แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย sos007 เมื่อ 2019-2-23 13:17
เรื่องบางเรื่อง ถูกเล่าจากปากสู่ปาก จากเรื่องจริงกลายเป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่ากลายเป็นตำนานและจากตำนานก็ถูกบันทึกด้วยตัวอักษรจนกลายเป็นวรรณกรรม (คำเตือน : เนื้อหาของเรื่องถูกแต่งขึ้นมาจากความคิดของผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ สาระและความสมจริงนั้นอาจหาได้ไม่มาก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดที่ดำเนินในเรื่องนี้ ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างอย่างยิ่ง)
๑. กุมารทอง(๑)
"อันทารกใดที่มันมีลักษณะดีตั้งแต่ในครรภ์ ให้เอามันออกเมื่อถึงฤกษ์ กล่าวขอบคุณมันแล้วเอาไปย่างไฟให้แห้ง บริกรรมด้วยจิตอันประกอบด้วยโทสะ แลราคะแล้วเอาใส่ภาชนะพกติดตัวไว้ มันจะคอยเป็นข้ารับใช้ตราบจนเอ็งผิดต่อมัน..."
เด็ก ม.ปลาย อย่างผมคงจะไม่มีอะไรให้ทำนอกซะจากหาประสบการณ์ใหม่ๆเข้ามาในชีวิต ปีนี้ก็ 17 เข้าไปแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเรียนต่อทางไหนดี แต่เอาไว้ก่อนเพราะตอนนี้ก็ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว เรื่องเรียนๆก็ทิ้งไว้ที่นี่ หลังจากนี้ก็ปล่อยตัวให้เหมือนวัยรุ่นทั่วๆไป จักรยานที่ผมได้มาตอนพ่อรู้ว่าผมสอบติดโรงเรียนนี้ มันก็ไม่ได้มากมายอะไร ท่านจะซื้อรถยนต์ให้แต่ผมค้านไว้ เพราะในโรงรถก็ไม่รู้จะเอาให้ใครขับอีก ถึงแม้ที่บ้านจะมีฐานะ แต่ผมก็ค่อนข้างติดดิน ผมชอบความรู้สึกเอื่อยๆมากกว่าที่ต้องเร่งรีบไปทำนู้นทำนี่ มันดูวุ่นวาย ปั่นมาเรื่อยๆ เจอรถเข็นขายลูกชิ้นปิ้งข้างหน้าก็ขอแวะสักหน่อย “เอาอันนี้สอง อันนี้สามครับ” นิ้วขาวๆชี้ไปที่ลูกชิ้นกลมๆสีขาวกับน้ำตาลที่วางอยู่ในตู้กระจก ในระหว่างรอก็มองเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะร่วงลงไป ในอีกไม่นานก็คงถูกแทนที่ด้วยพระจันทร์และดวงดาวอีกนับล้าน “ได้แล้วจ้ะหนู” แม่ค้าที่อายุสักเลขห้าได้ ผมเห็นแกขายอยู่นี่นานแล้วตั้งแต่ผมเข้าที่นี่ได้ บางวันก็เห็นเด็กอายุไล่เลี่ยกับผมมาช่วยแกขายด้วย ทางกลับบ้านนั้นถึงแม้จะอยู่ในเมืองหลวงก็ยังดูน่ากลัวในเวลากลางคืน ปั่นเข้ามาในหมู่บ้านที่ค่อนข้างมีฐานะกัน ทุกหลังจะปลูกห่างกันพอสมควร อีกอย่าง ถึงตลอดทางที่ขับเข้ามาจะมีบ้านคนตลอด แต่ก็ใช่ว่าทุกบ้านจะมีคนอยู่ ก็อย่างนี้แหละ คนรวยๆมักยุ่งวุ่นวาย กลับบ้านไม่เป็นเวลา บ้านหลังใหญ่แต่ไร้คนอยู่อาศัยผ่านไปหลังแล้วหลังเล่า อีกสามบ้านก็จะถึงบ้านผมแล้ว “เฮ้ย!” จู่ๆก็มีใครไม่รู้วิ่งมาตัดหน้ารถ ถึงจะเป็นจักรยานแต่มันก็อันตรายอยู่ดี ในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มมืด ผมมองเห็นชายแก่คนหนึ่ง แกค่อยๆเดินมาหาผม ผมสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่น่ากลัวจากคนๆนี้ ผมพยายามจะปั่นจักรยานหนี แต่ผมกลับได้พบกับความจริงที่น่าขนลุกว่าผม ขยับไม่ได้!! นี่ไม่ใช่อาการช็อคหรือชาแต่ผมหาคำมาอธิบายไม่ได้ ชายแก่คนนั้นเดินมาถึงตัวผมแล้ว มือที่เหี่ยวย่นของเขายื่นอะไรบางอย่างมาให้ผม ไม่สิ เขาได้ยื่นให้ผมรับมัน แต่นี่เป็นการยัดเยียดของสิ่งนั้นมาให้กับผม ชายแก่นำของนั่นมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อในชุดนักเรียนของผม แล้วจากนั้นสติผมก็ดับวูบไป... ตื่นขึ้นมาในห้องของตัวเอง อย่างแรกที่ผมทำคือการสำรวจตัวเอง แต่กลับพบว่าชุดที่ผมใส่ถูกเปลี่ยนแล้ว เดินลงมาข้างล่างก็พบกับพ่อบ้านวัยสามสิบที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่ “เมื่อวานผมกลับมาได้ยังไง” เมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ทรงหรู ผมก็เอ่ยปากถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจทันที “คุณโซ่กลับบ้านมาตอนหกโมงเย็น แล้วก็เดินขึ้นห้องไปเลยครับ มื้อเย็นก็ไม่รับด้วย กระผมว่าจะถามอาการคุณโซ่พอดีเลยครับ” คุณพ่อบ้านทำหน้างงเล็กน้อยที่ผมถามอะไรแบบนั้นออกไป เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องแปลกซะอย่างนั้นแหละ “ผมคงเบลอๆละมั้ง แล้วนี่คุณพ่อยังไม่กลับอีกหรอ?” คุณพ่อเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่ขยายสาขาไปทั่วประเทศ ส่วนคุณแม่ผมนั้นท่านเป็นเอกอัคราชทูตอยู่ในประเทศฝั่งยุโรป นานๆทีถึงจะกลับ คุณพ่อกับคุณแม่โดนผู้ใหญ่จับคลุมถุงชนโดยที่ไม่ได้คิดกับอีกฝ่ายในแง่นั้น ต่างคนต่างมีความฝันที่สวนทางกัน ผู้ใหญ่อยากให้มีลูกด้วยกันเลยมีผมแต่ก็แค่คนเดียว จากนั้นทั้งสองก็หย่ากันด้วยดี แล้วเป็นเพื่อนสนิทกันดีกว่า “ยังเลยครับ คุณท่านน่าจะกลับจากสัมมนาที่ญี่ปุ่นอีกสองสัปดาห์” เป็นอีกวันที่ผมปั่นจักรยานมาโรงเรียน ในช่วงหกโมงเช้าเป็นอะไรที่สดชื่นมากๆ มาถึงโรงเรียนในเวลาไม่นานนัก ผมก็ตรงขึ้นห้องประจำทันที ม.5/2 มาถึงก็ไม่รอช้าที่จะตรงไปนั่งที่ของตนเอง มองผ่านหน้าต่างออกไปที่สนามบาส เห็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวคร้ามแดดนิดๆจากการเล่นกีฬากลางแจ้ง มอส คนที่ผมแอบปลื้มตั้งแต่เข้ามาเรียนแรกๆ ด้วยความที่มอสดูเป็นพวกเงียบๆ เลยทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้นอกจากกลุ่มเพื่อน นายนั่นอยู่ห้องวิทย์ - กีฬา ต่างจากผมที่อยู่วิทย์ – ศิลป์ อยากให้นายนั่นมาสนใจจังเลยน๊า คิดเสร็จก็หันกลับมามองเพื่อนร่วมห้องที่เริ่มทยอยเข้ามา แต่หางหาผมเห็นแวบๆว่ามอสเงยหน้าขึ้นมามอง แต่คงจะตาฝาด อย่างนายมอสเนี่ยนะจะวอกแวกจากแป้นชู๊ตตรงหน้า คิดมากไปแล้ว ไอ้โซ่เอ้ย...
|