*****แจ้งนิยายเรื่องนี้เนื้อเรื่องหลักมาจากละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว มีการแก้ไข เปลี่ยนและเพิ่มบท ของ ช-ช *****
เปิดเรื่องแผนที่ เห็นการแผ่ขยายอำนาจของพระเจ้าอลองพญา จากกรุงอังวะเรื่อยมาจนยึดตองอู แปร พสิม มณีปุระ หงสาวดี เมาะตะมะ ฯลฯ “พระเจ้าอลองพญาทรงแผ่ขยายอำนาจของกรุงอังวะ จนยึดครองได้ทั่วพุกามประเทศ กรุงศรีอยุธยาหวั่น เกรงในอำนาจของพระองค์มาก จึงให้การสนับสนุนพวกมอญก่อกบฏต่อกรุงอังวะ พระเจ้าอลองพญาทรงพิโรธมาก มีพระราชสาสน์ถึงกรุงศรีอยุธยาให้หยุดการสนับสนุน แต่กรุงศรีอยุธยาก็เพิกเฉยเสีย พระองค์จึงกรีธาทัพ40,000 คน บุกกรุงศรีอยุธยา ในเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2302”
กลางคืน ทหารอังวะกำลังบุกไล่ฆ่าชาวบ้านที่อยู่ชานกรุงศรีอยุธยา ทหารอังวะส่วนหนึ่งฆ่าชาวบ้าน อีกส่วนปล้นทรัพย์สิน และเสบียงอาหาร พวกชาวบ้านบางคนหนีตาย บางคนพยายามสู้แต่ก็สู้ไม่ไหว โดนทหารอังวะฆ่าตาย เศรษฐีมิ่งกำลังพาชื่น ภรรยากับแมงเม่าลูกสาววัย 12-13 ปี หนีการบุกโจมตีของทหารอังวะด้วยความหวาดกลัว โดยมีม่วงลูกชายคนโตวัย 22-23 ปีคอยใช้ดาบสู้กับพวกอังวะเป็นการคุ้มกันให้พ่อ น้อง และแม่เลี้ยง ม่วงมีฝีมือพอสมควร เลยสู้กับพวกอังวะอย่างดุเดือด ม่วงพูดไปสู้ไป “พ่อ พาทุกคนหนีไป ฉันจะระวังหลังให้เอง” พูดจบม่วงก็ควงดาบตะลุยรุกไล่พวกทหารอังวะจนล่าถอยไป มิ่งรีบสั่ง “แม่ชื่น แมงเม่า ตามข้ามา” มิ่งพาภรรยากับลูกสาววิ่งหนีไปอีกทาง แต่ทันใดนั้นก็เจอทหารอังวะบุกเข้ามาพอดี ม่วงหันไปเห็นเข้าก็ตกใจ จะเข้าไปช่วยพ่อ แต่พวกอังวะก็รุมเข้ามา จนเข้าไปช่วยไม่ได้ มิ่งตัดใจชักดาบออกมาสู้กับพวกอังวะ แต่มิ่งไม่มีฝีมือการต่อสู้ สู้ได้นิดเดียวก็โดนทหารอังวะถีบจนล้มคว่ำ แมงเม่าตกใจสุดๆ ห่วงพ่อมาก เข้าไปกอดพ่อที่ล้มอยู่กับพื้น “พ่อ” ทหารอังวะเงื้อดาบจะฟันมิ่งกับแมงเม่า แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังกึกก้องขึ้น ทหารอังวะตกใจหันไปมองตามเห็นขุนทอง โจรร้ายผู้มีชื่อเสียง พาหาญและพวกลูกน้อง ขี่ม้าบุกเข้ามาช่วยพวกชาวบ้าน ทหารอังวะตกใจ รีบเข้าไปต่อสู้กับขุนทองทันที ขุนทองมีฝีมือร้ายกาจมาก ขี่ม้าบุกตะลุยใส่ทหารอังวะอย่างกล้าหาญ ขุนทองขี่ม้าตะลุยผ่านทหารอังวะ พร้อมกับสะบัดดาบฟาดฟัน ทหารอังวะล้มตายเป็นใบไม้ร่วงทันที มิ่งดีใจสุดๆ “เสือขุนทอง” มิ่งตะโกนลั่น “เฮ้ย เสือขุนทองมาช่วยพวกเราแล้ว” พวกชาวบ้านดีใจมาก หยิบอาวุธเท่าที่หาได้ ไม่ว่าจะดาบ มีดพร้า ไม้คาน ฯลฯ เข้าช่วยสู้อีกแรง ขุนทอง หาญ และพวกลูกน้องไล่ฆ่าฟันทหารอังวะ จนพวกอังวะต้องหนีตายกันอลหม่าน หาญกับพวกลูกน้องจะตามไปไล่ฆ่าพวกอังวะต่อ ขุนทองรีบห้าม “ไม่ต้องตาม เรามีงานสำคัญต้องไปทำ อย่าพะวงให้เสียการใหญ่” ขุนทองหันไปตะโกนบอกพวกชาวบ้าน ชี้มือไป “พวกเอ็ง จงหนีไปตามทางนี้ ที่ท้ายคลองมีค่ายของออกญาพลเทพตั้งอยู่ ออกญาท่านจะปกป้องพวกเอ็งทุกคนเอง” พูดจบขุนทองก็ขี่ม้าจากไปตามด้วยหาญและพวกลูกน้อง ชาวบ้านต่างดีอกดีใจที่รอดมาได้ ทุกคนต่างสรรเสริญเสือขุนทองกันยกใหญ่ แมงเม่ามองตามขุนทองไปด้วยสายตาชื่นชม ในสายตาเด็ก คนที่ช่วยชีวิตตนกับพ่อ ถือว่าเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
ในป่า ทหารอังวะจำนวนมากกำลังขนเสบียงกันอยู่ มีทั้งใส่คานแบกหาม ทั้งขนด้วยเกวียนเทียมวัวเป็นทางยาว ขุนทอง หาญ และพวกลูกน้องกำลังหมอบกับพื้น ซุ่มดูอยู่ เตรียมบุกปล้นเสบียง หาญกระหยิ่ม “เป็นไปตามข่าวที่ได้มาจริงๆพี่ขุนทอง เสบียงของพวกมันครานี้มีมากนัก ถ้าเราทำลายได้ คงตัดกำลังทัพอังวะได้โขอยู่” ขุนทองรู้สึกแปลกๆ แต่เพราะความมืดเลยยังลังเล “แต่ข้าว่ากองเสบียงครานี้ดูประหลาดนัก เพียงแต่มันมืด ข้าเห็นไม่ถนัด จึงบอกไม่ได้ว่าประหลาดอย่างไร” “ฉันไม่เห็นจะประหลาดตรงไหนเลยพี่ ก็เหมือนทุกคราวที่เราปล้นมา” ลูกน้องร้อนใจ “รีบตัดสินใจเข้าเถิดพี่ หากพ้นป่านี้ไป จะมีกองทหารของพวกมันรออยู่ เราคงหมดโอกาสปล้นแล้ว” ขุนทองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตะโกนลั่น “อ้ายเสือ บุก” ขาดคำ เสือขุนทองก็ถือดาบกระโจนออกจากที่ซ่อน พร้อมด้วยหาญและพวกลูกน้อง ทหารอังวะตกใจที่ถูกซุ่มโจมตี เลยตั้งรับกันอย่างอลหม่าน ขุนทองกับพวกมีฝีมือเหนือกว่า เลยบุกตะลุยพวกอังวะจนกระเจิง บางคนก็บาดเจ็บล้มตาย บางคนก็หนีหัวซุนหัวซุนไป ขุนทองเดินมาที่เกวียนบรรทุกเสบียง ยังรู้สึกแปลกๆเลยมองไปรอบๆเกวียน ทันใดนั้นเอง ขุนทองก็ตกใจ รีบคุกเข่าดูตรงล้อเกวียนทันที เห็นดินบริเวณล้อเกวียนแทบจะไม่มีรอยล้อเกวียนกินดินลงไปลึก ซึ่งถ้าบนเกวียนบรรทุกเสบียงจำนวนมาก ต้องมีน้ำหนักเยอะ รอยล้อเกวียนต้องชัด แสดงว่าบนเกวียนอาจไม่ใช่เสบียงอาหาร ขุนทองรีบลุกขึ้น เปิดเสื่อที่คุมเกวียนออก ปรากฏว่าบนเกวียนมีแต่ฟางข้าว ไม่มีเสบียงอาหาแม้แต่น้อย ขุนทองตกใจสุดขีด ตะโกนลั่น “หลงกลแล้ว รีบหนีเร็ว” แต่ก็ช้าเกินไป ทหารอังวะจำนวนมากก็กรูกันออกมาทันใด ล้อมขุนทองกับพวกลูกน้องไว้จนหมด ขุนทองอยู่ท่ามกลางทหารอังวะตัวคนเดียว แต่ก็สู้ไม่ถอย ฝีมือดาบของขุนทองสูงมาก แม้จะตัวคนเดียว แต่ก็ทำร้ายทหารอังวะไปไม่น้อย ทหารอังวะคนหนึ่งฉวยโอกาสฟันเข้ากลางหลังขุนทอง จุดที่ถูกฟันทำให้เสื้อของขุนทองขาด มีเลือดไหลเป็นเพียงแผลซิบๆ ขุนทองหันกลับมาฟันใส่ทหารคนนั้นตายไปทันที ทหารที่เหลืออยู่เริ่มขยาด ได้แต่ล้อมเอาไว้ ไม่มีใครกล้าเข้าปะทะตรงๆ สักคน พระราชบุตรมังระทรงยิ้มพอใจ “วิชาอยู่ยงคงกระพัน อ้ายโจรนี่มันร้ายนัก” ทหารหน้าเครียด “คนมีวิชาเช่นนี้ ต้องฆ่าด้วยการจับกดน้ำหรือใช้ไม้แหลมสวนทวาร ข้าพระพุทธเจ้าจะให้พวกทหารล้อมจับมันเองพระพุทธเจ้าข้า” “วิชาดาบมันดีนัก ล้อมจับเป็นยังยากกว่าฆ่าเสียอีก เอาเถิด ข้าจะจัดการมันเอง” พระราชบุตรมังระทรงหยิบพระแสงปืนสั้นที่พกไว้ที่พระกฤษฎีออกมา แล้วทรงเสด็จออกไปหาขุนทอง ขุนทองเห็นพวกทหารล้อมตนไว้ แต่ไม่กล้าเข้ามาก็เริ่มได้ใจ บุกตะลุยเข้าใส่ทหารทันที พระราชบุตรมังระทรงเสด็จช้าๆเข้าไป พระราชบุตรมังระตรัสกับฟ้าดิน “หากบุญบารมีของข้า ถึงเศวตฉัตรแห่งพุกามประเทศแล้วไซร้ ก็ขอให้กำจัดอ้ายเสือขุนทองผู้นี้ได้ด้วยเถิด” จังหวะนั้นเอง ขุนทองก็ตะลุยรุกไล่ จนพวกทหารแตกออก เห็นพระราชบุตรมังระกำลังเสด็จพระราชดำเนินเข้าหาตน ขุนทองเหลือบมองพระราชบุตรมังระ ดูจากการแต่งกายก็รู้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ เลยวิ่งเข้าใส่ทันที ขุนทองกระโจนเข้าใส่พระราชบุตรมังระเงื้อดาบเข้าฟันเต็มแรง พระราชบุตรมังระก็ทรงยกพระแสงปืนขึ้น จังหวะที่ขุนทองกำลังจะฟันถูก พระราชบุตรมังระก็ทรงเหนี่ยวไกพระแสงปืนสวนออกไป ลูกกระสุนพุ่งเข้าถูกกลางหน้าผากของเสือขุนทอง โดยดาบที่ฟันมา ห่างจากพระศอพระราชบุตรมังระเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด แต่แรงยิงของพระแสงปืนทำให้ร่างของขุนทองหงายไปทางด้านหลัง ดาบที่ฟันมาเลยพลาดเป้า ร่างขุนทองร่วงตกลงพื้น เสียชีวิตจมกองเลือดทันที ทหารอังวะส่งเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ฮึกเหิมเต็มที่เมื่อเห็นความกล้าหาญและบุญบารมีของพระราชบุตรของตน พระราชบุตรมังระทรงทอดพระเนตรมองศพของขุนทองด้วยสีหน้าเสียดายคนมีฝีมือ แต่ก็ต้องฆ่า
|