วงเวียนกาม
บทที่ ๑
เย็นมากแล้วผู้คนบนโรงพักเริ่มบางตา แม้ว่าที่นี่จะเป็นสถานีตำรวจที่ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองนายตำรวจที่ส่วนใหญ่ออกเวรแล้วจึงเริ่มทยอยกันกลับบ้านเหลือเพียงนายตำรวจที่เข้าเวรในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้นที่ยังปฏิบัติหน้าที่หากแต่หมวดพฤกษ์ซึ่งออกเวรแล้วเหมือนหลาย ๆ คนกลับยังคงนั่งง่วนหาข้อมูลบางอย่างอยู่โดยไม่ได้ใส่ใจกับเวลาที่เคลื่อนผ่านไปแม้แต่น้อย
หมวดพฤกษ์เป็นนายตำรวจหนุ่มไฟแรงอายุเลยวัยเบญจเพสมาไม่กี่ปี หน้าตาของเขาจัดว่าหล่อเหลาไม่แพ้ใครรูปร่างของเขาบึกบึน ล่ำสัน แข็งแรง สมชายชาตรี ยามที่เขาสวมเครื่องแบบตำรวจที่ค่อนข้างฟิตกระชับสัดส่วน จะทำให้แลเห็นกล้ามแกร่งทั้งช่วงแขน หน้าอก หน้าท้องรวมถึงต้นขาอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่ทำให้สาวๆ ตาโต และหนุ่มๆ ด้วยกันเกิดความอิจฉาน่าจะเป็นสิ่งที่อวบอูมอยู่ภายใต้เป้ากางเกงสีกากีที่เขาสวมอยู่มากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งสะดุดตาที่สุดยามที่หมวดพฤกษ์เคลื่อนไหวร่างกาย
สิ่งที่นายตำรวจหนุ่มเชี่ยวชาญคืองานภาคสนามเมื่อไหร่ก็ตามที่มีภารกิจเสี่ยงตายเขามักจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการปฏิบัติการและแทบไม่เคยมีภารกิจไหนที่หมวดพฤกษ์นำทีมแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ใช่ว่าหมวดพฤกษ์จะเชี่ยวชาญในงานทุกประเภทสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ถนัดคือการค้นหาข้อมูลซึ่งปกติเขาจะมีหมู่ยุทธนาเป็นกำลังสำคัญในเรื่องนี้แต่วันนี้เขาต้องลงมือค้นหาข้อมูลบางอย่างด้วยตัวเอง เพราะงานที่เป็นภารกิจลับที่เขาแอบสืบด้วยตัวเองหลังจากที่ได้เบาะแสบางอย่างมาโดยไม่ได้ตั้งใจเขาจึงคิดหาข้อมูลให้เพียงพอก่อนที่จะรายงานให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบเพื่อจะได้ทำคดีอย่างเปิดเผย
“หมวดยังไม่กลับเหรอครับ?”
เสียงที่ทักขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้นทำให้หมวดพฤกษ์ถึงกับสะดุ้งเขาเหลือบตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มองไปทางต้นเสียงนั้นเห็นหมู่ยุทธนากำลังเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หมู่ยุทธเล่นเอาผมตกใจหมดอยู่ๆ ก็ทักขึ้นมา”
“ขอโทษครับหมวดไม่นึกว่าจะขวัญอ่อนขนาดนี้ ว่าแต่หมวดยังไม่กลับบ้านเหรอครับ นั่งทำอะไรอยู่มีอะไรจะให้ผมช่วยไหมครับ?”
หมู่ยุทธถามย้ำอีกครั้งขณะที่เขาเดินมาถึงโต๊ะของหมวดพฤกษ์และชะโงกหน้าเข้ามาดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“ไม่เป็นไรผมแค่หาข้อมูลอะไรไปเรื่อย ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรอก หมู่กำลังจะกลับบ้านเหรอเชิญตามสบายเลย”
“งั้นผมไปนะครับพรุ่งนี้เจอกัน”
หมู่ยุทธนาพยักหน้าตอบก่อนจะหิ้วสัมภาระเดินลงบันไดโรงพักไป
หมวดพฤกษ์นึกย้อนไปถึงตอนที่มีโอกาสได้รู้จักกับหมู่ยุทธนาใหม่ๆ หมู่ยุทธเป็นนายตำรวจรุ่นน้องที่เข้ามาประจำการที่โรงพักแห่งนี้ได้เพียงปีกว่า ๆแต่กลับสนิทกับเขาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีอุปนิสัยใจคอที่คล้ายคลึงกันแม้จะถูกส่งมาในพื้นที่ต่างถิ่น แต่หมู่ยุทธรู้จักปรับตัวและเป็นกำลังสำคัญในด้านการสืบหาข้อมูลของทีมหมวดพฤกษ์คิดว่าถ้างานที่เขากำลังทำอย่างลับ ๆ นี้ผ่านความเห็นชอบจากผู้ใหญ่และอนุมัติให้ทำการสืบสวนอย่างเปิดเผยได้เขาคิดจะขอให้หมู่ยุทธมาเป็นผู้ช่วยหมือนกับงานชิ้นก่อนๆ ที่พวกเขาร่วมมือกันทำและประสบความสำเร็จมาโดยตลอด
หมู่ยุทธเองก็ชอบที่ได้ร่วมงานกับหมวดพฤกษ์เพราะนอกจากการทำงานที่เข้าขากันเป็นอย่างดีแล้วเขายังนับถือในอัธยาศัยไมตรีของรุ่นพี่คนนี้หมวดพฤกษ์นับว่าเป็นตำรวจตัวอย่างที่แม้เวลาปฏิบัติภารกิจจะเข้มแข็ง มุทะลุดุดันแต่นอกเวลางานเขาเป็นคนสุภาพ พูดเพราะ ให้เกียรติผู้อื่น แม้กระทั่งชาวบ้านตาดำ ๆที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ หรือแม้แต่ลูกน้องอย่างเขา หมวดพฤกษ์ก็ไม่เคยใช้กิริยาท่าทางที่แสดงว่าตนเองนั้นเหนือกว่าจึงไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ต่างก็รักและชื่นชมเขาทั้งนั้น ยังไม่นับชาวบ้านในละแวกนั้นที่ต่างพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ลูกสาวของตนต้องตาต้องใจหมวดพฤกษ์แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครทำได้สำเร็จเพราะหมวดพฤกษ์ดูจะสนใจและทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการทำงานมากกว่า
##########
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงข้างนอกโรงพักเริ่มมืดแล้ว หมวดพฤกษ์รู้สึกล้าหลังนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลานานเขาจึงหันไปพักสายตามองออกไปภายนอกแต่แล้วมือถือของเขาก็มีเสียงข้อความเข้าเตือนขึ้นมาหมวดพฤกษ์หยิบมือถือขึ้นมากดดูข้อความ เสร็จแล้วเขามองออกไปด้านนอกอีกครั้งเมื่อเห็นความมืดคืบคลาน เขาจึงลงมือเก็บข้าวของเพื่อเตรียมกลับที่พัก
นายตำรวจหนุ่มเดินลงจากโรงพักมาที่รถจิ๊ปคู่ใจสตาร์ทรถขับออกไปตามเส้นทางที่ใช้เป็นประจำแต่เมื่อมาถึงทางแยกหนึ่ง เขากลับตัดสินใจหักพวงมาลัยรถเปลี่ยนเส้นทางไปทางที่ไม่ใช่ทางกลับที่พักของเขามันเป็นเส้นทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้กัน
เมื่อเริ่มดึกมากขึ้นความเงียบและวังเวงจึงเพิ่มมากยิ่งขึ้นแม้จะมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าบ้างแต่ก็ส่องความสว่างได้ไม่ทั่วถึงนัก เส้นทางนี้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ใช้รถที่ขับสวนให้เห็นจึงค่อนข้างน้อย ทั่วทั้งถนนจึงแลดูเวิ้งว้าง จนแม้แต่คนที่ปกติไม่ค่อยจะหวาดกลัวอะไรง่ายๆ อย่างหมวดพฤกษ์ ก็ยังอดรู้สึกเย็นวาบเป็นบางช่วงไม่ได้
แล้วโดยไม่ทันตั้งตัวแสงไฟหน้ารถของหมวดพฤกษ์ก็ส่องไปเจออะไรบางอย่างขวางหน้าอยู่ หมวดพฤกษ์ต้องรีบเหยียบเบรกรถจนตัวโก่งแล้วหักพวงมาลัยรถเพื่อหลบให้พ้นสิ่ง ๆ นั้น รถแลบไถลไปสักพักจึงหยุดลง หมวดพฤกษ์ที่ตอนนี้รู้สึกตกใจหัวใจเต้นแรง เหลือบตามองที่กระจกมองหลัง เขาเห็นเงาดำ ๆ เป็นร่างของคน ๆ หนึ่งยืนอยู่เมื่อมองอย่างตั้งใจเขาเห็นร่าง ๆ นั้นสั่นเทา แต่ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลและความมืดที่ปกคลุมโดยรอบทำให้เขามองไม่เห็นว่าร่างที่ยืนอยู่นั้นเป็นใคร
หมวดพฤกษ์เมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นคนก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เขารีบคว้าไฟฉายก้าวลงจากรถ ถนนช่วงนี้ไม่มีไฟสาดส่องจึงมองอะไรได้ไม่ชัดนัก หมวดพฤกษ์จึงเปิดไฟฉายส่องไปที่ร่าง ๆ นั้น เขาเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นผู้ชายมีร่างกายที่ผอมเกร็ง ชายคนนั้นยืนตัวสั่นเทิ้มเอามือบังแสงไฟที่สาดมา ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวบางสีขาวแม้จะเห็นหน้าไม่ชัดแต่หมวดพฤกษ์ก็จำได้ว่าร่างนั้นคือใคร
“บอย!!!”
##########
หมวดพฤกษ์อุทานเรียกชื่อผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะรีบเดินเข้าไปหา แต่บอยไม่ตอบอะไรกลับมาลักษณะร่างกายของเด็กหนุ่มมีอาการสั่นเทิ้มเหมือนหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
หมวดพฤกษ์หันรีหันขวางมองฝ่าความมืดไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งที่พอจะให้คำตอบได้ว่าทำไมบอยถึงมาอยู่ที่นี่ และมีท่าทีแบบนี้เมื่อไม่ได้คำตอบ นายตำรวจหนุ่มจึงพยุงร่างนั้นมาที่รถแทน เขาเปิดประตูด้านข้างคนขับแล้วดันร่างนั้นให้นั่งลงที่เบาะหลังจากนั้นจึงเดินไปหยิบผ้าผืนยาวจากหลังรถเอามาคลุมร่างเกือบเปลือยนั้นไว้
แล้วอยู่ๆ บอยกลับได้สติ พูดขึ้นมาว่า
“หมวดผมกลัว มันจะฆ่าผม”
เสียงของบอยสั่นพร่าแสดงอาการหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“เกิดอะไรขึ้นกับเอ็ง?”
หมวดพฤกษ์ถามด้วยความสงสัย
“เอ็งมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
“พวกมันพาผมมามันรู้แล้วว่าผมเป็นสายให้หมวด พวกมันจะจัดการผม อย่างที่ทำกับคนอื่น ๆแต่ผมหนีมาได้”
เสียงนั้นยังคงสั่นพร่าท่าทีมีอาการสั่นไม่หาย นายตำรวจหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำดื่มข้าง ๆเบาะคนขับมาส่งให้ คนตัวสั่นรีบหยิบไปดื่มรวดเดียวหมดขวด
“เอ็งหนีมาจากที่ไหน?”
หมวดพฤกษ์ยังคงถามต่อเด็กหนุ่มค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นยืนทั้งที่ยังโงนเงน เขาสลัดผ้าที่คลุมร่างอยู่ทิ้งไปแล้วออกเดินไปที่ริมถนน เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น แต่ก็เห็นแต่ความมืดมิดจนหมวดพฤกษ์รีบเอาไฟฉายมาช่วยส่องทางให้ สักพักเด็กหนุ่มจึงชี้มือไปยังจุด ๆหนึ่งซึ่งมีแต่ความเวิ้งว้าง
“แน่ใจใช่มั้ยว่าตรงนั้น”
หมวดพฤกษ์ถามย้ำเด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“งั้นพาข้าไปที ข้าอยากไปเห็นพวกมัน”
บอยหันมาสบตาเหมือนไม่แน่ใจแววตานั้นหลุกหลิกเหมือนยังคงหวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่เมื่อเห็นสายตามุ่งมั่นของหมวดพฤกษ์เขาก็พยักหน้าหมวดพฤกษ์จึงเดินกลับไปที่นั่งคนขับ หยิบสิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เดินตามร่างของบอยที่เดินฝ่าทุ่งหญ้านำหน้าไปก่อนแล้ว หมวดพฤกษ์ส่องไฟฉายเพื่อนำทางขณะเดียวกันก็ถือโอกาสสำรวจร่างของบอยไปด้วย
ร่างกายของเด็กหนุ่มต็มไปด้วยคราบเปรอะเปื้อนแสดงให้เห็นว่ากว่าจะมาถึงที่นี่ได้เจ้าของร่างคงเดินฝ่าทุ่งนั้นมาไกลความนึกคิดของหมวดพฤกษ์ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อนที่เขามีโอกาสได้เจอบอยเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นบอยมาดักเจอเขาหลังจากที่เขาเลิกงานแนะนำตัวว่ามาจากโรงเรียนเปรมปรีดา ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อุปการะเด็กกำพร้าเพสชายเด็กที่ได้รับการดูแลที่นี่ต้องเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมดี มีผลการเรียนที่ดี และมีความสามารถด้านกิจกรรมบอยเล่าว่าเขาอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่อายุ 11ขวบหลังจากที่พ่อของเขาที่เป็นกรรมกรก่อสร้างอาคารเรียนเสียชีวิตตกจากนั่งร้านทำให้ผู้อำนวยการต้องรับอุปการะเขาและให้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ จนตอนนี้เขาอายุได้16 ปีแล้ว
บอยมาพบเขาเพราะเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ที่บอยมีโอกาสได้รู้เห็นโดยบังเอิญเมื่อเพื่อนสนิทถูกลงโทษให้ย้ายไปบ้านสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่อื่นแต่หลังจากนั้นบอยไม่สามารถติดต่อกับเพื่อนคนนี้ได้ เขาจึงให้คนรู้จักที่พอจะช่วยได้ช่วยตามสืบดูให้ แต่คำตอบที่ได้คือ เพื่อนของเขาไม่ได้เข้าไปที่โรงเรียนใหม่และไม่สามารถสืบทราบได้ว่าตอนนี้เพื่อนของเขาหายไปไหน
บอยเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติแต่เขาก็ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร เขาไหว้วานให้คนรู้จักนั้นช่วยตามสืบหานักเรียนคนอื่นที่ถูกย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ก่อนหน้านี้ และพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า ในรอบสองปีที่ผ่านมา เด็กในบ้านอุปถัมป์เปรมปรีดาง14 คนที่ถูกลงโทษย้ายไปที่อื่นมีเพียง 5 คนเท่านั้นที่สามารถระบุจุดหมายปลายทางที่อยู่ใหม่ได้ส่วนที่เหลือนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้บอยมาพบเขาเพื่อให้ข้อมูลในเรื่องนี้
“ใครๆ ก็บอกว่าหมวดพฤกษ์เป็นคนเก่ง ไม่ว่าปัญหาจะร้ายแรงขนาดไหนหมวดพฤกษ์ก็สามารถช่วยได้ทุกเรื่อง”
นายตำรวจหนุ่มยังจำคำพูดนั้นได้เป็นอย่างดี
สองเดือนที่ผ่านมาหมวดพฤกษ์พยายามรวบรวมหลักฐาน ข้อมูลต่าง ๆที่บอยคอยส่งให้ และตามสืบจากตรงนั้น จนตอนนี้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้มากขึ้น จนเขาเตรียมจะนำเรื่องนี้เสนอผู้บังคับบัญชา เพื่อทำการสืบหาการหายตัวไปของเด็กทั้ง 10 รายและความเชื่อมโยงที่มีไปยังโรงเรียนเปรมปรีดา
แต่ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับบอยตอนนี้เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องที่รู้กันเพียงแค่เขากับบอยอีกต่อไปแล้ว
แสงจากไฟฉายส่องให้เห็นสถานที่หนึ่งเบื้องหน้าซึ่งหมวดพฤกษ์ไม่เคยเห็นมันมาก่อนมันเป็นอาคารกลางเก่ากลางใหม่ ที่มองจากด้านนอกไม่สามารถระบุให้ชัดได้ว่าคืออะไรจะเป็นร้านอาหาร โรงละคร โบสถ์ บ้านคน หรืออะไรกันแน่เขารู้เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่าสงสัยคือมันไม่น่ามาตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างและห่างไกลผู้คนได้ขนาดนี้
ขณะที่ยืนงุนงงบอยหันมามองที่เขา แววตาสั่นระริกด้วยความกลัว นายตำรวจหนุ่มเปลี่ยนเป็นฝ่ายเดินนำหน้าบอยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเด็กหนุ่ม เขาปิดไฟฉายลงเพื่อช่วยอำพรางตัว เขาเดินไปที่ประตูลองขยับลูกบิดประตูดูมันไม่ได้ถูกล็อกจากด้านในจึงถูกเปิดออกไกด้อย่างง่ายดาย นายตำรวจหนุ่มจึงค่อย ๆเปิดมันออก
สิ่งที่หมวดพฤกษ์เห็นคือห้องๆ หนึ่ง ซึ่งเมื่อดูสภาพแล้วน่าจะเป็นห้องที่อยู่ด้านหลังของอาคารแห่งนี้นายตำรวจหนุ่มกำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าไป แต่กลับชะงักไว้เพราะบอยเดินเข้ามาเกาะแขนเขาเด็กหนุ่มแสดงอาการหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้นแต่หมวดพฤกษ์เอามือแตะมือของบอยเพื่อแสดงความมั่นใจให้เด็กหนุ่มได้รับรู้ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินผ่านประตูบานนั้นไปด้วยกัน
##########
ห้องด้านในเงียบสนิทเหมือนไม่เคยมีความเคลื่อนไหวใดๆ เกิดขึ้น หมวดพฤกษ์หันมาหาบอย ส่งเสียงกระซิบถาม
“รู้ไหมว่าเราอยู่ตรงไหน?”
เขาเห็นร่างนั้นส่ายหน้ารัวๆ หมวดพฤกษ์จึงเลือกเดินไปตามเส้นทางที่สามารถเดินไปได้เขาวนเวียนอยู่ภายในตัวอาคารท่ามกลางความมืดนั้นได้สักพัก ก็เริ่มมองเห็นแสงรำไร ถึงตรงนี้บอยกระตุกมือเขาทันที
“ตรงนั้นเหรอที่เอ็งหนีมา?”
บอยพยักหน้าทั้งที่ตัวสั่นเทาหมวดพฤกษ์หยิบปืนที่เหน็บไว้ข้างเอวขึ้นมาถือเตรียมพร้อม ค่อย ๆ เดินไปตรงที่มีแสงสว่างเล็ดลอดออกมาหูเริ่มได้ยินเสียงผู้คนดังขึ้นเรื่อย ๆ หัวใจของนายตำรวจหนุ่มเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหล่านั้นดังออกมาจากหลังม่านสีเทา มือของบอยที่เย็นเฉียบกระตุกแขนเขารัว ๆหมวดพฤกษ์สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด หัวใจเขาเต้นรัวขึ้นจนรู้สึกได้ เขาไม่รู้ตอนนี้ตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่
โดยไม่ทันตั้งตัวมือของบอยปล่อยการเกาะกุมจากแขนของเขาแล้วผลักเขาไปเบื้องหน้า หมวดพฤกษ์ที่ไม่ทันตั้งตัวเซถลาไปจนหลุดผ่านม่านสีเทานั้นไป
แล้วหมวดพฤกษ์ก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าเขายืนอยู่บนเวทีขนาดใหญ่ เบื้องล่างเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังกินเลี้ยงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานทันทีที่เห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่หน้ามาบนเวทีคนที่อยู่เบื้องล่างก็หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่โดยพร้อมเพรียงกันหันมาสนใจกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญบนเวทีแทน
ทุกอย่าง ณ ขณะนั้นคือความเงียบงันอย่างที่สุด
หมวดพฤกษ์กวาดสายตามองลงไปด้านล่างเวที เขาเห็นผู้คนที่อยู่ด้านล่างทั้งหมดพวกเขาเป็นผู้ชาย ส่วนใหญ่อยู่ในวัยกลางคน เขาจำหน้าคนเหล่านั้นได้เพราะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในพื้นที่แห่งนี้หรือพื้นที่ใกล้เคียง พวกเขานั่งกันอยู่ที่โต๊ะที่ตั้งกันอยู่เป็นกลุ่มๆ บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มครบครัน แต่สิ่งที่แปลกไปจากงานเลี้ยงอื่น ๆคือบริกรทั้งหมดเป็นผู้ชาย รูปร่างกำยำ ล่ำสัน ทุกคนเปิดเผยเรือนร่างเปลือยเปล่า ทั้งเนื้อตัวมีเพียงหูกระต่ายกับหน้ากากแฟนซีที่พรางใบหน้าไว้เท่านั้นหมวดพฤกษ์กลืนน้ำลายมองภาพที่เห็นเบื้องหน้าสัดส่วนความเป็นชายของบริกรหนุ่มแต่ละคนใหญ่โตสมส่วนกับรูปร่างที่แสนกำยำล่ำสันนั้นต่างเพียงบางคนอวัยวะแข็งตัวชูชัน แต่บางคนยังสงบเสงี่ยมเหมือนรอการปลุกเร้า
แล้วความเงียบที่ปกคลุมทั่วห้องอยู่ชั่วอึดใจก็จางหายเปลี่ยนเป็นเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดาจากบุคคลที่อยู่เบื้องล่างแทน หมวดพฤกษ์ยิ่งงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มารวมตัวกันที่นี่ทำไม แล้วเพราะอะไรจึงส่งเสียงร้องด้วยความยินดีที่เห็นเขาปรากฏตัวขึ้นแต่สิ่งหนึ่งที่เขารับรู้แน่ ๆ ก็คือ มันมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่ ๆนายตำรวจหนุ่มรีบกระชับปืนที่ถืออยู่ในมือให้เตรียมพร้อม แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ทันทำอะไรอยู่ ๆ บอยก็เดินผ่านม่านด้านหลังออกมา พร้อมยื่นเครื่องช๊อตไฟฟ้ามาที่ตัวเขากระแสไฟที่รุนแรงถูกส่งมาที่ตัวนายตำรวจหนุ่ม โดยไม่ทันตั้งตัว สติของเขาก็ดับวูบลง