ผมจอดรถไว้ที่ลานกว้างข้างโรงเรียน แล้วจึงเปิดกระจกในที่บังแดดเหนือพวงมาลัยมาส่องเพื่อเช็คหน้าผมให้ยังดูหล่อเหมือนเคย ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ เสียงเพลงจากคอนเสิร์ตใหญ่กลางสนามฟุตบอลดังออกมาตั้งแต่ผมยังไม่ได้เข้าไปในตัวงาน ผมเดินเข้ามาในตัวตึกเรียนผ่านทางประตูใหญ่ทำให้ความทรงจำสมัยมัธยมปลายของผมผ่านเข้ามาในหัวอีกครั้ง เรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นสมัยที่ผมยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่นั้นมันกลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งและดีใจที่ได้กลับมาย้อนรอยสัมผัสความรู้สึกนี้อีกครั้ง
.
ผมเดินตามเสียงดนตรีนั้นเข้ามาในสนามฟุตบอลกลางของโรงเรียนที่เป็นสถานที่หลักในการจัดงานคืนสู่เหย้าครั้งนี้ ผมเจอเพื่อนบางคนที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปี พวกเราทักทายกันและผมก็ได้เข้าไปนั่งรวมโต๊ะกับพวกเขา แต่พอผมถามถึงปัน ทุกคนก็บอกว่าไม่มีใครเห็นบอมเลยซักคน และก็ไม่มีใครได้ติดต่อกับปันมาก่อน พวกเขาก็ไม่รู้แน่ว่าปันจะมางานนี้ด้วย มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ยังเชื่อว่าปันจะมา
.
พวกเรานั่งกินข้าวกันบนโต๊ะอาหารโต๊ะจีนโต๊ะหนึ่งกลางสนามฟุตบอลซึ่งเป็นบรรยากาศที่แปลกหูแปลกตาและไม่เคยชินมาก่อนสำหรับผม ผมกับเพื่อนๆก็นั่งคุยกันถึงเรื่องชีวิตปัจจุบันว่าต่างคนต่างเรียนอะไรกันบ้าง จบแล้วไปเรียนอะไรต่อ จนกระทั่งพวกเราเล่าย้อนกลับไปถึงอดีตสมัยที่ยังเป็นเด็กมัธยมปลายอยู่นั้น และมีวีรกรรมต่างๆที่ยังคงจำได้ฝังใจกับโรงเรียนแห่งนี้
.
“เห้ย บอม มึงจำได้ป่าวว้ะ เรื่องที่มึงกับไอ้ปันเคยไปเดินควงสาวนอกโรงเรียนในชุดนักเรียน จนโดนเรียกเข้าห้องปกครอง” แมน เพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่มสมัย ม ปลายของผมเอ่ยขึ้น
“จำได้ดิว้ะ โดนพักการเรียนไปหลายวันเลย”
“ไอ้เหี้ย แต่สมัยนั้นมึงแม่งโคตรฮอตเลยอ่ะ”
“ก็คนมันหล่ออ่ะครับ ช่วยไม่ได้”
“เออ… กูยอมก็ได้ว้ะ คนมันหล่อจริง ล่าสุดเห็นบอกว่าเป็นหลีดมหาลัยแล้วนิ เดี๋ยวก็คงจะได้เป็นดาราแล้วมั้ง”
“เห้ย เบาๆ กูก็แค่ทำกิจกรรมเรื่อยๆ”
“หรอ555”
“เออ แล้วไอ้ปันอ่ะ ตกลงมันบอกมึงว่ามันจะมาใช่ม้ะ” เพื่อนอีกคนในกลุ่มถาม
“เออ มันเป็นคนส่งข้อความมาชวนกูมาเองด้วยซ้ำ” ผมตอบ
“ไอ้ปันกับไอ้บอมแม่งแอบกุ้กกิ้กกับ 2 คน มีอะไรก็ชวนกันเอง ไม่คิดมาชวนพวกกูกันบ้าง” แมนตัดพ้อ
“เอ้าไอ้นี่ กูก็เพิ่งรู้จากไอ้ปันเหมือนกัน กูเองก็ไม่ได้คุยกับแม่งจนมันทักมาชวนมางานนี้เนี่ยแหละ”
.
พวกผมกินข้าวกันต่อ และคุยเรื่องความหลังกันอย่างสนุกสนานจนกระทั่งทุกคนอิ่ม และงานกำลังมาถึงตอนใกล้จบจึงมีวงดนตรีชื่อดังที่เป็นวงชูโรงของงานนี้ขึ้นเล่น
“เห้ย พวกมึง ลำรึกความหลังกันหน่อยมั้ยว้ะ” แมนเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของนักศึกษามหาลัย ทุกคนที่เริ่มง่วงเพราะความอิ่ม “ไปกอดคอร้องเพลงหน้าเวทีกัน” ว่าแล้วไอ้แมนก็ลุกขึ้นแล้วฉุดให้ผมลุกขึ้นจากโต๊ะเดินตามมันไป เพื่อนๆคนอื่นบนโต๊ะเองก็ลุกเดินตามไอ้แมนไปราวกับถูกบีบบังคับเช่นกัน ผมเองก็มองไปรอบๆเพื่อหาไอ้ปันด้วยเหมือนกัน แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่ทุกคนบอกจริงๆ ไอ้ปันน่าจะไม่มาแล้ว ผมเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คก็ไม่เห็นมีมิสคอลจากไอ้ปันเลยแม้แต่สายเดียว สงสัยมันคงจะไม่มา แล้วใจผมก็เริ่มผิดหวังเพราะเหตุผลที่ผมยอมมางานนี้ก็เพื่อมาหาไอ้ปันคนเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะมันมาชวน ผมก็คงไม่ได้รู้สึกอยากจะมาร่วมงานนี้
.
ผมยืนกอดคอกับเพื่อนๆและร้องเพลงอย่างสนุกสนานอยู่ด้านหน้าเวทีคอนเสิร์ต ก่อนที่เพลงเศร้าจะเริ่มบรรเลงและทำให้ฝูงชนที่บ้าครั่งนั้นสงบลง ต่างคนต่างพากันกอดคอยเพื่อนหรือแฟนที่ตัวเองรักและร้องไห้ นึกถึงความทรงจำในวัยเด็กของตัวเองกันใหญ่
.
“เห้ย ไปดื่มกันต่อป่าวว้ะ” ไอ้แมนเอ่ยถามทุกคน
“ไปดิว้ะ จะรออะไร5555” ทุกคนที่เหลือต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน
.
และท่ามกลางความสงบนั้น โทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นอยู่ใต้กระเป๋ากางเกง ผมสะดุ้งแต่ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที รายชื่อที่โทรเข้ามานั้นขึ้นว่า “ปัน” หัวใจผมรู้สึกพองโตขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงรีบกดรับสายทันที
.
“ฮัลโหลวมึง อยู่ไหนเนี่ย” ผมเอ่ย แต่เสียงเพลงของวงดนตรีสดนั้นก็ดังกลบเสียงโทรศัพท์ทำให้ผมได้ยินเสียงปันไม่ชัด
“ใครว้ะ ไอ้ปันมาแล้วออ” แมนถาม ผมพยักหน้าตอบและขอเดินออกไปคุยโทรศัพท์ที่อื่นที่เงียบๆก่อน
ไอ้แมนพยักหน้ารับ ผมจึงเดินผ่าฝูงชนนั้นกลับออกมาในโซนทานอาหาร แต่เสียงดนตรีสดนั้นก็ยังดังก้องออกมาอยู่ ผมจึงเดินเลยออกมาที่ใต้ถุนของตึกเรียน
.
“ฮัลโหลวปัน มึงอยู่ไหนว้ะ มาได้รึป่าว” ผมพูดทันทีที่เดินมาถึง
“เออๆ กูขอโทษว่ะ กูกำลังไป ช้าไปนิดหน่อยขอโทษว่ะ”
“มึงรีบมาเลยนะเว้ย เดี๋ยวพวกไอ้แมนแม่งจะไป hang out กันต่อ มึงมาเจอกันที่โรงเรียนก่อน เดี๋ยวออกไปด้วยกัน เออๆ...มึงอยู่ไหนแล้วอ่ะ”
“…”
“ฮัลโหลว”
“กูอยู่…”
“ห้ะ ให้กูไปรับป่าว มึงอยู่ไหนนะ”
“...กูอยู่ ข้างหลังมึงแล้ว”
.
ผมรีบมองหลันหลังกลับไป ผมก็เห็นปันในชุดเสื้อเชิร์ตนักศึกษากำลังวิ่งมาจากไกลๆ ผมกดวางหูโทรศัพท์ลงในขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองไอ้ปัน ผมดันเผลอ...เผลอที่จะหลุดยิ้มออกมาที่ได้เห็นไอ้ปัน เมื่อมันวิ่งเข้ามาหาใกล้ๆผมก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปกอดมันไว้
.
“ไอ้เหี้ยปัน กูคิดถึงมึงสัสๆ” ผมเอ่ย
“เออ กูก็...คิดถึงมึงเหมือนกันนะบอม”
.
ผมยืนกอดกับปันอยู่อย่างนั้นและเผลอร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำด้วยความที่ตอนแรกผมไม่คิดว่าจะได้เจอปันแล้วเพราะคิดว่ามันจะไม่มาแล้ว
/
แทนที่พวกเราจะกลับเข้าไปในงานคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆคนอื่น ปันชวนผมเดินกลับขึ้นไปบนอาคารเรียนเพื่อระลึกความหลังของพวกเราต่อ ผมกับปันขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นบนสุดของอาคาร
.
“เห้ย ไอ้ปัน มันล็อคว้ะ”
“ล็อคเชี่ยอะไร มึงจำไม่ได้ออว่ากุญแจมันเก่าแล้ว กระทุ้งหน่อยก็หลุดแล้ว”
“กระทุ้งแรงป่าวว้ะ” ผมแกล้งถาม
“อยากได้ค่อยๆหรือแรงๆล่ะ เดี๋ยวกูจัดให้เต็มที่เลย” ว่าแล้วปันก็หันมาดึงลูกกุญแจจนมันหลุดออก “โคตรแปลก ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว แม่งไม่เห็นจะคิดเปลี่ยนลูกกุญแจประตูดาดฟ้าบ้างเลยรึไงว้ะ”
.
ว่าแล้วพวกผมก็เปิดประตูดาดฟ้าของอาคารเรียนและเดินออกมารับลมข้างนอก ดาดฟ้าของโรงเรียนเป็นเหมือนจุดนัดพบอย่างลับๆที่มีแค่ปันกับผมเท่านั้นที่รู้ ถึงจริงๆทุกคนก็สามารถขึ้นมาบนดาดฟ้านี้ได้เสมอแหละเพราะว่ากุญแจมันเสีย แต่ทุกครั้งที่ผมนัดกับปันขึ้นมาก็ไม่เคยเจอคนอื่นอีก แถมดาดฟ้าก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มีไฟส่องสว่างตลอดเวลา แถมยังเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของโรงเรียนแห่งนี้ด้วย
.
ผมกับปันมักจะขึ้นมานั่งคุยกันบนดาดฟ้าเวลาที่ต่างคนต่างมีปัญหา ตลอดช่วงเวลาสมัยเป็นเด็กมัธยมอยู่นั้น ดาดฟ้าแห่งนี้ก็จะเป็นเหมือน safe zone ของผมกับปันที่อันตรายทั้งหลายข้างนอกไม่สามารถเข้ามาทำอะไรพวกเราทั้ง 2 คนได้ แม้แต่กับเพื่อนๆคนอื่นในกลุ่ม ผมก็ไม่เคยบอกเรื่องดาดฟ้านี้ให้พวกมันได้รู้
.
ผมกับปันเดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียงที่ด้านหน้าของพวกเรานั้นเป็นสนามฟุตบอลใหญ่ที่กำลังถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานคืนสู่เหย้าอยู่ ผมมองไปด้านล่างนั้นก็เห็นฝูงคนดูกระโดดขึ้นลงกันตามจังหวะเพลงอย่างเมามันส์
.
“ไม่อยากลงไปแบบนั้นบ้างออ” ผมถามปัน
“ไม่อ่ะ อยากมาอยู่กับมึงมากกว่า” ปันตอบ “มึงอ่ะ เป็นยังไงบ้างว้ะ ไม่ได้เจอกันมาปีกว่าๆ”
“ก็ดี”
“หึ ก็ดีเองเนี่ยนะ ไม่เห็นจะทักกูมาบ้างเลย”
“มึงอ่ะ ไม่เห็นจะทักกูมาบ้าง หายไปติดหญิงที่ไหนมาบ้างล่ะ”
“ก็มึงอ่ะ…”
“กูทำไมหรอ”
“ก็มึงอ่ะ… กูไม่รู้ว่ะ แต่ยิ่งนับวันผ่านไปมากเท่าไหร่ กูยิ่งรู้สึกเหมือนกูหลุดลอยไปจากมึงมากเท่านั้น… กูแม่งก็ใช้ชีวิตไปวันๆบ้างแหละ ชีวิตในมหาลัยกูแม่งก็ไม่ได้น่าตื่นเต้นน่าสนใจอะไร กูก็แค่เตะบอลเรื่อยๆ แล้วก็เรียน กลับบ้าน แดกข้าว หึ… ในขณะที่ชีวิตของมึงแม่งโคตรน่าอิจฉา ได้เป็นตั้งหลีดมหาลัย หน้าตาน่ารักอย่างมึงก็ดังจะตาย เพื่อนๆ รุ่นน้องที่คณะของกูแม่งกรี้ดมึงจะตาย กูรู้สึกห่างกับมึงไปเรื่อยๆแต่ก็เข้าใจเว้ยว่ามึงคงจะไม่ค่อยมีเวลาขนาดนั้นหรอกใช่ม้ะ”
“เออ… ก็จริงเรื่องที่กูไม่มีเวลา แต่ว่าตอนนี้กูมีแล้วนะ มึงอยากไปเที่ยวไหนมึงบอกกูมาเลย มึงอยากไปกินอะไรมึงบอกกูได้ตลอดเลยเว้ย”
“หรอ” ปันขำเสียงอ่อนๆขณะดึงบุหรี่ไฟฟ้าจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสูบ “เอาป้ะ” มันยื่นมาให้ผมพร้อมกับเป่าควันสีขาวออกมา ผมรับมาดูดครั้งหนึ่งแต่ก็สำลักควันออกมาด้วยความไม่ชิน
“หึ มึงแม่งผ่านไปปีนึงก็ยังเป็นคุณชายอยู่เหมือนเดิม”
“กูขอโทษที่กูเป็นคุณชายว่ะ แต่เรื่องแบบนี้กูไม่ชินจริงๆ”
“แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ ชีวิตมึง มีหญิงเข้ามากี่คนล่ะ”
“ก็...มีบ้างว่ะ”
“กี่คนล่ะ”
“เยอะอยู่ แต่ตอนนี้กูมีปักใจแค่คนเดียวล่ะ”
“ว้ะ คุณชายบอมแม่งสุดยอด”
“5555 ก็นิดหน่อยว่ะ”
“ใครว้ะ กูรู้จักม้ะ”
“ก็น่าจะ”
“ใครว้ะ”
“พี่น้ำอ่ะ พี่หลีดกูเอง อยู่ปี 4 นิเทศ”
“โหไอ้เหี้ย คนนั้นแม่งโคตรน่ารักอ่ะ กูเคยเห็นไอจีเค้า เพื่อนกูชอบกันตั้งหลายคน”
“อืม”
.
“เฮอ ผ่านมานานแล้วเหมือนกันเนอะตั้งแต่เราจบ ม ปลายกันมา” ผมพูดขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความเงียบ
“บอม…” ปันเอ่ย “มึงยังจำสัญญาของเราที่เขาชนไก่ได้ป่าวว้ะ” ผมที่ยืนอยู่ข้างๆปันหันไปมองมัน
“อืม…” ผมพยักหน้ารับ “จำได้ซิ”
“กู… กูขอทวงสัญญานั้นจากมึงได้ป่าวว้ะ” ปันเอ่ย ทำให้ผมกลับช็อกเพราะไม่คิดว่าปันจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาตอนนี้ “มึงรู้ป้ะบอม หลังจากที่กูกลับมาจากเขาชนไก่วันนั้น กูก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยว่ะ ความรู้สึกและสัมผัสทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม ถึงมึงจะพยายามบอกให้กูลืมเพราะว่าสุดท้ายแล้วเราต่างคนต่างก็มีชีวิตในทางของตัวเอง และทางของเราแม่งก็คงไม่มาบรรจบกันอีกเหมือนเดิม… กูรู้ว่ายังไงมึงก็คงไม่เชื่อกูหรอก แต่กูยัง… กูยังรักมึงแบบนั้นเหมือนเดิมเลยนะ กูยังคงอยากจะที่ดูแลและคอยปกป้องมึงอยู่เหมือนเดิม โดยที่กูก็ไม่สามารถลบความรู้สึกนี้ออกไปจากหัวกูได้เลยอ่ะทั้งๆที่กูพยายาม กูพยายามมากๆแล้วนะเว้ย บอม… กูขอ… จูบมึงอีกครั้งได้มั้ยว้ะ”