แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย sos007 เมื่อ 2019-4-2 22:27
เรื่องบางเรื่อง ถูกเล่าจากปากสู่ปาก จากเรื่องจริงกลายเป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่ากลายเป็นตำนานและจากตำนานก็ถูกบันทึกด้วยตัวอักษรจนกลายเป็นวรรณกรรม (คำเตือน : เนื้อหาของเรื่องถูกแต่งขึ้นมาจากความคิดของผู้เขียนเป็นส่วนใหญ่ สาระและความสมจริงนั้นอาจหาได้ไม่มาก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดที่ดำเนินในเรื่องนี้ ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างอย่างยิ่ง)
๒. เจ้าที่(จบ) เงาดำที่คอยแอบมองเหตุการณ์อันน่าเวทนาอยู่ตลอดตั้งแต่ช่วงหัวค่ำนั้นกำลังแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียดดวงตาที่เต็มไปด้วยเคียดแค้นเพราะเธอไม่ได้รับการขอขมา หญิงชราใบหน้าเหี่ยวย่นในอาภรณ์สีขาวสะอาดแต่ลำตัวเต็มไปด้วยสีแดงของเลือดนั่นเพราะน้ำแดงที่เปรียบเสมือนเลือดนั้นได้ถูกชโลมลงบนร่างกายของเธอ พร้อมทั้งเศษแก้วมากมายนี่ก็ด้วย ถึงแม้จะถูกทำความสะอาดให้แล้ว แต่หากไม่มีการขอขมาลาโทษ เธอเองก็ยังจะคงสภาพไปแบบนี้
อดีตนั้นเธอเคยเป็นนางไม้ที่มีใบหน้าสวยสะพรั่งจนทำเอามนุษย์หนุ่มๆหลายรายเพ้อฝัน ไม่ยอมกินยอมนอนจนสภาพเหมือนถูกของ แต่ก็แค่อดีต ตั้งแต่การตั้งเสาเอกของอาคารเรียนหลังแรกของโรงเรียนแห่งนี้โดยใช้ไม้อันเป็นที่อยู่ของเธอ ก็มีพระเกจิอาจารย์ท่านหนึ่งมาเชิญให้เธอไปปกปักษ์รักษา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยุคสมัยเริ่มเปลี่ยน เทคโนโลยีต่างๆเริ่มมีบทบาทมากจนต้องรื้ออาคารไม้ออกไปสร้างเป็นอาคารปูนแทน เธอถูกเชื้อเชิญอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เธอถูกเชิญให้เข้าไปอยู่ในศาลพระภูมิอันห่างไกล จากนางไม้ก็กลายเป็นพระภูมิเจ้าที่ แต่เพราะไร้การดูแล ผีสาวที่เคยสะสวยเพราะดูแลตนเองได้เนื่องจากเป็นนางไม้ ก็กลายเป็นเพียงยายแก่เพราะพระภูมิเจ้าที่นั้นหากินและดูแลตนเองไม่ได้ แถมเมื่อไม่กี่วันก่อนยังถูกน้ำแดงและเศษแก้วละเลงไปทั้งศาลที่เปรียบได้กับร่างกายของเธอ ไม่แปลกที่เธอจะโกรธ เพียงแค่เธอทำอะไรไม่ได้ในตอนนั้น เธอรอจนถึงวันขึ้นสิบห้าค่ำอันเป็นวันที่ผีมักจะมีพลังสูงสุด เมื่อเธออับอายเพราะร่างกายที่น่าขนลุกนี่ มันเองก็ต้องเป็นเหมือนกัน
กูจักทำให้มันอับอายจนอยากสิ้นลม กูจักทำให้ร่างกายมันแปดเปื้อนจนมิอาจล้างออกหมด กูจักทำให้ร่างกายมันรวดร้าวปานเนื้อจะฉีก กูจักทำให้มันเป็นดังที่กูเป็น!
.................................................................................................................................................................................................................
เจ็บ
คือความรู้สึกแรกที่รู้สึกตัว มันเจ็บเหมือนตัวจะระเบิดออกจากกันให้ได้ เจ็บจนไม่อยากจะเปิดเปลือกตาขึ้นมา เพราะมันทำได้ยากลำบากเหลือเกิน
ความรู้สึกต่อมาคือมีบางอย่างกำลังกระเสือกกระสนเข้าๆออกๆจากช่องทางข้างล่างของตน รวบรวมแรงฮึดขึ้นมาได้ก็พยายามลืมตามองสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง
สิ่งแรกที่เห็นคือแผ่นอกหนาใหญ่ของคนด้านบน สมองประมวลผลเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์ต่างๆก่อนหน้าได้ย้อนมาเป็นฉากๆ พลันน้ำตาที่แห้งเหือดไปนานก็เริ่มหลั่งรินออกมาจากดวงตาคู่สวยอีกครั้งพร้อมกับเสียงสะอื้นฮักจนทำเอาคนที่กำลังมัวเมาในกามรสเริ่มผิดสังเกต
ที่นี่เป็นบ้านของเขาเอง หลังจากเมื่อคืน พอได้สติกลับมาบ้างก็เห็นว่าคนน้องนั้นได้สลบเหมือดไปแล้ว มองออกไปภายนอกอาคารที่สว่างเพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง พอเห็นว่าฝนได้หยุดลงเม็ดแล้ว เหลือแต่เพียงละอองเย็นๆเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เขาและเพื่อนๆต่างก็พากันแต่งกายให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น จากนั้นก็ตกลงกันว่าจะไปค้างที่บ้านของเขาเพราะใกล้กว่าที่อื่น แต่ก็ดีได้ไม่นาน กลิ่นแปลกๆก็พาลทำให้อารมณ์ดิบในตัวแต่ละคนก็เริ่มขึ้นอีกครั้งและอีกครั้งตลอดทั้งคืนจนถึงตอนนี้
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะรู้สึกตัวแล้วยังไง พวกเรายังคงมัวเมาไปกับร่างกายที่ฟ้าส่งมาให้เหล่าหมาป่าผู้หิวโหยอย่างพวกเขาจนเหนื่อยนั่นแหละถึงจะพอกันได้
พวกเขาหลับแล้ว...ผมค่อยๆพาร่างที่สั่นเทาของตัวเองเดินควานหาเครื่องนุ่งห่มที่พอจะให้ตนออกจากที่นี่ได้โดยไม่รู้สึกกระดากอาย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนก็เถอะ
หลับหูหลับตาหยิบเสื้อผ้าจากตู้ไม้ทรงสวยออกมาชุดหนึ่งแล้วก็รีบใส่มันเพราะกลัวว่าคนน่ากลัวพวกนี้จะรู้สึกตัว ก่อนหันไปเห็นสัมภาระของตนก็หยิบมันขึ้นมา เมื่อเรียบร้อยก็ออกจากห้องที่ตนพบเจอกับประสบการณ์อันเลวร้ายเมื่อสองชั่วโมงก่อนทันที ร่างกายที่ใกล้จะล้มเต็มที แต่ก็ยังพยายามฝืนตัวเพื่อที่จะกลับไปที่หอพักของตัวเองให้ได้
สำเร็จ ผมพาตัวเองมาถึงหอได้ก็ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกับทิ้งร่างกายอันโสมมนี่ลงบนที่นอนทันที
หลังจากพักฟื้นสภาพร่างกายไปค่อนวันก็พอจะมีแรงขึ้นมาบ้าง ร่างกายช่วงล่างที่เหนียวเหนอะเพราะน้ำสีขุ่นยังคั่งค้างอยู่จำนวนมาก มันส่งกลิ่นคละคลุ้งจนอยากจะอาเจียน ไม่รอช้า ร่างขาวซีดก็พยุงตัวเองไปจนถึงห้องน้ำจนได้
แต่น่าแปลก แม้จะล้างน้ำไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนกลัวว่าค่าน้ำเดือนนี้คงต้องจ่ายแพงขึ้นแล้วก็ตาม กลิ่นต่างๆบนตัวมันยังคงอยู่จนหยาดน้ำตานองหน้าอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา มันรู้สึกเหมือนมีตราบาป บนกระจกสะท้อนให้เห็นร่างกายที่มีแต่รอยแดงจ้ำทั่วทั้งร่าง กลิ่นคาวของน้ำอสุจิรวมถึงกลิ่นตัวของพวกเขายังคงติดอยู่บนร่างกายจนรู้สึกขยะแขยง ถูตัวซ้ำอีกรอบจนตัวแดงเถือกก็ยังรู้สึกถึงมันอยู่ ส่งเสียงหึด้วยความสมเพสตัวเอง
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ผมรู้สึกอย่างนั้น จู่ๆภาพของศาลพระภูมิที่กระจัดกระจายไปด้วยเศษแก้วมากมายและน้ำสีแดงฉานราวกับเลือดนั้นก็แวบเข้ามาในหัว.....ถึงจะไม่ได้เป็นต้นเหตุแต่ก็เป็นคนที่พลาดทำให้เกิดขึ้น ยังไงก็ต้องไปขอขมาสินะ ถึงจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่แต่ในเมื่อเจอเรื่องเลวร้ายมา คนเราก็ย่อมหาที่พึ่ง บางที....ที่ศาลอาจจะช่วยอะไรได้ไม่มากก็น้อยละนะ
..............................................................................................................................................................................................................................................
หลังจากกลับมาเรียนตามปกติ ก็ยังคงทำตัวไปอย่างปกติเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็เห็นจะมีเพียงเรื่องของรุ่นพี่สี่คนที่พักนี้เจอบ่อยๆ นานวันเข้าก็เริ่มเข้ามาพูดคุยด้วยจนเป็นที่แปลกใจของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวอย่างโซ่คนงาม
“พักนี้เห็นพี่ซันมาหาบ่อยๆนะ พี่ป้อง พี่ก่อ อีก แล้วยังมีพี่เสือที่หาตัวยากคนนั้นด้วย เดี๋ยวนี้นี่ชักจะเนื้อหอมมากไปแล้วนะ ฮ่าๆๆ” เสียงใสหัวเราะออกมาอย่างหยอกล้อ
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปเถอะ จะถึงเวลาเรียนแล้วนะ” คนมืดมนเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งเพื่อนก็ไม่ขัดอะไร ต่างก็พากันขึ้นห้องเพื่อไปเรียนในช่วงบ่าย
เลิกเรียนแล้ว แต่ผมยังคงนั่งระบายสีรูปที่จะใช้ในการแปลอักษรแปลภาพบนแสตนเชียร์อยู่ในห้องชมรมคนเดียวอีกตามเคย ส่วนคนอื่นๆก็ไปทำในส่วนของตัวเองเพื่อเตรียมในงานสำคัญที่จะถึงนี้ บ้างก็ไปซื้อของต่างๆ บ้างก็ทำตัวแสตนเชียร์ คนในชมรมศิลปะทั้งหมดก็พากันไปทำป้ายสำหรับเดินขบวน ส่วนงานออกแบบก็เป็นหน้าที่ของผมเอง
แต่พอเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นกระดาษเพื่อพักสายตา ก็เจอกับสายตาสี่คู่ของคนสี่คนที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่สี่คนนี้ก็คือคนที่ทำร้ายผมในคืนนั้นนั่นแหละ
“สวัสดีครับ” ยกมือไหว้ทั้งสี่คนเสร็จก็หันไปให้ความสนใจกับงานตรงหน้าต่อ
พวกพี่เค้าแค่มาหา มานั่งใกล้ๆ ถามเรื่องราวในชีวิตบ้าง หรือเล่าเรื่องทั่วๆไปให้ฟังบ้าง เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เจอกันหลังจากเหตุการณ์นั้น พอผมไปขอขมาศาลพระภูมิเสร็จก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรอีก จนวันหนึ่งที่พวกที่เขาพร้อมใจกันเดินเข้ามาทัก ตอนนั้นผมช็อกไปแล้ว และประโยคต่อมาก็ยิ่งทำให้ผมช็อกเข้าไปอีก
“พวกพี่ขอจีบรักษ์นะ” ผมนึกว่าพี่เขาพูดเล่นหรือเป็นเรื่องแกล้งอะไรกันหรือเปล่า
“เลิกงานกี่โมง เดี๋ยวพี่ไปรับ” จนถึงตอนนี้ที่ผมทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ที่บริษัทเล็กๆแห่งหนึ่ง พวกพี่เขาก็ยังคงตามจีบผมมาเรื่อยๆ รวมแปดปีแล้วที่พวกพี่เขายังคงมาวอแวผม ใช่ว่าจะเล่นตัวอะไรหรอกนะ จริงๆใจอ่อนนานแล้ว เพียงแค่อยากแกล้งพวกพี่แกเท่านั้น ซึ่งพี่แกก็ไม่ว่าอะไร แต่ถึงจะยังไม่ได้เป็นแฟน แต่พวกพี่แกก็ตาม...เอ่อ...ตามหึงผม ไม่ได้เข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่พอพี่แกไม่ว่างก็ให้อีกคนมาเฝ้า เฝ้าเช้าเฝ้าเย็นจนเลื่องลือกันไปทั้งโรงเรียนแล้วก็ที่มหา’ลัย ถ้าจะขนาดนี้ก็ไม่มีใครเข้าหาผมได้หรอก โดนเพื่อนล้อตั้งแต่ ม.5 ยันตอนนี้ แต่ขนาดนี้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม เรื่องราวนั้นมันก็ผ่านมานานจนผมเกือบจะลืมไปแล้ว คิดๆดูก็น่าตลก จากความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตจนทำให้คนมืดมนอย่างผมพบเจ้าที่ของตัวเอง แถมมาทั้งทีสี่คนพร้อมกันอีก...ผมคงไม่ได้นอนซักคืนแน่ๆ
...จบไปอีกเรื่องแล้วเนอะ สำหรับซีรี่ย์นี้ คิดเห็นยังไงก็บอกกันได้นะครับ ที่หายไปนี่ไม่ใช่อะไรนะ หายไปเกลาตอนนี้มา คือตอนแรกที่เขียนไปคือเขียนด้วยอารมณ์มันส์ล้วนๆ พอมาอ่านอีกรอบก็เลยรู้สึกว่ามันขัดใจตัวเอง....ที่มันชอบเธอ~~~(ยังจะเล่น) ก็นั่งเกลาใหม่อยู่นาน และนี่ก็คือผลผลิตของเรา(ซาวด์ของ 20th Century Fox) พอละ คราวหน้าเรามาต่อเรื่องใหม่กัน รอดูแล้วกันว่าจะเกี่ยวกับเรื่องผีๆแบบไหน ส่วนวันนี้ก็ขอตัวก่อนแล้วกันนะครับ บาย...
|