แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย sos007 เมื่อ 2019-3-30 12:57
เรื่องบางเรื่อง ถูกเล่าจากปากสู่ปาก จากเรื่องจริงกลายเป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่ากลายเป็นตำนานและจากตำนานก็ถูกบันทึกด้วยตัวอักษรจนกลายเป็นวรรณกรรม (คำเตือน : เนื้อหาของเรื่องถูกแต่งขึ้นมาจากความคิดของผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ สาระและความสมจริงนั้นอาจหาได้ไม่มาก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดที่ดำเนินในเรื่องนี้ ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างอย่างยิ่ง)
๒. เจ้าที่(๒)
“ไม่เป็นไรๆ พวกนายกลับเถอะ” ว่าแล้วก็ยืนขึ้นก่อนจะออกจากห้องพยาบาลพร้อมกัน ก่อนจะแยกกันไปคนละทาง คู่รักฟ้าประทานเดินไปที่โรงรถ ส่วนผมแยกไปอีกทางที่เป็นที่ตั้งของศาลพระภูมิคู่กรณีและเจ้าทุกข์ในคดีก่อนหน้า เมื่อไปถึง คิ้วหนาๆก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้า หายไป ทั้งเศษแก้วสีใสที่กระจัดกระจายทั่วฐานของตัวศาล ทั้งน้ำอัดลมสีแดงกลิ่นหวานก็ด้วย หายไปหมดแล้ว ใครมาเก็บกวาด เค้าเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้าไหม แล้วเราจะโดนความผิดอะไรบ้างเนี่ย แต่ความคิดต่างๆก็หยุดลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่า แม่บ้านหรือไม่ก็ภารโรง คงมาทำความสะอาดแล้ว นั่นสิ คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง ถึงจะคิดแบบนั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้ใจดวงน้อยลดความวูบโหวงแปลกๆลง รู้สึกไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แม้จะคิดไปว่าคงเป็นจิตสำนึกที่ดีที่เมื่อทำผิดแล้วต้องรับผิดชอบ แต่...ไม่รู้สิ ช่างมันเถอะ เมื่อสงบจิตสงบใจได้บ้าง ก็หันหลังกลับเพื่อเดินไปโรงรถอันเป็นจุดหมายเดิมเมื่อสักสิบนาทีก่อนหน้า เมื่อร่างโปร่งในชุดนักเรียนชายเสื้อหลุดลุ่ยพร้อมกับกระดานวาดรูปแผ่นใหญ่ เดินลับหายไปจากบริเวณ ก็มีลมวูบหนึ่งหอบพัดเอาสายของควันธูปสีเทาสายหนึ่ง ลอยไปยังที่ที่หนึ่ง ก่อนดาวฤกษ์สีแสดจะลับหายไปจากฟากฟ้าเมืองอมร ........................................................................................................................................................................................................................................................
เช้าอันมืดครึ้ม ด้วยเป็นช่วงแห่งวสันตฤดู ผมมาโรงเรียนเป็นคนแรกอีกตามเคย สถานที่นัดพบสำหรับผมนั้นไม่มีหรอก เพราะผมไม่มีเพื่อน เด็กทุนกระจอกงอกง่อยอย่างผมก็เป็นธรรมดาที่จะถูกเหล่าคุณหนูทั้งหลายเมินหน้าหนี ดังนั้น ที่อยู่ของผมในทุกๆเช้าก็คือห้องชมรมศิลปะที่ผมเป็นรองหัวหน้าอยู่ ที่ตั้งคือหลังโรงเรียน เพราะปัญหาหลายอย่าง ทั้งกลิ่นของสีหลากชนิดกับวัสดุการทำประติมากรรมต่างๆ อีกทั้งเรื่องของความสะอาด ก็เราเด็กศิลป์นี่นา เพราะเหตุนั้น พวกเราเลยถูกเนรเทศให้มาอยู่อาคารพละเก่า จะเรียกอาคารก็คงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะนี่เป็นเพียงห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาเมื่อครั้งอดีตเท่านั้น ดีหน่อยก็ตรงความกว้างของเนื้อที่ ทำให้สมาชิกกว่าห้าสิบคนของชมรม สามารถกลิ้งเล่นได้เมื่อคิดงานไม่ออก ห้องศิลปะจริงๆอยู่ตรงปีกขวาของโรงเรียนห่างจากห้องชมรมเราประมาณร้อยเมตร อาคารแบ่งเป็นชั้นๆ เป็นที่สำหรับเรียนบ้าง แสดงผลงานบ้าง และมีโรงละครเล็กๆอยู่ที่ชั้นห้าด้วย เป็นอาคารศิลป์จริงๆ ในห้องชมรมนี้มีวัสดุอุปกรณ์วางอย่างพยายามให้เป็นระเบียบที่สุด แต่มันก็เท่านั้น เด็กศิลป์ก็คือเด็กศิลป์ เมื่อถึงเวลาทำงาน ก็อย่างหาถึงที่ว่างของห้อง ชมรมเราได้สร้างผลงานมาอย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น ชนะบ้างแพ้บ้างก็เป็นสีสัน แต่มีงานโรงเรียนทีไรก็เรานี่แหละ อย่างตอนนี้ที่ผมกำลังนั่งวาดแบบบนกระดาษแผ่นใหญ่อย่างขมักขะเม้นแบบที่ว่าคือแบบของแสตนเชียร์ที่ทางโรงเรียนจะต้องจัดทำให้เสร็จภายในเดือนนี้ เพื่อเข้าร่วมงานกีฬาประจำปีที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า มีผู้เข้าร่วมอีกห้าโรงเรียน รวมกับพวกเราเป็นหก แบบที่ว่าก็เริ่มตัดเส้นแล้ว ต่อไปก็เป็นการลงสีเพื่อเป็นแบบให้กับทางชมรมเชียร์ได้จัดการต่อไป ผมใช้เวลาในห้องชมรมไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นเข็มนาฬิกาบนผนังห้องก็เริ่มเก็บของ เข็มสีดำทั้งสองบอกเวลาเกือบแปดโมงเช้าแล้ว หลังจากล็อคห้องเสร็จก็เดินไปบริเวณที่นักเรียนบางกลุ่มเริ่มเข้าแถวเพื่อรอกิจกรรมหน้าเสาธงต่อไป ผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างมาสเตอร์ชินกรนั้น ทั้งที่มาทำงานในตำแหน่งนี้ได้เพียงสามเดือน แต่กลับเป็นที่รักของนักเรียน มิสเตอร์ มิสซิส และมิสทั้งหลาย รวมทั้งนักการภารโรง แม่บ้าน ยามหน้าประตูโรงเรียน เรียกได้ว่า แกเป็นที่รักของทุกคนเลยหละ ใจดีมีเมตตา แถมยังเคยเป็นครูพละอีกด้วย ถึงแม้อายุท่านจะขึ้นเลขสี่มาสักพัก แต่ทั้งหน้าตาที่ไม่บอกก็รู้ว่าตอนหนุ่มๆจะฮอตแค่ไหน แถมร่างกายที่สูงใหญ่สมกับอดีตครูพละที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็น ผอ. ไม่แปลกที่มิสและมิสซิสหลายๆท่านจะเอามาพูดเป็นประเด็นขำๆในห้องเรียน เวลาทั้งวันหมดไปกับการเรียน เมื่อเวลาเดินมาถึงตอนเลิกเรียน ผมก็ไม่รอช้าที่จะตรงไปยังห้องชมรม แต่ทั้งที่มีทางไปตั้งหลายทาง ผมกลับเลือกไปทางที่เพิ่งเกิดเหตุเมื่อวาน ระหว่างทางแทบจะไม่มีใครผ่านมาสักคน หลายนาทีถึงจะมีรถครูที่กลับทางประตูหลังขี่ผ่านไป ถึงแม้นี่จะเพิ่งบ่ายสองครึ่ง แต่แดดที่ไม่ออกเลยทั้งวันแบบนี้ ทำให้บรรยากาศดูวังเวงและหดหู่ ถึงจะอินดี้แค่ไหนก็กลัวผีเป็นนะเว้ย ข้างๆเป็นสถานที่เกิดเหตุเมื่อวาน สภาพยังคงอยู่แบบเดิม ไม่มีอะไรแปลกไป ชายตามองเพียงแวบๆแล้วก็รีบเดินต่อทันที ไม่คิดเสียเวลาอยู่หน้าศาลพระภูมินานๆหรอก ถึงมีคนบอกว่าผีไม่มีจริงหรือศาลพระภูมิเป็นเจ้าที่ที่ดีก็เถอะ ใครจะอยู่จ้องศาลพระภูมิก็ทำไป แต่ไม่ใช่ผมแน่ๆ ใช้เวลาตัดเส้นและลงสีไปได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ โทรศัพท์ที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ก็ส่งเสียงเตือนว่าได้เวลากลับหอแล้ว ล็อคห้องชมรมเรียบร้อยก็หันหลังกลับ ตัดสินใจอยู่นานก็เลือกได้ว่าจะกลับทางเดิม หากจะออกทางประตูหลังก็คงต้องอ้อมไปไกลเพราะป้ายรถเมล์อยู่หน้าโรงเรียน อีกทางก็คืออาคารวิทยาศาสตร์ที่ตอนเย็นๆแบบนี้ประกอบกับเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆที่เคยได้ยินนั้นเริ่มเข้ามาบั่นทอนใจน้อยๆให้หวาดหวั่นต่อสิ่งลี้ลับ เอาวะ อย่างน้อยๆศาลพระภูมิก็คงช่วยเราได้ เดินต่อไปโดยที่ไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ และนั่น มันจะเปลี่ยนชีวิตของรักษ์ไปตลอดกาล...
...สวัสดีครับ(คลานมากราบแทบเท้าผู้อ่าน) หลังจากตรากตรำกับการสอบและไฟนอลเวิร์คมาร่วมสองสัปดาห์ ผมก็นอนแห้งๆอยู่สองวันเต็ม แต่เมื่อเปิดคอมกลับพบว่ามันไม่ปกติ(น้ำตาซึม) สุดท้ายก็เข้าร้านที่เจ้าของเรียกชื่อผมถูกด้วย(ไปบ่อยแค่ไหนคิดดู) พอวันนี้ไปรับมาก็เสียบแฟลชไดร์ปุ๊ป เปิดเวิร์ดปั๊ป แล้วก็เอามาลงในนี้นี่แหละครับ(ยิ้มแห้ง) มาพูดเรื่องนิยายบ้าง ตอนนี้ผมก็ขอเกริ่นให้เห็นบรรยากาศของโรงเรียน(เรื่องที่แล้วใส่ไว้น้อยมาก) ยังคงไม่มีีฉากอย่างว่าตามเคย(ไม่ถนัดเลยครับ) แต่ตอนหน้ามีแน่นอนครับ(ยิ้มแห้ง) ผมจะทยอยอัพลงเรื่อยๆนะครับ(จะหมดสต๊อกแล้ว) รู้สึกว่าทอล์คจะยาวกว่านิยายแล้ว(เกาแก้ม) งั้น...เอาไว้เจอกันใหม่นะครับ...
|