ประสบการณ์นักศึกษาวิชาทหาร รด 5 วัน ณ เขาชนไก่ (ep.1) “หมู่1!” “หมู่1” เสียงทวนคำสั่งดังกึกก้องไปทั้งสนามรบ “เคลื่อนที่ผ่านตำบลกระสุนปืนใหญ่ตก” “เคลื่อนที่ผ่านตำบลกระสุนปืนใหญ่ตก” “ด้วยวิธีการโผ” “ด้วยวิธีการโผ” “เชี่ย กระติกน้ำแม่งเกะกะชิบหายเลยว่ะ” ปันเอ่ย เพราะว่าลักษณะการเคลื่อนที่ที่ต้องวิ่งสลับกับหมอบให้เร็วที่สุดนั้น กระติกน้ำที่ห้อยอยู่ที่เอวอาจจะเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวได้ “มึงก็…โยนทิ้งไปดิ” ผมตอบ แบบไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก พลางประทับปืนไปข้างหน้าตัวเอง “เชี่ย ไม่ได้ไอ้สัส ไม่มีกระติกน้ำแล้วกูจะเอาน้ำที่ไหนแดก” “น้ำกูไง” “ห้ะ” “ไอ้สัส แดกกับกระติกน้ำกูก็ได้” “ไปทั้งหมู่” “ไปทั้งหมู่” “มึง เตรียมวิ่ง” ผมพูดเตือนไอ้ปันที่พยายามปลดกระติกน้ำออกจากเข็มขัดคาดเอวอย่างทุลักทุเล “เออ ทิ้งแม่งก็ทิ้งเว้ย เกะกะ รั้งควยกูอยู่ได้” “ไปได้” “ไปได้!” ฉับพลัน นักศึกษาวิชาทหารที่หมอบประทับปืนอยู่หลังคันดินนั้นก็ยันตัวเองลุกขึ้นมา เผยให้ข้าศึกที่หลบอยู่ในหลุมซุ้มยิงฝั่งตรงข้ามเห็นถึงตัวตนและใบหน้าที่พลางไว้ด้วยฝุ่นพลางสีเขียวสลับดำ เอี้ยยยยยยยย… ทั้งหมดสั่งเสียงออกมาพร้อมกันดังลั่นเพื่อปลุกกำลังใจและแรงกล้าเพื่อให้วิ่งผ่านสมรภูมิรบนี้ไปให้ได้ เสียงปืนดังลั่นขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับฝั่งดินฟุ้งกระจายขึ้นมาต่อหน้าเพราะแรงระเบิด ผมวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ระเบิดหรือกระสุนปืนก็ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับจ่านรก หัวหน้าสถานีการฝึกที่ 33 นี้ ถ้าเขาบอกว่าพวกผมฝึกไม่ดีแล้วก็กลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นล่ะก็ ผมคงจะขอยอมแพ้ เอี้ยยยยยยยย… ไอ้ปันใช้ปืนดันตัวเองขึ้นมาจากหลังคันดิน และทันทีที่มันสามารถยืนได้นั้น มันก็โยนกระติกน้ำตัวเองออกไปด้านข้าง และหายเข้าไปในพงหญ้าทันที มันออกวิ่งต่อไปโดยที่ไม่มีท่าทีจะหันกลับไปสนใจกระติกนี้ที่ตัวเองโยนทิ้งไปเลยแม้แต่นิด พวกเราวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะระยะทางที่ต้องวิ่งนั้นไกลพอๆกับสนามฟุตบอลจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งนึงในแนวลึกเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเวลาออกวิ่งที่คันดินหนึ่งไปแล้วแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าจุดที่จะต้องหมอบหลบกระสุนปืนข้าศึกจุดข้างหน้านั้นอยู่ตรงไหน “จะถึงแล้วเว้ยไอ้เหี้ย” ผมร้องตะโกนด้วยความเหนื่อยและความร้อนจากแดดที่ส่องมาแบบไม่มีที่ให้กำบัง และทันทีที่ผมวิ่งมีถึงคันดินอันใหม่ ผมก็หมอบลงแบบไม่กลัวเปื้อนหรือบาดเจ็บแต่อย่างใดเลย
เฮอออ… ผมถอนหายใจ และใช้เวลาในการหมอบนั้นพักเอาแรงรอเพื่อนคนอื่นที่ยังวิ่งมาไม่ถึงนั้นให้เร็วที่สุด
“เชี่ยแม่ง เหนื่อยสัส” ปันเอ่ย ขณะรีบล้มตัวหมอบประทับปืนลงกับคันดินติดกับผมเช่นกัน “เห้ยบอม มึงไหวป่าวว้ะ” ปันหันมามองผมที่หมอบอยู่ข้างๆ “ไหวดิ” “หน้ามึงแดงชิบหายเลยว่ะ” “กูเขินมึงอ่ะ” “ไอ้สัสไม่ใช่เล่นๆนะเว้ย ถ้ามึงจะเป็นลมต้องบอกกูนะเว้ย” “หมู่1!” “หมู่1” “เคลื่อนที่ไปข้างหน้า” “เคลื่อนที่ไปข้างหน้า” “ด้วยวิธีการโผ” “ด้วยวิธีการโผ” “ไปทั้งหมู่” “ไปทั้งหมู่” “ไปได้!” “ไปได้!” การเคลื่อนที่อย่างว่องไวและเหน็ดเหนื่อยเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อสิ้นสุดการทวนคำสั่งของครูฝึก พวกเราทุกคนรีบดันตัวขึ้นจากหลังคันดินที่หมอบอยู่ และรีบวิ่งพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตอีกครั้ง เอี้ยยยยยยยย… เสียงตะโกนเรียกพลังดังกึกก้องอีกเช่นเคย แต่ผมกลับได้ยินเสียงนั้นไกลห่างออกไปเรื่อยๆเมื่อผมวิ่งตรงมาข้างหน้า ร่างกายของผมเหมือนกับไม่มีแรง และคันดินที่ผมมองเห็นอยู่ข้างหน้านั้นก็ดูจะไกลออกไป ขาของผมจากที่ออกแรงวิ่งอย่างสุดฤทธิ์ก็เหมือนกับจะอ่อนแรงลง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าและสูดอากาศหายใจ แต่แสงแดดบนท้องฟ้านั้นกลับทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวมากกว่าเดิม และฉับพลัน ขาทั้ง 2 ข้างของผมก็หมดแรงลง ผมรู้สึกถึงร่างกายของผมที่หมดแรงและล้มตัวลงกับพื้น “ไอ้บอม เห้ย” เสียงเรียกของปันดังก้องมาจากด้านหลัง ผมยังได้ยินเสียงนั้นอยู่ แต่ก็ไม่นานก่อนที่ผมจะหมดสติไป // ตู้ดดดด ตู้ดดดด ตู้ดดดด ตู้ดดดด เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเป็นเวลาตี 4 ครึ่ง ผมตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดและหัวยังมึนงงอยู่ ผมรีบลุกออกจากเตียงและลงไปอาบน้ำ ผมยืนจ้องชุดนักศึกษาวิชาทหารที่แขวนอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าของผมอยู่นานเหมือนกันกว่าจะทำใจให้เริ่มหยิบมันออกมาและสวมมันจนได้ หัวใจของผมเต้นไม่หยุด ทั้งกลัวที่จะต้องไปฝึกภาคสนามอีกครั้งและตื่นเต้นจะความยากลำบากทั้งหมดที่ผ่านมากับการเรียนรดนี้กำลังจะจบลงเสียที “เอาหน่อยน่า ครั้งเดียวและครั้งสุดท้าย เดี๋ยวมันจะผ่านไปแล้วนะ บอม สู้ๆเว้ย มึงทำได้” มันอาจจะฟังดูเวอร์ แต่ผมทำใจยากมากๆที่จะต้องพาตัวเองไปเจอกันความยากลำบากนั้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะเคยไปฝึกภาคสนามที่เขาชนไก่มาก่อนแล้วครั้งนึง เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนตอนยังเรียนรดปี2อยู่ แต่ครั้งนี้ เมื่อมันก้าวขึ้นมาเป็นรดปี 3 แล้วนั้น อะไรๆมันก็จะต้องยากขึ้น การฝึกมันก็จะต้องยากขึ้นและลำบากขึ้นมากแน่ๆ “พร้อมมั้ยลูก” พ่อ ที่ตื่นตั้งแต่เช้าเพราะต้องขับรถพาผมไปส่งที่สถานที่รวมพล ถาม “ไม่พร้อมอ่ะ แต่ต้องไปล่ะ” บ้านของผมอยู่ไกลจากสถานที่รวมพลมาก ถึงต้องออกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างขนาดนี้เพราะว่าทางศูนย์นัดรวมพลตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ปกติแล้วเวลานั่งรถไปโรงเรียนกับพ่อตอนเช้าๆ ผมก็จะใช้โอกาสนี้หลับเอาแรงต่อ แต่ครั้งนี้ผมกลับตื่นเต้นมากจนไม่สามารถหลับลงได้ เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยไปหลับตอนที่รถบัสออกจากสถานที่รวมพลไปเขาชนไก่ก็แล้วกัน สวัสดีครับ ผมชื่อ บอม อายุ 19 ผมเป็นนักศึกษาวิชาทหารชั้นปีที่ 3 และวันนี้ผมก็กำลังจะต้องเดินทางไปฝึกภาคสนามเป็นเวลา 5 วัน 4 คืนที่ค่ายฝึกเขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี จริงๆแล้วผมจะต้องเรียนรดจบไปตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษามหาลัยปี 1 แล้วครับ แต่ยังต้องมาเรียนรดอยู่เพราะว่าสมัย ม ปลายไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมา เลยจะต้องใช้เวลามาชดใช้กรรมอีก 1 ปีกับรดในมหาลัย การเรียน รด ในช่วงชีวิตมหาลัยเป็นอะไรที่ยากอยู่เหมือนกันครับ ยากที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องของการต้องตัดผมทั้งๆที่เพื่อนทุกคนได้ไว้ผมยาวกันหมดแล้ว มีเราจะต้องมาตัดผมหัวเกรียนอยู่คนเดียวในคณะเลย ก็ทำใจยากนิดนึงเวลาโดนเพื่อนๆแซวและไม่ค่อยมั่นใจเวลาไปคุยกับผู้หญิงน่ะซิครับ หัวเกรียนซะขนาดนี้ คิดว่าเป็นเด็ก ม ปลาย ไม่นาน พ่อก็พาผมมาสั่งถึงสถานที่แห่งความทรงจำนี้ “ศูนย์กองกำลังรักษาดินแดน วิภาวดีรังสิต” ผมรีบลงจากรถ และสะพายเป้สนามใหญ่ยักษ์ที่เต็มไปด้วยเสบียงขึ้นหลัง หลังจากนั้นก็สวมหมวกรดทันทีเพื่อไม่ใช่ครูฝึกที่ยืนโบกรถอยู่นั้นเล่นตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินทางไปเขาชนไก่เลย ผมรีบเดินเข้าไปในแถวที่มุ่งหน้าเดินเข้าซอยเข้าไปที่ศูนย์ฝึก ท้องฟ้ายังไม่สว่างดีเลย แทบจะเรียกว่ายังมืดอยู่ ผมเองก็ไม่เคยมาศูนย์ฝึกเช้าขนาดนี้ ออ ผมจำบรรยากาศนี้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อครั้งก่อนที่ต้องไปเขาชนไก่ตอนปี 2 ผมเองก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นแทบจะไม่ค่อยได้แล้วด้วยซ้ำ เมื่อเข้ามาในตัวศูนย์ฝึกได้ ผมก็รีบเดินมุ่งหน้าเข้าไปในโรงอาหารทันที เพื่อซื้อสมุดจดกับปากกาที่ผมยังขาดอยู่ อุปกรณ์ทุกอย่างถือว่าสำคัญเอามากๆเพราะว่าครูฝึกสามารถเล่นงานพวกเราได้ตลอดเวลา แม้แต่คนที่ไม่มีปากกาก็สามารถโดนเล่นเอาได้ง่ายๆ ยังเหลือเวลาอีก 20 นาทีก่อนที่ครูฝึกจะเรียกรวมพล ผมจึงเดินไปในตัวโรงอาหารเพื่อหาโต๊ะนั่ง กะว่าจะซื้อข้าวกินก่อนจะต้องออกเดินทางเพราะว่าอาหารที่เขาชนไก่นั้นค่อนข้างจะไม่ถูกปากผมสักเท่าไหร่ เพราะว่าทุกเมื่อจะต้องผ่านการคลุกเคล้ารสชาติด้วยดินทรายมาก่อนแล้ว “เห้ย บอม” เสียงหนึ่งเรียกผมเมื่อผมเดินผ่านโต๊ะอาหารแถวกลาง ผมรีบหันไปที่ต้นเสียงนั้นทันที “เห้ย ปัน” ผมดีใจมาก ดีใจมากๆที่เห็นปันนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารข้างๆนั้น ผมรีบปลดเป้ออกแล้วนั่งลงที่โต๊ะตัวเดียวกับปันทันที ปันเป็นเพื่อนสมัยเรียน รด ด้วยกันตอนปี 2 สมัยที่ผมยังอยู่ ม ปลายอยู่ ผมกับปันมาจากคนละโรงเรียนกันแต่ว่ามาเจอกันได้เพราะอยู่กองร้อยเดียวกันและชื่อใกล้ๆกันเลยมักจะได้นั่งติดๆกันบ่อยๆจนสนิทกันในที่สุด แต่ผมไม่ได้ไปฝึกเขาชนไก่กับปันด้วยตอนปี 2 เพราะว่าผลัดฝึกนั้นจะแยกกันตามโรงเรียน สุดท้ายแล้วผมกับปันก็ได้มาติดมหาลัยเดียวกัน จนได้โคจรมาเรียนรดด้วยกันอีก หรือจะเรียกว่ามาชดใช้เวรกรรมด้วยกันดี? // “บอม” ปันเอ่ย “บอม ตื่นเร็ว… ตื่นเร็วมึง” ทันใดนั้น รถบัสก็สะเทือนอย่างแรงทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้น “มึง ถึงแล้วเว้ย” ปันพูดพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายสตอรี่ออกไปนอกหน้าต่างรถบัส “อะไรว้ะ” ผมที่นั่งอยู่เบาะด้านในชะโงกหน้าผ่านม่านรถบัสออกไป และสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นก็คือป้ายหินขนาดใหญ่เขียนว่า ค่ายฝึกเขาชนไก่ นี่เรามาถึงแล้วจริงๆสินะ “เอาแล้วเว้ย มันมาแล้วเว้ย” ผมกลับมานั่งกับเบาะเหมือนเดิมพร้อมกับถอนหายใจ ขอเวลาทำใจครั้งสุดท้ายก่อนความเลวร้ายจะเริ่มต้นขึ้น รถบัสขับเข้ามาในตัวค่ายลึกขึ้นๆหรือเพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนรดพวกนี้จะไม่สามารถหาทางหนีออกจากค่ายได้เลย มันขับผ่านกองทัพต่างๆ ผมสังเกตเห็นเต้นท์สนามที่ถูกตอกเสาเข็มเรียงกันเป็นแถวๆด้วยสภาพที่โทรมเหมือนเพิ่งโดนพายุซัดมา และแล้วรถบัสก็จอดลงที่หน้ากองพันที่ 34 สถานที่ที่เราจะต้องนอนพักค้างแรมกันอีก 4 คืนหลังจากนี้ แต่ที่นี่ยังไม่ใช่ที่ที่เราจะลงจากรถบัสเป็นที่แรง ครูฝึกที่นั่งรถบัสมากับเราตั้งแต่ที่กรุงเทพฯลุกขึ้นแล้วบอกให้เพื่อนๆแถวหน้าลงไปขนเป้สนามลงจากรถแล้วจัดเป็นแถวให้เรียบร้อย ผมกับปันโชคดีที่ไม่ได้นั่งหน้าๆเลยไม่ต้องลงไปจัดกระเป๋า “เห้ย เราไม่ได้ลงที่นี่หรอว้ะ” ผมถาม “ไม่ดิ” ปันรีบตอบทันที “มึงได้อ่านโปรแกรมมาก่อนหรอ” “โปรแกรมไรว้ะ มาเขาชนไก่มีโปรแกรมด้วยหรอว้ะ555” “มีดิ ผลัดก่อนหน้ารีวิวมา… เดี๋ยวเรานั่งรถเนี่ยไปสถานี 31 ก่อน ก็คือยิงปืนเว้ย แล้วเราก็ไปอยู่ที่นั่นทั้งวันเลย” “ออ” รถบัสเคลื่อนออกจากหน้ากองพันอีกครั้ง ขณะที่มีนักเรียนรดผลัดก่อนหน้าที่อยู่ที่กองทัพ 34 อยู่ก่อนแล้ววิ่งมาที่หน้ากองทัพเพื่อมาทักทายพวกเราด้วยการเอานิ้วปาดที่คอ ขู่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องตายที่นี่ “ไอ้สัส เห่อหมอยว่ะ” ปันบ่นพร้อมกับหันมาหัวเราะกับผม แต่ผมนั้นกลับตื่นเต้นไม่หยุดจนไม่ได้สนใจปันเลย รถบัสขับพาพวกเราเข้ามาในค่ายลึกมากขึ้นๆกว่าเดิมอีกเท่าตัวจนผมแทบจะทำทางเดินกลับมากองพันไม่ได้ และแล้วรถก็จอดอยู่บนถนนข้างๆลานกว้างๆที่มีเต้นท์กางอยู่เนืองๆ พื้นที่ที่เหลือนั้นเป็นเพียงพื้นดินทรายสีส้มอิฐ ปี้ดดดดด… เสียงนกหวีดดังขึ้นทำเอาผมกับปันตกใจแทบแย่ ผมหันไปทางต้นเสียงนกหวีดนั้น ครูฝึกคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากด้านหน้ารถบัสพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ลงจากรถให้เร็วที่สุด” แล้วเขาก็เริ่มนับถอยหลัง 10 วินาทีเฉียดตายของพวกเรา ได้ยินแบบนั้นแล้ว ผมกับปันก็รีบพุ่งไปที่บันไดรถบัสอย่างเร็วที่สุดโดยไม่ได้สนใจเลยว่าจะชนใครไปบ้าง สนใจเพียงแค่ว่าต้องวิ่งไปให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ไม่โดนเล่น ปี้ดดดดดด… เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเราลงมาจากรถบัสเรียบร้อยแล้ว “จัดแถวหน้ากระดาน ปฏิบัติ!” เสียงครูฝึกอีกคนหนึ่งที่ยืนคอยต้อนรับพวกเราอยู่กลางทุ่งโลดและแดดจ้าๆนั้นออกคำสั่งพร้อมกับทำสัญญาณมือเรียกให้พวกเราทุกคนวิ่งไปจัดแถวต่อหน้าเขา และเมื่อสิ้นสุดเสียงคำสั่งนั้น พวกเราทุกคนก็รีบวิ่งที่หาเค้าทันที เห้! เสียงตะโกนสัญญาณจัดแถวของนักศึกษาวิชาทหารดังลั่น นักศึกษาวิชาทหารจำนวนกว่า 500 คนวิ่งกรูกันเข้าไปจัดแถวต่อหน้าครูฝึกทำให้พื้นที่เป็นดินทรายนั้นมีฝุ่นฟุ้งตีขึ้นมาจนเหมือนกับหมอกสีส้ม “ไปเว้ย บอม” ปันวิ่งเข้ามาตบหลังผมและวิ่งนำเข้าไปในหมอกนั้น “มันเริ่มแล้วเว้ย!” |