เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมฟังมาจากประสบการณ์ของคนรู้จักของผมคนหนึ่งเจ้าของประสบการณ์คือ “น้องแอม” ในเรื่องนี้นะครับ เล่าถึงปมในวัยเด็กของเขากับชายหนุ่มสองคนที่ทำให้เค้าเสพติดการดูดน้ำรักจากท่อนเอ็นของผู้ชายในแบบที่เรียกว่าเป็นการ “เสพติด” เลยก็ว่าได้ จนกระทั่งต้องไปปรึกษาแพทย์มาแล้วแถมด้วยปูมหลังของ “พี่ต้อม” อดีตพระสึกใหม่ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดซึ่งปัจจุบันกลายเป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน มีครอบครัวที่อบอุ่น ตัวละครในเรื่องนี้ยังมีอีกสองคนที่สำคัญคือ “ตาทอง” กับ “พี่ชำนาญ” ที่ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวพัน และสานต่อปมกันมาเป็นทอดๆ ปีพ.ศ. 2528 เป็นปีที่ ต้อม ชายหนุ่มลูกอีสาน ตัดสินใจลาสิกขาบทจากร่มกาสาวพัสตร์เนื่องจากพ่อ เสาหลักของบ้านด่วนจากไปด้วยโรคพยาธิใบไม้ในตับทำให้ครอบครัวอันประกอบไปด้วย แม่ พี่สาว และ น้องชาย ซึ่งยังเล็กอยู่ขาดกำลังสำคัญในการทำนา ซึ่งเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษด้วยความยากจน ทำให้ต้อม ต้องบวชเรียนตั้งแต่ยังเล็ก มาปีนี้ เขาอายุครบ 21 ปีพอดี ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง ผิวค่อนข้างขาว หน้าตาคมสัน เข้าขั้นหล่อเหลาผิดกับชาวบ้านแถวนั้น บวกกับนิสัยพูดน้อย เงียบขรึมจึงทำให้ได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านในหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อครั้งยังครองผ้าเหลือง และเมื่อสึกออกมา ชายหนุ่มก็เป็นที่หมายตาของหญิงสาวโสดในหมู่บ้านเพราะนอกจากจะหล่อเหลาแล้ว ชายหนุ่มยังขยันขันแข็ง เอาการเอางาน ช่วยครอบครัวทำนาแทนพ่อที่เสียไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเมื่อหมดหน้านา ชายหนุ่มก็เข้าเมือง รับจ้างทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัวตั้งแต่ไปรับจ้างร้านอุปกรณ์ก่อสร้าง จนกระทั้งเป็น รปภ. แล้วแต่จะมีใครจ้าง บ้านของต้อมเป็นบ้านไม้ครึ่งปูนปลูกเกาะกลุ่มกันอยู่กับบ้านเครือญาติของเขาในหมู่บ้านชนบทกันดารของอีสานในรั้วเดียวกันนั้น ประกอบไปด้วย บ้านน้าชาย ปลูกอยู่เยื้องกันส่วนด้านในสุดของที่แปลงนั้น จะเป็นบ้านไม้อีสานหลังเก่าโทรม ยกพื้นสูงมีนอกชานบ้าน และต้นมะเฟืองต้นใหญ่ติดบันใดลิงขึ้นบ้าน เป็นบ้าน “แม่ใหญ่”ของต้อมซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2528) มีอายุ 70 ปีแล้ว แม่ใหญ่ อยู่บ้านหลังนั้นกับ “แอม”เด็กชายอายุ 7 ขวบ ลูกของน้าสาวอีกคนซึ่งไปทำงานที่กรุงเทพฯและได้ฝากเจ้าแอมไว้กับแม่ใหญ่ ให้แม่ใหญ่เป็นคนเลี้ยงดูภายในบริเวณบ้านสามหลังซึ่งอยู่ในที่แปลงเดียวกันนั้น บ้านต้อม กับบ้านน้าชายจะปลูกติดถนน หันหน้าเข้าสู่ท้องทุ่งนาที่กว้างเกือบสุดลูกหูลูกตาส่วนบ้านของแม่ใหญ่ จะปลูกอยู่ด้านในสุด ด้านหลังบ้านติดกับดงกล้วยของบ้านอื่นและที่ตรงกลางระหว่างบ้านสามหลัง เป็นลานดินกว้างๆ มีต้นกระท้อนใหญ่แผ่กิ่งก้านร่มเย็น สานกิ่งกับต้นมะเฟืองหน้าบ้านแม่ใหญ่เป็นร่มครึ้มจนแดดแทบจะไม่เคยส่องมาถึง พื้นดิน แรกๆเมื่อสึกออกมาเป็นฆราวาสทำให้ต้อมต้องปรับตัวยกใหญ่ เพราะไม่คุ้นเคยกับชีวิตแบบชาวบ้านปกติ ตั้งแต่เริ่มหัดใส่กางเกงชั้นในซึ่งกว่าจะปรับตัวจนชินให้หายอึดอัดก็ใช้เวลาพักใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็มีบางวันที่ต้อมแอบไม่ใส่กางเกงใน เพราะความเคยชินที่สบายตัวกว่าครั้งแรกๆที่ใส่กางเกงใน ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนไอ้หนูมันจะตื่นตัวตลอดเวลาจะจัดการให้มันสงบก็ไม่รู้จะทำยังไง ด้วยการใช้วิถีชีวิตเป็นพระตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ชายหนุ่มไม่เคยมีประสบการณ์กับการ“จัดการ” ให้เจ้าหนูมันอ่อนตัวเลย ทิดต้อมไม่ค่อยสนิทกับหมู่ญาติ แม้กระทั่งแม่ และพี่น้องของตัวเองเพราะไม่เคยใช้ชีวิตด้วยกันมาก่อน จะพอคุ้นเคยบ้างก็มีแต่ แม่ใหญ่ กับเด็กแอมลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยที่เคยติดสอยห้อยตามแม่ใหญ่เวลาที่ไปวัดคอยถวายอาหารทั้งเช้าเพลอยู่ทุกวันในขณะที่ชายหนุ่มบวชเป็นพระกับเด็กแอมนั้น ชายหนุ่มจะคุ้นเคยเป็นพิเศษ ด้วยความที่เป็นเด็กช่างฉอเลาะผิดกับเด็กชายทั่วไปและเมื่อมีธุระอันใดจากทางบ้าน คนทางนี้ก็มักจะให้เด็กแอมไปส่งข่าวหลวงพี่ต้อมเสมอและด้วยความที่พระมักจะมีของขบฉันจากญาติโยมเหลือเฟือเด็กแอมก็มักจะได้รับขนมจากหลวงพี่มากินเล่นบ่อยๆทำให้ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของหลวงพี่ ติด และเทิดทูนหลวงพี่เป็นพิเศษอะไรๆก็หลวงพี่ต้อมๆ จวบจนเมื่อสึกออกมาเป็นทิด น้องแอมก็ติดทิดต้อมแจอาจเป็นเพราะเห่อพี่ชายคนใหม่ หรือเพราะไม่มีเพื่อนเล่นแถวบ้านมากนักคนที่คอยใส่ใจเด็กแอมก็มีเพียงแต่แม่ใหญ่คนเดียวส่วนแม่แท้ๆที่เป็นน้าสาวของทิดต้อมนั้น นานๆจึงจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านทีกลับมาก็เพียงสองสามวัน ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวต่อกัน ทิดต้อมจึงเป็นเรื่องแปลกใหม่และความตื่นเต้นเดียวในชีวิตเด็กแอมประกอบกับชายหนุ่มเป็นคนเงียบๆ ง่ายๆ ยังไงก็ได้ไม่เคยดุว่าเด็กแอมเหมือนผู้ใหญ่คนอื่นๆในรั้วบ้าน เนื่องจากแม่ใหญ่แก่มากแล้วและอาศัยอยู่ในเรือนทรุดโทรมเพียงสองคนกับเด็กแอมถึงแม้ว่าจะปลูกอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันกับบ้านลูกๆอีกสองหลังแต่ด้วยความที่มีเพียงเด็กแอมคนเดียวซึ่งยังเด็กนักไม่รู้ประสาทิดต้อมจึงถูกไหว้วานจากบรรดาญาติๆ ให้ไปอยู่ที่เรือนแม่ใหญ่เพื่อที่จะได้คอยอำนวยความสะดวกเวลาแม่ใหญ่ต้องการใช้สอยอะไร เช่น การตักน้ำใส่ตุ่มที่ชานเรือนเพื่อคอยอุปโภคบริโภคเป็นต้น หรือหากแม่ใหญ่เรียกหาตอนดึกดื่นหากเจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมาลำพังเด็กแอมคงไม่มีปัญญาทำอะไร นับแต่สึกทิดต้อมเลยต้องมาอาศัยอยู่เรือนแม่ใหญ่เรื่อยมา เรือนของแม่ใหญ่เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ยกพื้นไม่สูงนัก ใต้ถุนสูงกว่าหัวทิดต้อมไม่เกินฝ่ามือชั้นบนเป็นชานกว้าง ตีฝาบ้านเพียงฝั่งเดียวเป็นโถงโล่งและมีการกั้นห้องเพียงห้องเดียวคือห้องนอนแม่ใหญ่ ถัดไปเป็นเรือนครัวไฟแยกจากตัวบ้านไปต่างหากชานบ้านด้านหน้าติดต้นมะเฟืองตั้งโอ่งมังกรสองใบไว้ใส่น้ำอาบ ปกติแล้วเด็กแอมจะนอนกับแม่ใหญ่ในห้อง แต่พอมีพี่ทิดต้อมมาอาศัยด้วย ด้วยความเห่อพี่ชายจึงขอมานอนมุ้งเดียวกันกับทิดต้อมที่ปูที่นอนอยู่โถงข้างนอกซึ่งทิดต้อมก็ไม่มีปัญหาอะไร ดีเสียอีก เพราะมันหวิวๆ โล่งๆ แปลกที่อยู่พอดีถึงแม้จะเคยผ่านการบวชเป็นพระมานาน แต่ขณะบวชก็มีกุฏิส่วนตัว มิดชิด ไม่โล่งวังเวงเหมือนโถงติดชานบ้านแม่ใหญ่ ในบ้านสามหลังอาณาบริเวณเดียวกันนั้นมีเพียงบ้านแม่ใหญ่หลังเดียวที่ไม่ได้ต่อไฟฟ้ามาใช้ ยังคงใช้ตะเกียงน้ำมันแบบเดิมแต่ตั้งแต่ทิดต้อมย้ายมา แม่ของเขาก็สัญญาว่าจะต้องต่อไฟมาสักวันเพราะอยากให้ลูกชายสะดวกสบายบ้าง โดยเฉพาะหน้าร้อน หากไม่มีพัดลม ทิดสึกใหม่คงแย่ส่วนแม่ใหญ่กับเด็กแอม คุ้นกับวิถีชีวิตแบบนี้ดีเสียแล้ว คืนหนึ่งในฤดูฝนอันอบอ้าวหลังจากที่ฝนทิ้งช่วงหลายวัน วันนี้ดูเหมือนฝนจะตั้งเค้ามาแต่บ่ายฟ้าครึ้มร้องครืนๆจนทิดต้อมต้องรีบรามือจากงานไร่นาเพราะดูท่าว่าฝนจะตกหนัก หลังจากทิดต้อมกลับจากนาก็รีบตักน้ำจากบ่อขึ้นมาเติมใส่ตุ่มจนเต็มเพื่อให้แม่ใหญ่ใช้อาบจะได้ไม่ต้องลงบ้นไดไปตักอาบที่บ่อเอง พอเสร็จจากงานก็บ่นเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวโดยเฉพาะปวดหลัง เพราะไม่คุ้นกับฟูกนุ่มๆที่ใช้นอนในปัจจุบัน หรืออาจจะเพราะกรำงานนามากไปก็ไม่อาจรู้ได้ “ไปนวดบ้านพ่อใหญ่ทองซิ”แม่ใหญ่บอกขณะตำหมากปุกปุกอยู่ภายใต้แสงจอมแวมๆของไฟตะเกียงดวงเล็ก “หมอจับเส้นทั้งหมู่บ้านก็มีพ่อใหญ่ทองคนเดียวคอตกหมอน ขาเคล็ด ไปหาพ่อใหญ่ทองจับแป็บเดียวก็หาย” แม่ใหญ่ว่า พร้อมควักคำหมากเข้าปากเคี้ยวหยับๆทิดต้อมนึกถึง พ่อใหญ่ทองที่ว่า ก็เห็นภาพชายแก่ง่อมร่างเล็ก อายุราว 70กว่าปีฟันขาวเรียบเป็นระเบียบทั้งแผง เพราะเป็นฟันปลอมทั้งชุด ท่าทางอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงชอบพูดจาตลกสองแง่สามง่ามเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนในหมู่บ้านงานวัดงานบุญไม่เคยเว้น แกต้องไปร่วมสร้างสีสันด้วยเสมอ พ่อใหญ่ทองคนนี้ แกเป็นโสดตัวคนเดียว เคยไปใช้ชีวิตอยู่ถึงเมืองกรุง เพิ่งกลับมาอยู่ในหมู่บ้านตอนแกอายุซัก50 กว่านี่เอง ถึงพ่อใหญ่ทองจะตัวคนเดียว แต่หลังจากกลับจากกรุงเทพฯแกก็มีเงินทองมากมาย อาศัยออกเงินกู้ ให้คนเช่าที่นาและตระเวนรับจ้างนวดตามบ้านคนเลี้ยงตัวเรื่อยมา ไม่เคยเห็นเดือดร้อนเงินทองชาวบ้านซธอีก ที่เวลาเดือดร้อน มักจะไปขอหยิบยืมเงินพ่อใหญ่ทองเสมอๆเมื่อถึงเวลาชำระคืนแล้วถ้าคนไหนไม่มีให้ ก็จะโดนแกไปตามด่าประจานให้อายจนชาวบ้านขยาดไปตามๆกันว่าแต่ พักหลังๆมานี้ ก็ไม่เห็นพ่อใหญ่ทองจะตระเวนนวดตามบ้านเหมือนเคย ถึงแม้จะเป็นหมอจับเส้นฝีมือดีก็จริงแต่ตกมาปีนี้พ่อใหญ่ทองน่าจะแก่ตัวมากแล้ว เพราะก่อนสึกทิดต้อมยังเห็นแกไปวัดประจำ (ตาทองจะหน้าตาคล้ายๆ ป้ากอม เนตไอดอลนะครับ) “แกแก่ขนาดนั้นแกยังนวดอยู่เหรอจะมีแรงจับเส้นไหวหรือแม่ใหญ่? ไม่เห็นออกมาตระเวนรับจ้างนวดเหมือนเคยนี่”ทิดต้อมถาม ก่อนจะเรียกเด็กแอมซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำการบ้านเสียใกล้แสงตะเกียงจนน่ากลัวจะไหม้ผม ให้วางมือลงก่อน แล้วมาช่วยนวดหลังให้ตนพอให้อาการปวดมันทุเลาลงเด็กแอมกุลีกุจอรีบมานวดให้พี่ชายคนโปรดอย่างเต็มใจถึงแม้มือเล็กๆจะนวดไม่ได้เรื่องอะไร แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้หลังมันปวดตึงขึ้นเรื่อยๆ “นวดแกยังนวดเหมือนเดิม แค่ไม่ออกมาหาเดินรับจ้างตามบ้าน แกบอกว่าแกแก่แล้วขี้เกียจเดินไกล ถ้าใครอยากนวด ให้ไปหาแกเองที่บ้านของอย่างงี้อย่าไปให้คนไม่รู้วิชานวดนะคนไม่รู้นวดเสียเส้นเสียเอ็นเป็นง่อยไปหลายคนแล้ว พ่อใหญ่ทองแกเป็นหมอเส้นของแท้แกมีวิชา พรุ่งนี้บ่ายๆไปหาแกเลย อย่าปล่อยไว้นาน” สิ้นคำแม่ใหญ่ฝนที่ตั้งเค้ามาแต่บ่ายก็ตกเทครืนๆลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุย ทิดต้อมนึกถึงเรือนไม้หลังใหญ่ของพ่อใหญ่ทองที่ไปปลูกเสียไกลอยู่แถวนาดอนท้ายๆหมู่บ้านแกไปปลูกเรือนไว้กลางที่นาของแกเองเป็นเกือบ50ไร่ สงสัยต้องเดินไกลกันล่ะทีนี้ฝนโปรยสายลงมาซักพัก แม่ใหญ่ก็หาวหวอดๆ แกคายคำหมากทิ้งบ่นอะไรอีกสองสามคำก่อนจะบอกให้เด็กแอมถือตะเกียงเข้าไปส่งข้างในห้องนอนเมื่อทิดต้อมเห็นแม่ใหญ่เตียมจะนอนก็เลยคิดว่าตนเองก็น่าจะถึงเวลาอาบน้ำแล้วเข้านอนได้แล้วฝนตกหนักแบบนี้ ขออาบน้ำที่โอ่งนอกชานก็แล้วกัน ไม่อยากลงไปอาบที่ขอบบ่อเพราะไม่รู้จะเอาผ้าไปวางผัดตรงไหน กลัวโดนฝนเปียกหมด ชายหนุ่มนึกได้อย่างนั้นก็ผลัดผ้าจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวเพื่อออกไปอาบน้ำนอกชาน เด็กแอมส่งแม่ใหญ่เข้านอนเสร็จจึงถือตะเกียงเดินออกมาจากห้องแม่ใหญ่เงียบๆก็เห็นพี่ทิดต้อม ที่เกือบจะเปลือยกาย โชว์เรือนร่างกำยำล่ำสัน ทั้งดูแกร่ง เว้าโค้ง และนูน ของวัยหนุ่มอาบน้ำอยู่ตรงนอกชานบ้าน ความมืดของบรรยากาศกลางคืนรวมทั้งฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลำพังแสงตะเกียงไม่สว่างพอที่จะทำให้เด็กน้อยมองอะไรได้ชัดเจนเลยอาศัยแสงไฟฟ้าซึ่งสะท้อนไกลๆจากบ้านน้าๆทั้งสองหลังก็เห็นเพียงแต่เค้าโครงรอบนอกของร่างกายกำยำภายใต้กางเกงในสีดำตัวจ้อยเพียงเท่านั้นเด็กแอม วางตะเกียงลงพื้น แล้วถอยตัวเองหายเข้าไปในเงามืดเพื่อที่จะจ้องมองชายหนุ่มได้อย่างไม่กระดากอาย ร่างสมชายสูงโปร่งที่เด็กน้อยกำลังจ้องอย่างเอาจริงเอาจังนั้นกำลังถูสบู่ล้วงควักสัดส่วนตนเองพัลวันไม่มีเวลามาสนใจเด็กชายในเงามืดซึ่งตั้งอกตั้งใจมองดูการกระทำนั้นไม่วางตา ทิดต้อมฟอกสบู่บริเวณกึ่งกลางลำตัวภายภายใต้กางเกงในสีดำตัวจิ๋วอย่างไม่ถนัดนักเพราะมันคอยแต่จะทะลักออกมาภายนอกขอบกางเกงในตลอดเวลา ล้วงตรงนี้ ไปทะลักขอบขาควักทางนั้น ไปทะลุขอบเอว แถมเจ้าท่อนลำเอ็นแท่งนี้เวลาโดนความลื่นของสบู่ผสมกับความสากของมือก็คอยแต่จะตื่นตัว ผงาดง้ำ ราวกับโกธรที่มือสากๆไปรบกวนมันเสมอทิดต้อมรู้สึกเสียววาบทุกครั้งที่ต้องใช้มือถูสบู่ทำความสะอาดบริเวณคอหยักมันร้อนวูบชาวาบไปทั้งตัวจนจี๊ดขึ้นถึงสมอง หวิวๆเหมือนหัวใจจะวาย ใจหนึ่งก็ไม่ชอบเพราะมันเหมือนใจจะขาดแต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือรู้สึกวูบไหวสยิวในท้องและรู้สึกดีเหลือเกินแต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุ 21 ปีทิดต้อมไม่เคยรู้จักเลยว่า จุดสุดยอดคืออะไรและจะนำพาตนเองไปทางไหนถึงจะไปถึงจุดสุดยอดที่ว่า ภาพที่พี่ต้อม แอ่นหน้า โก่งหลัง ลูบไล้ฟองสบู่ทั่วร่างกำยำของตัวเองภายใต้กางเกงในตัวจิ๋วทำให้เด็กแอมวูบวาบไปทั้งตัว ใจเต้นระทึกจนจะทะลุออกมานอกอกเล็กๆนั่นปากคอแห้งกลืนน้ำลายลำบากใบหน้าร้อนผะผ่าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเด็กน้อยไม่รู้ว่าความรู้สึกวูบวาบแบบนี้มันคือความรู้สึกที่เรียกว่าอะไรรู้แต่อยากชิดใกล้พี่ชายคนนี้มากขึ้น หวงมากขึ้น และรู้สึกอยากสัมผัสอยากกอดแรงๆอยากได้ไออุ่นจากพี่ชายคนนี้เหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะขาดความอบอุ่นจากเพศชายมาตั้งแต่เกิด เมื่อชายหนุ่มสาดน้ำขันสุดท้ายล้างคราบสบู่จากตัวเสร็จพี่ทิดต้อมก็หันมาเช็ดตัวหยาบๆก่อนจะใช้ผ้าขนหนูพันกายลวกๆแล้วถอดกางเกงในเปียกๆที่ใส่อาบน้ำเมื่อครู่ออกมาฟอกสบู่ขยี้สองสามครั้งแล้วล้างขึ้นบิดตาก เด็กแอมรู้สึกเสียดายที่ภาพอันวาบหวิวนั้นจบลงแล้วเมื่อพี่ทิดต้อมเดินมาถึงโถงเรือนก็ลงมือปูที่นอน กางมุ้งแล้วก็ผลัดผ้ามาใส่กางเกงในตัวใหม่ แล้วเอาผ้าขาวม้ามานุ่งทับถกเขมรเหน็บชายไว้ด้านหลังเอวแบบน้ค่อยคล้ายกับตอนนุ่งจีวรหน่อยโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของตัวเป็นเป็นที่จับตามองของเด็กน้อยวัยอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา “แอม ทำอะไร ทำไมเงียบจัง?” ชายหนุ่มถามเด็กน้อยช่างฉอเลาะคนเดิมที่เงียบไป ก่อนจะมุดเข้ามุ้งเพื่อเข้านอน เพราะนี่ก็สามทุ่มแล้ว เด็กชายยังนิ่งเงียบในความมืด “เอ้า..เข้านอนเถอะดึกแล้ว ฝนก็ตก พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” เด็กแอมสะดุ้งโหยงเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวรีบดับตะเกียง และมุดเข้ามุ้งตามพี่ทิดต้อมของตัวเองอย่างรวดเร็วเด็กน้อยขี้เล่นโถมตัวลงทับพี่ชายคนเก่งแล้วจี้เอวชายหนุ่มขะยุกขยิกเป็นเชิงหยอกเล่นเหมือนเคยทุกวันก่อนหัวเราะคิกคัก “พอๆไม่เล่น พี่เหนื่อย ปวด หลังมากเลย” ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงเพลียหลับตานิ่ง พร้อมใช้สองมือประสานกันสอดใต้ท้ายทอยของตนเองเด็กน้อยเลิกดิ้นขยุกขยิกหันมานอนนิ่งๆทับร่างชายหนุ่มในท่ากองก้นเอียงหน้าแนบอกแกร่งๆที่สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะตามการหายใจ กลิ่นหอมของสบู่ก้อนสีเขียวกรุ่นไปทั่วตัวของพี่ชายอกก็อุ่นและแกร่งเหลือเกิน สายตาของเด็กน้อยปะทะกันกับขนรักแร้ฟูฟ่องในเงามืดสลัว “แน่ะมานอนทับพี่อีก ลงไปนอนดีๆเร็ว พี่หนัก” ชายหนุ่มบอกเด็กน้อยไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัวลงมาแต่อย่างใดกลับเอานิ้วหัวแม่มือเข้าปากดูดจุ๊บๆเหมือนอย่างเคย แสดงว่าจะหลับแล้วเด็กแอมคิดในใจว่า ไม่ลงหรอก นอนแบบนี้รู้สึกดีจะตาย แล้วจู่ๆก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่ได้เป็นบ่อยนักเจี๊ยวน้อยๆของน้องแอมแข็งชูชันขึ้นมาเฉยๆอย่างควบคุมไม่ได้ซึ่งมันทำให้ทิดต้อมรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ เพราะมันพาดเบียดหน้าท้องของเขาพอดีชายหนุ่มหัวเราะขัน “แน่ะมาหัมแข็งใส่พี่อีก ลงไปๆ นอนได้แล้ว” เด็กน้อยไม่มีทีท่าว่าจะขยับแต่อย่างใดชายหนุ่มถอนใจอย่างระอา ก่อนจะยกร่างบางๆของเด็กชายลงไปวางลงบนฟูกข้างๆตัว “หูยขี้งกนอนแค่นี้ก็ไม่ได้” เด็กชายบ่นอุบ เอาหัวซุกๆใต้รักแร้ชายหนุ่มสูดดมความหอมจากกลิ่นสบู่ดังซูด “นั่นๆทะลึ่งจัง นอนๆๆ” ทิดต้อมปราม ก่อนจะตั้งใจนอนให้หลับ และเคลิ้มหลับไป โดยไม่ได้รู้ว่าเด็กน้อยยังคงตาเบิกโพล่งในความมืด ด้วยความรุ่มร้อนในหัวอกโดยที่ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร แต่ด้วยความเป็นเด็กไม่ประสาหลังจากนั้นไม่กี่นาที เมื่อได้นอนดูดนิ้วเพลินๆเด็กชายก็เคลิ้มหลับไปข้างๆชายหนุ่มนั่นเอง
ท้องฟ้าเริ่มสางแล้วตอนที่ชายหนุ่มรู้สึกตัวตื่นแต่ฝนยังคงตกปรอยๆปะทะหลังคาสังกะสีคล้ายเสียงกล่อมให้คนนอนหลับต่ออากาศเย็นสบายดีเหลือเกิน จนชายหนุ่มแทบไม่อยากลุกจากฟูกที่นอนเลยปกติเค้าไม่เคยตื่นสายแบบนี้ เพราะต้องตื่นมาทำวัดเช้าและออกบิณฑบาตทุกวัน แต่เมื่อสึกออกมาใช้ชีวิตฆราวาสและฤดูฝนมาถึง เขาต้องกรำงานนาหนักทั้งวัน พักหลังมานี้จึงทำให้ชายหนุ่มหลับสนิทถึงเช้าจนเป็นเรื่องปกติวันนี้ก็เช่นกัน แม้จะรู้สึกตัวแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงหลับตานิ่งกะว่าอีกสักครู่จึงจะลุก แต่เอ๊ะ ทำไมวันนี้รู้สึกแปลกๆ แถวๆช่วงล่าง.......อ้อช่วงล่าง น้องชายตาเดียวของเค้าก็ตื่นแล้วเหมือนกันมันก็เป็นของมันแบบนี้ทุกเช้าแหละ แต่เอ๊ะ....ทำไมมันรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกก่อกวนดูมันไม่สบอารมณ์เลย ผงกหัวหงึกหงักสู้ไอ้เจ้าตัวก่อกวนที่คอยป้วนเปี้ยนมันใหญ่เลยชายหนุ่มใจหายวาบค่อยๆหรี่ตามองลงไปดูไอ้น้องชายตาเดียวของตัวเองที่กำลังโดนลุกล้ำจากสิ่งก่อกวนเขาสะดุ้งโหยง ไม่ใช่แค่น้องชายตาเดียวของเค้าหรอกที่ตื่นน้องชาย7ขวบของเค้าก็ตื่นแล้ว ตอนนี้ลืมตาแป๋วนอนตะแคงข้างดูดนิ้วหัวแม่โป้งตัวเองอย่างสบายอารมณ์มืออีกข้างก็ลูบไล้ สลับบีบเค้นไอ้น้องชายตาเดียวของเขาเล่นภายนอกกางเกงในให้เพลินไปเลย “แอม! อย่าเล่น!” ทิดต้อมดีดตัวลุกนั่งทันควันขนหัวลุกชันยังกะเจอผีหลอก ผ้าขาวม้าที่เค้านุ่งถกเขมรทับกางเกงในไว้เมื่อคืน หลุดลุ่ยไปไหนต่อไหนเหลือแค่กางเกงในตัวจิ๋วติดกายไว้กันอุดจาด พอปัดมือเด็กแอมพ้นตัวชายหนุ่มก็ลนลานคว้าผ้าขาวม้ามาพันกายพัลวัล เด็กแอมหัวเราะคิกคัก “ทะลึ่งใหญ่แล้วไป ไปอาบน้ำเตรียมตัวไปโรงเรียน” ชายหนุ่มดุเสียงเขียวเด็กชายวิ่งตื๋อหัวเราะคิกออกจากมุ่ง วิ่งตรงไปหาแม่ใหญ่ที่ครัวไฟที่ตอนนี้มีควันไฟลอยเป็นสายออกมาจากทางช่องประตูแม่ใหญ่ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อหุงหาอาหารเช่นเคย ชายหนุ่มไม่โอ้เอ้รีบตวัดมุ้งเก็บที่นอนให้เรียบร้อย ก่อนจะทำธุระส่วนตัวล้างหน้าสีฟันแล้วรีบลงไปทำงานนา แต่วันนี้ปวดหลังเหลือเกินแล้ว ค่อนๆเที่ยงคงวางมือแล้วตกบ่านคงต้องให้พ่อใหญ่ทองจับเส้นให้...อ๋อ..แล้วก็ไปถามหากางเกงขาสั้นจากน้องชายมาไว้ใส่นอนสักตัวไม่อยากจะนอนประเจิดประเจ้อนัก เพราะพักนี้เด็กแอมมันดูแปลกๆ เดี๋ยวเกิดปึ๋งปั๋งขึ้นมาผิดที่ผิดทางเด็กมันใจแตกกันพอดี
...... ไว้มาต่อ
|