แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Ifoot-ballZ เมื่อ 2017-11-18 17:08
file:///C:/Users/Windows/AppData/Local/Temp/msohtmlclip1/01/clip_image002.jpg ตอนที่1 บังเอิญ
ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่มุงกันเต็มฟุตบาทเนื่องจากอุบัติเหตุอะไรซักอย่าง ชายในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งเดินเรื่อยๆมาจนถึงที่เกิดเหตุพร้อมกับเอ่ยปากขอทาง โดยไม่คิดจะสนใจร่างของชายคนหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่บนถนนหน้ารถยนต์คันหนึ่งห่างออกไปเป็นรถมอเตอร์ไซด์ล้มอยู่ด้วยสภาพยับเยิน เจ้าหน้าที่ตำรวจและมุลนิธิกำลังคุยกับหญิงผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวที่ยังคงอยู่ในอาการตกใจจนตัวสั่น “ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อยครับ”เจ้าของร่างเอ่ยเสียงทุ้มห้าว กับผู้คนที่ยืนออกันเต็มพื้นที่ฟุตบาทบางคนก็ขยับหลบทางให้ ส่วนบางคนก็ทำนิ่งเสีย
เพราะอุบัติเหตุตรงน้านั้นน่าสนใจมากกว่า จนเขาต้องค่อยๆ
เดินแทรกไประหว่างผู้คนขณะที่กำลังจะเดินออกมาพ้นจากบรรดาไทยมุงร่างของชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาขวางทางด้วยท่าทางเหม่อลอยจนเขาต้องเอ่ยปาก
อีกครั้ง
“ขอทางด้วยครับ”ชายคนนั้นทำท่าเหมือนจะไม่ได้ยินที่เขาพูดยังคงทำท่าทางเหม่อลอยยืนขวางทางอยู่อย่างนั้นจนคนในชุดนักศึกษาขมวดคิ้ว
“คุณครับ ช่วยหลบทางด้วยครับ” เขาพูดพร้อมกับกำลังจะเอื้อมมือไปแตะชายคนนั้นแต่ชายคนนั้นกลับหันมามองด้วยแววตาสับสนแล้วทำท่าเหมือนจะ
พูดอะไร
“นี่คุณครับ จะยืนขวางทางอีกนานมั้ย” เขาพูดอีกพร้อมกับมองชายตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าและจากเท้าขึ้นมาจรดหัวในใจก็รู้ว่าเป็นมารยาทที่แย่แต่คนตรงหน้านี้ดูเหมือนคนไม่ค่อยปกติจึงคิดว่าคงไม่เป็นไร อีกฝ่ายแต่งตัวด้วยชุดคล้ายชุดวอร์มเสื้อแจ๊คเก็ตสีน้ำเงินสลับขาวทับเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงขาห้าส่วนจั๊มตรงเข่าและรองเท้าผ้าใบดูๆแล้วเหมือนจะเป็นพวกนักกีฬาหรืออะไรซักอย่าง
“นี่พูดกับผมหรอ”ชายคนนั้นถามออกมาเสียงแผ่ว
“ใช่สิครับ จะหลบได้หรือยัง?”ชายหนุ่มกล่าวออกไปเสียงห้วน ชายคนนั้นมองหน้าเขาแล้วขยับตัวเพื่อเปิดทางให้
“ขอบใจ”เขาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากมาอย่างไม่สนใจคนๆนั้นอีก วันต่อมาชายหนุ่มคนเดิมกำลังเดินอยู่บนฟุตบาทตรงที่เดียวกับที่เกิดเหตุเมื่อวานแต่ผิดกันตรงที่วันนี้ไม่มีผู้คน ไม่มีไทยมุงอาจจะเพราะว่าตอนนี้ตะวันได้ลาลับจากท้องฟ้าไปนานแล้ว รอบกายมีแต่ความสลัวของ แสงไฟริมทางเดินเขามองไปยังจุดที่เกิดเหตุเมื่อวานรอยเส้นสีขาวที่ถูกพ้นไว้ด้วยเสปรย์ยังคงมีให้เห็นชัดเจนเขามองรูปร่างยึกยือที่ดูไม่ค่อยคล้ายคนเท่าไหร่นั้นแล้วถอนหายใจ
“ขอให้ไปที่ชอบที่ชอบนะ” ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆอย่างน้อยเขายังต้องใช้เส้นทางตรงนี้ไปอีกนาน และเขาก็ยังไม่อยากจะเจออะไรตอนนี้ร่างสูงส่ายหน้าไล่ความคิดอันไม่พึงประสงค์ก่อนที่จะก้าวเท้ายาวๆ เดินเข้าซอยที่นำไปสู้หอพักที่เขาเช่าอยู่ร่วมสองปี
“แกร๊กๆ”
“แกร๊กๆ”ในขณะที่เดินอยู่ในซอยซึ่งต่างออกไปจากข้างนอกเกือบจะเรียกได้ว่าคนละโลก ถ้าแสงสลัวของไฟถนนข้างนอกคือโลกด้านสว่างในซอยนี้ก็คือ โลกด้านมืดในจำนวนดวงไปเพียงไม่กี่ดวงกับความยาว ของซอยร่วมห้าร้อยเมตรนั้นก็ถือว่าน้อยพอดูไม่นับดวงไฟที่ใช้งานไม่ได้ หรือติดๆดับๆ พร้อมด้วยความร่มครึ้มของต้นไม้ใหญ่อายุหลายสิบปีอีกหลาย ต้นที่เรียงรายแผ่กิ่งก้านคลุมถนนในซอยไปแทบตลอดแนว
“แกร๊ก”เสียงเท้าของชายหนุ่มเหยียบเข้ากับใบไม้ที่หล่นเกลื่อนอยู่บนถนน ก่อให้เกิดเสียงกรอบแกรบท่ามกลางความเงียบสงัด
“แกร๊ก”
“แกร๊ก” ฝีเท้าของเขาชะงักเพราะเมื่อสักครู่เขาจำได้ว่าเขาไม่ได้เดินเหยียบใบไม้หรืออะไรสักอย่างความจริงมันควรจะเงียบ เพราะตรงนี้มีเขาเดินอยู่พียง
คนเดียวสายตาเริ่มมองสำรวจไปทางด้านข้างทั้งสองข้างก็ไม่พบความผิดปกติ เหลือบสายตามองบนพื้นถนนก็เห็นเงาของเขาทอดออกมาด้านหน้าอยู่เพียงเงาเดียว
“สงสัยหูแว่ว” เขาพึมพำกับตัวเองทั้งๆที่ไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยสักนิด สองเท้าเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง
“แกร๊ก” ฝีเท้าชะงักลงอีกครั้งเมื่อคราวนี้เสียงที่ได้ยินเริ่มดังเข้ามาไกล้ตัวมากขึ้นเขาแน่ใจว่าเขาเดินอย่างระวังเพื่อไม่ได้เดินเหยียบอะไรทั้งนั้นแต่กลับมี เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เหงื่อที่ขมับเริ่มฝุดซึม ในใจอยากคิดว่าอาจเป็นคนร้ายแต่เมื่อเหลือบสายตามองลงบนถนน ก็พบแต่เงาลางๆของตัวเองท่ามกลางเงาของแมกไม้ใบหนาจะหันกลับไปดูก็ไม่กล้าซะแล้วในเวลานี้
“ไม่มีอะไรหรอกมั้ง”เขาพึมพำกับตัวเองอีกครั้งอย่างทำใจดีสู้เสือ ขาเริ่มขยับจะออกเดินอีกครั้งแต่...
“แกร๊ก” ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเท้าไปไหนเสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก แถมยังเข้ามาไกล้อีกหนึ่งเสต็ปเหมือนกับว่าสิ่งนั้นกำลังเดินเข้ามาเป็นความคิดที่ทำให้เสียวหลังวูบแล้วร่างสูงก็ออกวิ่งทันทีโดยไม่คิดจะเหลียวหลัง
“เชื่ย” คำสถบสั้นๆดังออกมาจากปากเมื่อรองเท้าผ้าใบคู่โปรดที่ชอบใส่เหยียบส้นอยู่แล้วเสือกไม่เตะเข้ากับอะไรก็ไม่รู้แล้วหลุดออกในขณะที่ตัวคนวิ่ง เลยไปหลายก้าว ทั้งๆที่ในใจไม่อยากจะหยุดวิ่งแต่ร่างกายกลับเป็นไปตามกลไลของสมองที่สั่งงานให้หยุด
“แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก”ทันทีที่หยุดวิ่งเสียงทุกอย่างรอบตัวก็เงียบจนทำให้ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาพร้อมกับเสียงเหยียบไปตามใบไม้กรอบแห้งดัง ชัดเจนความนี้ไม่ใช่แค่การเสียวสันหลัง แต่เป็นขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เจอไม่ใช่คนเพราะคนบ้าอะไรจะมาสะกดรอยตามอะไรแบบนี้ มันไม่มีเหตุผล ถ้าจะปล้นจะจี้คงโดนไปตั้งแต่หยุดครั้งแรกครั้งสองแล้ว จะด้วยความห่วงรองเท้าหรืออะไรก็แล้วแต่ชายหนุ่มรวบรวมกำลังใจ แล้วค่อยๆหันกลับไปด้านหลังช้าๆ ในใจคิดว่าจะผีก็ผีวะ ขอดูชัดๆก่อนเป็นผีจริงแล้วค่อยวิ่ง อย่างน้อยจะได้รู้กันไปเลย คิดดังนั้นเขาก็ค่อยๆ หันหน้ากลับมาทางด้านหลังขณะที่สายตาค่อยๆเหลือบไปมองยังทางเดินมืดครึ้มด้านหลังเงาร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ร่างนั้นยืนหันหลังให้ ในท่าก้ม
“คน?” เขาพึมพำออกมาเบาๆแล้วเริ่มปรับสายตาให้ชินกับความมืดด้านหลัง คนๆนั้นก้มลงหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ที่หลุดห่างออกไปสักห้าเมตรขึ้นมาแล้ว ค่อยๆหันมาช้าๆ
“เชี่ยยยยยยเอ้ยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!ผีหลอกกกกกกกกกกกกกก................!!!!!!!!!!!!!!!!” +++++++++++++++++++++++++ “ปัง!!” ร่างสูงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตวิ่งอย่างชนิดที่เร็วที่สุดตั้งแต่เคยวิ่งมาทั้งชีวิตรองทงรองเท้าทิ้งแม่งไว้นั้นแหละ กว่าจะเข้าหอได้ เสียเวลาไปหลายนาที เพราะมือ สั่นจนหาคีย์การ์ดไม่เจอกว่าจะรูดการ์ดได้ก็ต้องปลุกปล้ำอยู่นาน กว่าจะหากุญแจห้องเจอ กว่าจะได้เข้าห้องทั้งตัวสั่นไปหมด เข้าห้องได้ปุ๊บก็เปิดไฟถีบประตูปิดแล้วกระโดดทีเดียวถึงเตียงคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงทันที
“เชี่ยเชี่ย เชี่ย เชี่ย ”ตั้งแต่เข้ามาพึมพำอยู่แค่คำนี้คำเดียว นึกอยากจะสวดมนต์ก็นึกไม่ออก ทั้งร่างสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ไม่ได้อยากจะสั่นหรอกนะแต่ ควบคุมมันไม่ได้ แถมความรู้สึกว่าขนลุกซู่ซ่านี่อีกพรุ่งนี้กูจับไข้แหง๋เลย ไอ้สัด
“ก็อกๆๆๆ”
“สัด” ทั้งร่างสะดุ้งโหยงขึ้นมาทันทีจู่ๆก็มีเสียงเคาะประตู ไม่ใช่เพื่อนกูแน่กุไม่มีเพื่อนที่นี่ร่างสูงคิดแต่ยังไม่ทันได้คิดไปไกลกว่านั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจาก ข้างนอก
“นายๆ ผมเอง” เสียงผู้ชาย ไม่ทุ้มมากเสียงดีอยู่นะแต่แม่งผมไหนวะ?
“นายๆ ผมไม่ใช่ผีนะ” เสียงนั้นพูดขึ้นมาอีกชัดเลยสัด ผีชัวร์
“ไอ้เชี่ย มึงไปเลยนะ มึงอ่ะแหละผี” ร่างในผ้าห่มตะโกนกลับจากด้วยเสียงอันดังกว่าเสียงกระซิบนิดนึง
“ไม่ ผมไม่ใช่ผี ผมเอารองเท้ามาคืน” มึงนั่นแหละผี
“ไม่ใช่ ไม่เชื่อเปิดผ้ามาดูสิ” ไอ้สัด กูไม่เปิด “งั้นผมเปิดให้เอามั้ย”เชี่ย!! กูยังไม่ได้พูด กูแค่คิด แล้วแม่งก็ตอบกูทุกคำไม่ใช่ผีแล้วเชี่ยไรวะ?ทันทีนั้นเองผ้าห่มผืนหนาก็มีแรงกระตุกเบาๆ ชายหนุ่มรีบจับเอาไว้ให้แน่นที่สุดก่อนที่สิ่งที่อยู่ข้างนอกจะเปิดได้
“ไอ้สัด ไอ้ผีไม่รู้สึกตัว มึงออกไปเลยนะ”เขาร้องพร้อมขยำผ้าห่มแน่นขึ้นอีกเมื่อสัมผัสได้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างนอกพยายามจะดึงมันเปิดออกหลังจากยื้อยุดกัน
สักพักฝ่ายด้านนอกก็ยอมแพ้
“โอเคๆ ไม่ออกก็ไม่ออกงั้นผมวางรองเท้าไว้ข้างเตียงนะ”เสียงนั้นพูดพร้อมกับเสียงรองเท้ากระทบพื้นข้างเตียงจากนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ ผ่านไปหลายอึดใจในขณะที่ร่างสุงในผ้าห่มพยายามเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกแต่กลับไม่มีเสียงใดใดให้ได้ยินอีก ตอนนี้ความร้อนอบอ้าวเริ่มเข้าจู่โจม ลืมไปเลยว่าตอนรีบวิ่งเข้าห้องยังไม่ได้เปิดแอร์เลยนี่หว่าหลังจากนิ่งคิดและรออยู่นานจนแน่ใจว่าผีข้างนอกคงจะไปแล้ว คนในผ้าห้มก็ค่อยๆเอื้อมมือออกมาจากผ้าห่มไปที่โต๊ะหัวเตียงที่ซึ่งรีโมทแอร์วางอยู่มือใหญ่ค่อยคลำไปบนโต๊ะที่รกไปด้วยของจุกจิกครู่เดียวก็สัมผัสเข้ากับวัตถุทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“ติ๊ด ติ๊ด”เสียงแสดงการทำงานของเครื่องปรับอากาศพร้อมกับสายลมเย็นออกมากระทบผิวหนังช่วยทำให้ความรู้สึกดีขึ้นร่างสูงค่อยๆเปิดผ้าห่ม ออกช้าๆสิ่งแรกที่เห็นคือทีวีที่ตั้งอยู่ตรงปลายเตียงไฟในห้องสว่างจ้าทำให้ความกลัวที่มีก่อนหน้านี้ค่อยๆมลายหายไป
“เกิดมาเพิ่งเคยโดนผีหลอก น่ากลัวชิบ”เขาพึมพำกับตัวเอง เมื่อนึกถึงวินาทีที่เห็นร่างของชายคนนั้นที่ก้มลงเก็บรองเท้านั้นแล้วค่อยๆหันกลับมา ใบหน้า ไม่ได้ต่างจากคนมากนักผิดกันก็แต่เลือดเลือดสดๆที่ไหลรินออกจากจมูกเป็นทางยาวไม่นับรวมเลือดที่ไหลออกมาจากหัวอีกโขจนทำให้เสื้อแจ๊คเก็ตสีน้ำเงินที่ใส่อยู่กลายเป็นสีดำเข้มสยองจนทนมองไม่ไหวต้องเผ่นจนขาแทบพันกันตาย
“สาธุ เราไม่รู้จักกัน อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย”พูดออกมาดังๆพร้อมกับหลับตายกมือไหว้ท่วมหัว
“ผมไม่ได้หลอกนะครับ” ยังไม่ทันที่จะลืมตาเสียงที่จำได้แม่นก็ดังขึ้นข้างตัว เชี่ยแล้วร่างสูงคิดในใจในขณะที่สมองก็สั่งการไวเกินกว่าจะรั้งร่างกายตัวเอง ทันใบหน้าที่จำได้ลางๆมาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย!!” ร้องได้แค่นั้นทั้งร่างก็กระโดดพรวดเดียวเข้าไปนั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้าทั้งยังลากผ้านวมไปด้วยร่างชายในสุดเสื้อแจ๊คเก็ตสีน้ำเงินที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ค่อยๆเดินอ้อมเตียงมาหยุดอยู่ตรงหน้าตู้นั้น
“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ใช่ผี” บอกพร้อมกับยิ้มให้บางๆซึ่งเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย
“ม มะมึงเข้ามาได้ไง ไอ้ผี” คนในตู้ถามเสียงสั่น
“เดินเข้ามาครับ”
“แต่กูล็อคประตูไว้” คนในตู้บอกอีกฝ่ายขมวดคิ้วน้อยๆแล้วหันกลับไปมองที่ประตู ก็เห็นลูกบิดล็อคอยู่จริงๆ
“อ่า....จริงด้วย”ฝ่ายผีพึมพำแล้วขมวดคิ้วก้มลงมองมือตัวเองสีหน้าสับสน แล้วก้าวเข้าไปไกล้อีกฝ่าย
“นี่ผมตายแล้วหรอ”
“กูไม่รู้โว้ย“ เป็นเสียงจากคนในตู้ที่ร้องออกมาพร้อมกระชับผ้าที่คลุมตัวอยู่ให้แน่นขึ้น
“นาย ช่วยผมด้วยนะ ผมอยากรู้ ผมจำอะไรแทบไม่ได้เลย” พูดพลางก็ขยับเข้าไปประชิดตู้ที่อีกฝ่ายอยู่ด้านในในขณะที่อีกฝ่ายก็พยายามถอยหนีและร้อง โวยวาย “ไอเชี่ย!!! ออกไป” “นะครับ ช่วยผมด้วย” แววตาและน้ำเสียงอ้อนวอนพร้อมมือเย็นเฉียบจับเข้าที่แขนของคนในตู้ฉับพลันความเย็นเยียบก็แล่นจนถึงหัวใจของคนโดนจับ ขนทั้งตัวก็พลันลุกซู่พร้อมกันโดยมิได้นัดหมายทั้งที่คลุมผ้าห่มอยู่แต่มือนั้นก็ยังยื่นเข้ามาจับได้ถึงในผ้าห่ม ทั้งที่พยายามจะสะบัดออกแต่กลับไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“เชี่ย ปล่อยกู” ฝ่ายโดนจับร้องโวยออกมาเสียงดังแต่อีกฝ่ายยังคงมองด้วยแววตาน่าสงสารทั้งยังพูดด้วยเสียงอ้อนวอน
“นะครับ” “ไอ้เชี่ย ปล่อยกู!!!” “นะครับ” “ไอ้ผีเชี่ย ปล่อยกูเลยนะเว้ยยยยยยย.....!!!!!” ************************************************ จบตอนครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมแต่งขึ้นมาเองตั้งนานแล้ว(2-3ปีได้) แต่ยังไม่จบนะครับ พอดีขุดเจอเลยว่าจะแต่งต่อ อาจจะช้าหน่อยเพราะไม่ค่อยมีเวลา แต่จะพยายามอัพเรื่อยๆนะครับ อ่านแล้วเป็นยังไงฝากเม้นบอกด้วยนะครับ
|