“ฉันถูกอ้ายพวกอังวะมันไล่ล่า หนีรอดมาได้คนเดียว อ้ายพวกที่เหลือ ตายหมดสิ้นแล้ว” เณรขันทองห่วงพ่อสุดๆ “แล้วโยมพ่อเล่า โยมพ่อขุนทองเป็นอย่างไรบ้าง” หาญทั้งเจ็บทั้งอ่อนเพลีย “พี่ขุนทองเป็นคนตีฝ่ามาให้ฉันแต่แรก ฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นอย่างไร แต่เมื่อรุ่งสางฉันได้ข่าวว่า” หาญเสียใจอย่างที่สุด “พี่ขุนทองถูกพวกอังวะฆ่าเสียแล้ว พ่อเณรเอ๋ย” เณรขันทองตกใจสุดๆ ทำอะไรไม่ถูก หาญร้องไห้ ทั้งแค้นทั้งเสียใจ “พวกเราโดนอังวะ มันซ้อนกลเพราะมีไส้ศึก เราต้องลากตัวมันออกมาล้างแค้นให้พี่ขุนทองให้ได้นะพ่อเณร” เณรขันทองน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเสียใจ แต่กลับขบกรามแน่น แววตาแข็งกร้าวด้วยความเจ็บแค้น หลวงตายืนดูอยู่ ห่างออกไปพอสมควร หลวงตาได้แต่ถอนใจออกมา ด้วยรู้สึกกังวลว่าเณรขันทองจะต้องสึกไปล้างแค้น แทนพ่อในเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ
ค่ายพระเจ้าอลองพญา หน้าเมืองอยุธยา ทหารอังวะกำลังระดมยิงปืนใหญ่นับร้อยกระบอกใส่กรุงศรีอยุธยา เสียงปืนใหญ่ดังสนั่นไปทั่ว พระเจ้าอลองพญาเดินคุยมากับพระราชบุตรมังระ พระราชบุตรมังระกังวล “เราระดมปืนใหญ่ยิงใส่อโยธยามาหลายวันทั้งวันทั้งคืน ลูกเกรงว่าปืนใหญ่ของเราจะทนไม่ไหว” พระเจ้าอลองพญาหน้าเครียด “พ่อรู้ แต่เราไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเร่งตีอโยธยาให้เร็วที่สุด ก่อนที่น้ำเหนือจะหลากลงมา จนเราตั้งค่ายไม่ได้” ขณะนั้นเอง พระเจ้าอลองพญาทรงเหลือบพระเนตรไปเห็นทหารยิงปืนใหญ่ แต่กระสุนปืนใหญ่ไปตกที่หน้ากำแพง เข้าไปไม่ถึงในตัวเมือง พระเจ้าอลองพญาทรงกริ้วมาก “พวกเอ็งทำกระไรกัน ยิงไม่ถึงกำแพงเมืองเสียด้วยซ้ำ คิดจะให้ข้าสิ้นเปลืองลูกปืนใหญ่รึ” พวกทหารกลัวมาก รีบใส่ดินปืนอัดเต็มที่ แล้วจุดชนวนยิงปืนใหญ่ออกไป ลูกปืนใหญ่ถูกยิงด้วยความแรง ลอยละลิ่วไปโดนยอดปราสาทของพระบรมมหาราชวังหักโค่นลงมา ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ปืนใหญ่กระบอกนั้นก็ระเบิดออกเพราะทนแรงดินปืนไม่ไหว ประกอบกับปืนยิงติด ต่อกันนานเกินไปไม่ได้พักด้วย แรงระเบิดอัดกระแทกทั้งทหารที่ยิงและพระเจ้าอลองพญาที่ทรงประทับอยู่ใกล้ บาดเจ็บสาหัสทันที พระราชบุตรมังระตกพระทัยสุดขีด “สมเด็จพ่อ” พระราชบุตรมังระทรงรีบเข้าไปทอดพระเนตรทันที พบว่าอาการของพระเจ้าอลองพญาสาหัสมาก พระราชบุตรมังระทรงหันไปตรัสสั่งทหาร “รีบไปตามหมอมาเร็ว” พวกทหารรีบวิ่งไปทันที พระราชบุตรมังระทรงชี้หน้าทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน รับสั่งด้วยสุรเสียงเฉียบขาด “ส่วนพวกมึง หากใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป กูจะตัดหัวให้สิ้นเสียทั้งโคตร” 3 ปี ผ่านไป ตอนบ่าย บริเวณลานกว้างในวัดแห่งหนึ่ง บรรยากาศภายใน ดูสงบร่มรื่น เห็นชาวบ้านกำลังฝึกซ้อมเพลงอาวุธบ้าง เรียนหนังสือบ้าง โดยมีพระเป็นคนสอน เห็นด้านหลังของชายสามคน หนึ่งในนั้นคือพันหาญ ที่หลังจบศึกอลองพญา หาญเข้ารับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น “พัน” กำลังก้มลงกราบหลวงตาที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แน่นและพันหาญเงยหน้าขึ้นมา ขันทองค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย ขันทองผมยาว เป็นหนุ่มหล่อวัย20-21ปี “กระผมจะมากราบลา แลขอพรให้กระทำการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีขอรับ” หลวงตาสีหน้าไม่สบายใจนัก “ข้าให้พรเอ็งไม่ได้ดอก เพราะสิ่งที่เอ็งกำลังจะไปกระทำนั้นขัดต่อกิจของสงฆ์ แต่ข้าขอให้สติเอ็งแทนก็แล้วกัน สติมาปัญญาเกิด คนเราเมื่อมีสติอยู่กับตัวไม่ว่าจะเผชิญภัยอันตรายใดก็สามารถแก้ไขได้ทั้งสิ้น” ขันทองพนมมือไหว้ “ขอบพระคุณขอรับ” ขันทองยิ้มรับพรอย่างมีกำลังใจ
ผ่านมา 2-3 วัน ท่าเรือเมืองธนบุรีตอนกลางคืน บรรยากาศรอบๆ ดูคึกคัก เพราะธนบุรีเป็นเมืองท่าสำคัญสมัยอยุธยา มีคนมาค้าขายมากมาย แม้จะตกกลางคืนแล้วก็ยังคึกคัก มีการตั้งวงกินข้าว กินเหล้า เสียงพูดคุยร้องรำทำเพลงดังลั่นไปหมด ขันทองในชุดโทรมๆ กำลังนั่งกินข้าวจากใบตองอยู่ที่มุมหนึ่งคนเดียวเงียบๆ ขณะกิน สายตาก็คอยสอดส่องตลอดเวลา ขณะนั้นเอง พันหาญ และแน่น ซึ่งสวมชุดแบบเดียวกันกับขันทอง ก็เดินเข้ามาหา โดยในมือถือห่อผ้าห่อใหญ่มาด้วย ขันทองร้อนใจ “ว่าอย่างไรบ้างน้าพันหาญ” “ไม่ต้องห่วง ออกพระราชาข่านรับสินบนเราไปแล้ว อย่างไรเราก็ได้ เข้าไปแน่” “มีขันทีจากเมืองโต้ระกี่มาใหม่สองคน ออกพระท่านให้พวกเราปลอมตัวเป็นทาสของขันทีทั้งสองเพื่อเข้าสู่วัง” ขันทองหน้าเครียด “เป็นทาส อย่างมากก็อยู่ได้ประเดี๋ยวเดียว จะไปทันสืบกระไร” พันหาญปลอบ “ได้เข้าไปก่อนเถิดพ่อขันทอง ออกพระราชาข่าน มีอำนาจสูงสุดในบรรดาขันทีฝ่ายใน แม้จะให้เราอาศัยอยู่วังในไม่ได้ แต่ก็คงให้เราเข้านอกออกในฐานะทาสของขันทีใหม่ได้ ถึงตอนนั้น โอกาสก็คงมาเอง”
บรรยากาศในพระบรมมหาราชวังยามบ่าย สวยงาม โอ่โถง นางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินสวนกันมา โดยถือพานใส่ดอกไม้ อาหารคาวหวานมาด้วย ทันใดนั้นเองขบวนของเจ้าจอมเพ็ญก็เดินผ่านมา เจ้าจอมเพ็ญนั่งอยู่บนเสลี่ยงคานหาม โดยมีโขลนหลายคนเป็นคนแบกหาม และมีนางข้าหลวงอีกจำนวนหนึ่งห้อมล้อมมา พวกข้าหลวงเห็นเจ้าจอมเพ็ญ ก็รีบคุกเข่าลงทันที ก้มหน้าไม่กล้าสบตา แสดงถึงอำนาจบารมีของเจ้าจอมเพ็ญ เจ้าจอมเพ็ญแต่งตัวสวย สง่า นั่งอยู่บนเสลี่ยงคานหาม ด้วยมาดดุจนางพญา และยิ่งให้โขลนมาแบกหามอีก ก็ยิ่งแสดงถึงอำนาจของเจ้าจอมเพ็ญที่มีมากเกินเจ้าจอมทั่วไป
ศาลาในวัง เจ้าจอมอำพันกำลังรับขวดน้ำหอมจากหลวงศรีมะโนราชที่นั่งพับเพียบอยู่ โดยมีขุนเทพชำนาญ ขุนเทพรักษานั่งพับเพียบอยู่ห่างออกไป หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญและขุนเทพรักษา เป็นขันทีจากตุรกีเช่นเดียวกับพระราชาข่าน ขณะที่เจ้าจอมเพ็ญนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเจ้าจอมอำพัน มีขันทอง และแน่น นั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆคอยรับใช้ ที่แท้ขันทองและแน่น ปลอมตัวมาเป็นขันทีจากตุรกี
เจ้าจอมอำพันอวดเต็มที่ “นี่เป็นน้ำปรุงจากเมืองฝาหรั่ง ที่พ่อค้าชาวจีนนำเข้ามาขาย ทั้งอโยธยามีไม่ถึงสิบขวด ฉันทราบมาว่าแม่เพ็ญชอบ ก็เลยหามาฝากจ้ะ” เจ้าจอมอำพันส่งขวดน้ำหอมให้ แน่นรีบคลานเข่ามารับไปให้เจ้าจอมเพ็ญ เจ้าจอมเพ็ญปั้นยิ้ม “ขอบน้ำใจแม่อำพันนัก ที่สู้อุตส่าห์เอาของหายากมาให้ฉัน ฉันไม่มีกระไรตอบแทน นอกจากของเล็กๆน้อยๆ ขอแม่อำพันโปรดรับไว้เถิด” ขันทองคลานเข่า เอาตลับแป้งหอมไปให้เจ้าจอมอำพัน เจ้าจอมอำพันรับตลับแป้งมา “แป้งหอมรึ เอามาจากที่ใดกันเล่า หลวงศรีขันทิน” “นำมาจากร้านแม่ทิพย์ที่ขายเครื่องหอมเจ้าค่ะ” หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพรักษา ขุนเทพชำนาญหันไปสบตากันแล้วยิ้มเยาะ “ร้านนี้ฉันรู้จัก นับว่าขึ้นชื่อที่สุดในอโยธยาเทียว ใครพอมีเบี้ย มีอัฐล้วนไปซื้อหาที่นี่ทั้งสิ้น” ขุนเทพรักษาปั้นยิ้ม “ออกหลวงท่านเป็นคนไปซื้อหามารึ ช่างเข้าใจซื้อนัก” เจ้าจอมอำพันยิ้มเล็กน้อย แม้จะเป็นของดี แต่ก็ไม่ใช่ของหายาก มีเงินก็ซื้อได้ แสดงว่าตนชนะใสๆ “แต่แป้งตลับนี้ ไม่เหมือนแป้งตลับอื่น ขอเพียงเปิดตลับออกดู ก็จะทราบว่าแตกต่างกันอย่างไร” เจ้าจอมอำพันยิ้มขำๆ “ถึงขั้นนั้นเชียวรึออกหลวง” เจ้าจอมอำพันเปิดตลับแป้งออก แล้วเอามาดม แปลกใจ “ประหลาด กลิ่นหอมนัก แต่ก็ไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้มาก่อน” เจ้าจอมอำพันลองจับแป้งดู ทึ่ง “เนื้อละเอียดเหลือเกิน ทำได้อย่างไรกัน” “แป้งตลับนี้ เจ้าของร้านเพิ่งปรุงขึ้นมาใหม่ ยังไม่เคยขายมาก่อน มีเพียงตลับเดียวเท่านั้นในอโยธยา แต่แรกก็ไม่ยอมขาย ดีฉันต้องอ้อนวอนอยู่นานกว่าจะได้มาเจ้าค่ะ” เจ้าจอมอำพันกับพวกอึ้งไป นึกว่าจะข่มได้ แต่กลับเจอเจ้าจอมเพ็ญข่มกลับ เอาของหายากกว่ามาให้แทน หลวงศรีมะโนราชหน้านิ่งๆ “คุณหลวงช่างมีอุตสาหะนัก ของเช่นนี้ ก็ยังหามาได้อีก มิน่าเล่า มาอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรดาศักดิ์เท่ากันกับฉันแล้ว” “ออกหลวงท่านชมเชยเกินไปแล้ว ดีฉันยังด้อยนัก ต้องขอ คำสั่งสอนจากออกหลวงท่านด้วย” ขันทองคลานเข่ากลับไปหาเจ้าจอมเพ็ญตามเดิม เจ้าจอมเพ็ญยิ้มข่ม “ฉันหวังว่าคงถูกใจแม่อำพันนะจ๊ะ แลเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของแม่อำพัน หากมีสิ่งใดขาดเหลือ ก็บอกฉันได้” เจ้าจอมเพ็ญยกมือไหว้ “ฉันจะกราบทูลพระพุทธเจ้าอยู่หัวให้” เจ้าจอมเพ็ญข่มกลับ นอกจากจะเอาของดีกว่าให้ไปแล้ว ยังข่มว่าตนเป็นคนโปรดอีกต่างหาก เจ้าจอมอำพันหน้าบึ้งตึง ไม่พอใจมากแต่ต้องระงับอารมณ์ “ขอบน้ำใจจ้ะ” เจ้าจอมเพ็ญยิ้มบางๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ
เจ้าจอมเพ็ญออกจากศาลา มาที่ทางเดิน ซึ่งมีเหล่าโขลน นางข้าหลวง รอเจ้าจอมเพ็ญอยู่ที่เสลี่ยง ขันทอง และแน่น ตามมาด้วย เจ้าจอมเพ็ญยิ้มแย้ม “หิ่งห้อยไม่ควรแข่งแสงกับพระจันทร์ ครานี้ แม่อำพันคงจะได้รู้แล้วกระมัง” แน่นปั้นยิ้ม “คาดว่าคงเข็ดไปอีกนาน ดีไม่ดี อาจจะไม่กล้าอีกเลยเจ้าค่ะ” เจ้าจอมเพ็ญหัวเราะเล็กน้อย “ท่านขุนพูดถูกใจฉัน เอาไว้ฉันจะบำเหน็จให้ท่านทั้งสองเอง” เจ้าจอมเพ็ญหันไปพูดกับขันทอง “โดยจำเพาะคุณหลวง ครานี้ มีความชอบนัก ฉันจะบำเหน็จให้อย่างงาม” “เป็นพระคุณเจ้าค่ะ” เจ้าจอมเพ็ญขึ้นไปนั่งบนเสลี่ยง พวกโขลนหามเสลี่ยงขึ้น แล้วเคลื่อนขบวนออกไป โดยมีนางข้าหลวงเดินห้อมล้อม ขันทอง และแน่น มองตาม แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง หลวงศรีมะโนราช และพวกมองตามขันทองไปด้วยสายตาเกลียดชัง ขุนเทพรักษาริษยาจับใจ “อ้ายพวกขี้ประจบประแจง น่ารังเกียจนัก” ขุนเทพชำนาญค่อน “เราอยู่มานานกว่าแท้ๆ จะปล่อยให้พวกมันแย่งความดีความชอบไปอย่างนี้รึคุณหลวง” หลวงศรีมะโนราชเจ็บใจ “ถ้าไม่ใช่ เพราะออกพระราชาข่านคอยปกป้องมันล่ะก็ มีรึ มันจะอยู่ถึงป่านฉะนี้ได้” หลวงศรีมะโนราชขบกรามแน่น
“แต่พวกเอ็งคอยดู ไปเถิด ข้าจะทำให้มันถูกส่งกลับโต้ระกี่ให้จงได้” สีหน้าหลวงศรีมะโนราชแววตาเกลียดชัง
|