่องมาทำตามแบบฉบับรสแซบแม่พร้อมอาหารเย็นวันนั้นทำให้ทศรู้สึกอิ่มอย่างที่ไม่เคยได้รับจากอาหารมื้อใดในเมืองกรุงเหมือนเป็นอาหารที่ปรุงมาเพื่อคนในครอบครัว ท้องฟ้ายามค่ำคืนปรากฎดวงดาวใหญ่น้อยนับพันแข่งขันส่องสว่างพริบพราววิบวับเรียกร้องความสนใจจากชายหนุ่มทั้งสองแต่เสียงกบเขียดร้องหาคู่เพื่อผสมพันธุ์ตามธรรมชาติกลับได้รับความสนใจมากกว่ายิ่งกับเปี๊ยกด้วยแล้ว เขาหลงใหลในรสมือแม่ “ผัดเผ็ดกบ” กับแกล้มโอชะ “ถึงเวลาออกรบอีกแล้วโว้ย” เจ้าเปี๊ยกนุ่งกางเกงขาสั้นตัวเก่ง พาทศเดินท่อม ๆไปพร้อมกับอุปกรณ์ล่าเหยื่อ เสียงกบเขียดแม้จะก้องไปทั่วทุ่งแต่ก็ไม่พ้นความชำนาญของเจ้าเปี๊ยกไปได้ วิชาที่ถ่ายทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษและวิชานี้จะไม่มีวันหมดไปจนกว่าเหยื่อจะสูญพันธุ์ไปเสียก่อน ทศคิดถึงเมื่อหลายปีก่อนมันเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาออกมาล่าเหยื่อกับเจ้าเปี๊ยก หลังจากที่เป็นหนุ่มและเริ่มทำงานที่กรุงเทพฯแล้ว เขาก็ไม่เคยได้สนุกอย่างนี้อีกเลย สองหนุ่มสนุกสนานเหมือนวันเก่า ๆเมื่อวัยเด็ก เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าได้กบเขียดมาพอควรก่อนที่ฝนจะตกหนักลงมาอีกครั้งทำให้ต้องหยุดกิจกรรมสำหรับคืนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย “ซู่ ๆ โครม” หุ่นกำยำของเปี๊ยกมีเพียงกางเกงขาสั้นผ้าร่มตัวเล็กที่เปียกลู่น้ำปกปิดอยู่ทศมองหน้าร่างชายหนุ่มตรงหน้าใบหน้าหล่อคมของเพื่อนรักคนนี้ติดอยู่ในหัวใจของทศมานานแล้วโดยฝ่ายตรงข้ามไม่เคยรู้มาก่อนเลยกล้ามเนื้อทุกมัดของชายหนุ่มสะท้อนแสงไฟนีออนดวงน้อยเป็นมันวาวด้วยสายน้ำที่ชุ่มโชกเส้นผมตลอดไรขนทุกส่วนเปียกลู่เพิ่มความเซ็กซี่รวมไปถึงท่อนลำที่ขยายตัวตุงอยู่ในกางเกงจากการลูบไล้ทำความสะอาดด้วยฟองสบู่ “เฮ้ย..ทำยังกะไม่เคยอาบน้ำกับข้า แหนะ! มองอยู่ได้เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวข้าก็อัดวะป๊าบเลย” เปี๊ยกพูดเล่นไปโดยไม่ได้คิดอะไรเพราะเขาเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะทะลึ่งตึงตังแต่มีความจริงใจตามประสาหนุ่มชนบททศเองแม้ไม่เคยจะมีอะไรกับเพศเดียวกันแต่ในยามเขาปรารถนาที่จะกอดชายกำยำสักคนอย่างที่ภายในลึก ๆ เรียกร้องและอยากแบบที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง และเคยจินตนาการไปว่าถ้าได้ลองได้เริ่มก็จะขอลองกับเพื่อนซี้ที่ชื่อเปี๊ยกคนที่ยืนอาบน้ำต่อหน้าเขาในตอนนี้เปี๊ยกมองมายังเรือนร่างของทศ เพื่อเปรียบเทียบกับของตนแล้วก้มต่ำลงมองไปยังส่วนที่ตุงชี้ดันผ้าขาวม้าเปียกลู่น้ำที่ทศนุ่งอยู่ความรู้สึกแปลก ๆ เกิดขึ้นกับชายหนุ่มมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั้งที่ในวัยเยาว์ก็เคยแม้แต่เปลือยกายอาบน้ำถูสบู่ให้กันอย่างสนุกสนานบ่อยครั้ง “เฮ้ย! แค่นี้ถึงกับลุกเลยรึว่ะ อารมณ์ค้างมาจากไหน” “ก็เออสิ! หรือมึงไม่ลุก ดูสิของมึงผงกหัวหงึก ๆ” เปี๊ยกก้มลงไปดูของตัวเอง มันก็จริงดังที่ทศบอกนี่มันลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ความต้องการของชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ทั้งสองที่ถูกเก็บมาเนิ่นนานถูกปลุกเร้าด้วยบรรยากาศและเสียงเพรียกหาจากความเป็นหนุ่ม “กูขอลองหน่อยได้ไหมว่ะเปี๊ยก” “เฮ้ย! มึงไปเอาความคิดพวกนี้มาจากไหนว่ะ...สงสัยกรุงเทพฯจะทำให้คนมันกระหายไปหมด กูเห็นข่าวตามหนังสือพิมพ์บ่อย ๆกูอยากรู้นักว่ามันเป็นยังไงถึงได้ทำอย่างนั้นกันได้” เปี๊ยกเลี่ยงคำตอบทั้ง ๆ ที่ร่างกายกำลังเตรียมพร้อม “เอาน่า ตกลงมึงอยากลองหรือเปล่าล่ะวะ ถ้าอยากรู้นักก็ต้องลอง” เปี๊ยกไม่ตอบ ในใจนั้นเต้นระทึกเพราะความไม่เคย เขายังคงลังเลแต่แล้วหนุ่มแกร่งก็หลับตาลงแล้วควักท่อนลำขนาดน้อง ๆ ปลาช่อนที่กินไปเมื่อตอนเย็นโผล่ลอดขากางเกงออกมาทศก้มตัวลงสัมผัสมันด้วยริมฝีปากอย่างเบา อากาศเย็น ๆ ขณะฝนตกหนักอย่างนี้เมื่อท่อนลำโดนลิ้นอุ่น ๆ ของเพื่อนชายดุนไปมาในอุ้งปากเปี๊ยกถึงกับร้องครางซี้ดด้วยความเสียว “มึงไปเรียนมาจากไหนว่ะ...โอย...ซี้ด...โอย...เบา ๆ โว้ย” เปี๊ยกพึมพำแอ่นลำสาวเข้าออกช้า ๆผ่านไปไม่นานอาการเสียวซ่านก็ไม่สามารถจะหยุดความเร่งลงได้หนุ่มฉกรรจ์กระแทกท่อนลำเข้าปากชายหนุ่มที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ยั้งมือของทศบีบคลึงคลังอาวุธของเปี๊ยกเบา ๆ เพื่อเพิ่มความกระสันให้ทวียิ่งขึ้นไปอีกนิ้วชี้ที่ชุ่มโชกด้วยฟองสบู่เริ่มเปิดทางเข้าสู่ด้านหลังซึ่งเป็นจุดที่ซ้อนความเร้นลับแห่งประสาทสัมผัสไว้มากมายเกลียวกล้ามเนื้อของเปี๊ยกเกิดอาการเกร็ง เท้าทั้งสองเขย่งสุดแทบไม่ติดพื้น “โอย...ทศ...เอ็งเก่งว่ะ” ทศเร่งปากรัวลิ้นไปมาทั่วท่อนลำนิ้วที่สอดใส่ด้านหลังดันเข้าดึงออกเป็นจังหวะชายหนุ่มไม่สามารถทนได้อีกต่อไปกับการกระตุ้นที่ไม่เคยได้สัมผัสจากเพศเดียวกันมาก่อนในวินาทีสุดท้ายของการกดท่อนลำลึกสุดล้ำในช่องปาก ชายหนุ่มร้องออกมาไม่เป็นภาษา “โอย...ย...ย...อืม....” น้ำอมฤตพุ่งเข้าสู่ลำคอของผู้ดูดดื่มอย่างกระหายหน้าท้องชายหนุ่มเกร็งเห็นเป็นลอนสวย มือทั้งสองกำผมของเพื่อนแน่นภายในจุดลึกสุดทางด้านหลังเกิดอาการดูดนิ้วชี้ของทศเป็นจังหวะเดียวกันกับการปลดปล่อยชายหนุ่มยืนเกร็งสักพักจึงทรุดตัวลงนั่งหายใจหอบ ทศกลืนกินสิ่งที่เพื่อนรักหลั่งให้จนหมดแล้วจึงนั่งลงหันมาประกบปากกับเพื่อนหนุ่มแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์นักสำหรับเปี๊ยกแต่เขาก็เรียนรู้ถึงกลิ่นรสของริมฝีปากเพื่อนหนุ่มได้ในไม่ช้า ลิ้นของทั้งสองจึงแลกรสสัมผัสกันเนิ่นนานความอบอุ่นเกิดจากการโอบรัดของทั้งสองหนุ่ม ทศจับมือของเปี๊ยกมาวางไว้ยังของรักที่กำลังแข็งชี้เป็นลำโตไม่แพ้ขนาดของอีกฝ่ายเพื่อนหนุ่มรู้ว่าทศต้องการถึงความรู้สึกสุดยอดนั้นเหมือนตนเปี๊ยกใช้ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งหนีบกดที่รอยหยักพอให้อยู่มือพร้อมกระตุกขึ้นลงช้า ๆ อีกมือก็ลูบไล้ใช้ปลายนิ้วคลึงยอดอกเล็กที่กำลังชูแข็งเป็นไตทศครางทั้ง ๆ ที่ปากยังถูกประกบอยู่ ทศลุกขึ้นมาคุกเข่าพร้อมกับกดหัวเปี๊ยกลงไปเปี๊ยกตอบแทนเพื่อนด้วยลิ้นสาก ทศรู้ดีว่าตนเองคงทนได้ไม่นานกับภาวะเช่นนี้เขาไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปเร็วนัก เขาจึงบอกให้เพื่อนรักเริ่มช้า ๆ แต่ทศจะทนได้อย่างไรในเมื่อสายตาของเขากำลังเห็นริมฝีปากของเพื่อนหนุ่มที่เขาหลงใหลรูดไปมากับท่อนลำของเขาอย่างเมามันนี่เป็นภาพจริงมิใช่ภาพฝันทศเอื้อมมือไปจับท่อนลำใหญ่ยาวของเปี๊ยกซึ่งมันแข็งขึ้นมาอีกครั้ง รสสัมผัสจากมือความสากคายของริมฝีปากของเพื่อน รูปร่างที่สมส่วนที่เขากำลังเห็นการกระทำอย่างใกล้ชิดกลิ่นกายและเลือดเนื้อรวมถึงอุ้งปากอุ่นของเปี๊ยกที่บ่งบอกถึงความเป็นหนุ่มที่เขาปรารถนาเสียงครางของเขาเองกับเสียงเบา ๆ ของริมฝีปากที่ทำหน้าที่กับท่อนลำเขื่องในวินาทีที่จะถึงจุดกระสันสุดยอด ทศชักท่อนลำออกมาปลดปล่อยสิ่งที่คั่งค้างในคลังหนุ่มลงเต็มหน้าอกเพื่อนรักด้วยอาการเกร็งไปทั่วร่างทั้งสองนั่งกุมมือกันแน่นก่อนที่เปี๊ยกจะได้ถึงสวรรค์อีกรอบด้วยริมฝีปากของทศเปี๊ยกเพิ่งจะรู้ว่าผู้ชายก็รักกันได้ มีอะไรกันได้ และได้อย่างน่าหลงใหลเสียด้วย ฝนซ่าเม็ดเมื่อรุ่งเช้า ทศนอนอยู่ในอ้อมกอดของเปี๊ยก หนุ่มเนื้อแน่นทำให้ทศอบอุ่นเหมือนว่าได้กลับบ้านอย่างแท้จริงมือข้างหนึ่งของทศกำอยู่กับแก่นกายของเปี๊ยกบ่ายนี้แล้วที่เขาจะต้องกลับไปรองรับภารกิจต่าง ๆ ที่กรุงเทพฯ เขาไม่อยากคิดเลยกรุงเทพฯ ที่มีแต่การแก่งแย่งแข่งขัน แม้น้ำแก้กระหายยังต้องซื้อหาเขาอยากกลับมาใช้ชีวิตที่นี่ ที่ที่มีสายรุ้งเหนือทุ่งกว้าง ที่หน้าประตูรถ บ.ข.ส. เปี๊ยกจับมือทศกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย “เดินทางปลอดภัยนะเพื่อน...ข้ารู้แล้วว่ะว่าทำไมคนกรุงมันถึงชอบอย่างเมื่อคืนกันนักกลับมาเมื่อไหร่มาหาข้านะ” มีน้ำตาที่รอยยิ้มของทศ “ไม่เอาน่า ยังไงข้าก็ยังเป็นเพื่อนเอ็งถ้าเอ็งกลับมาเมื่อไหร่ข้าก็ยินดีต้อนรับเสมอ” ทศยังจำคำพูดได้ดี รถ บ.ข.ส. แล่นใกล้ถึงสถานีขนส่งปลายทางทศพับจดหมายของเปี๊ยกแล้วเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อเช้าวันนี้ฝนเพิ่งซ่าเม็ดเหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน แต่วันนี้ทศไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเพราะไม่มีใครอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือแม้แต่ป้าพร้อมแม่ของเปี๊ยกครั้งนี้ทศกลับมาหาคนที่เขาคิดถึงและจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ทศนั่งซ้อนท้ายเปี๊ยกบนมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยมที่ดาว์นมาด้วยเงินโบนัสของการทำงานหนักของเพื่อนหนุ่มมอเตอร์ไซค์ยังคงเปื้อนโคลนตามทาง ลมเย็นโชยมากับละอองฝอยของเม็ดฝนเปี๊ยกจอดรถแล้วลงมายืนหน้าบ้าน ชายหนุ่มชี้ให้ทศมองดูท้องฟ้าเหนือท้องทุ่ง รุ้งกินน้ำยามเช้าปรากฎซ้อนสลับสีโค้งเป็นสายก่อนสลายรุ้งหนุ่มแกร่งกอดคอทศเพื่อนหนุ่มพากันเดินขึ้นเรือนไป
|