แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jokecup เมื่อ 2020-11-5 16:25
ตอนก่อนหน้านี้
วงเวียนกาม บทที่ ๙
วงเวียนกาม
บทที่ ๑๐
งานฉลองครบรอบวันก่อตั้งโรงเรียนเปรมปรีดาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เอาจริง ๆ ควรจะเรียกว่าเป็นการเนรมิตรงานขึ้นโดยอาจารย์เพชรน่าจะถูกต้องมากกว่างานนี้อาจารย์เพชรจึงเดินเชิดหน้าเฉิดฉายประหนึ่งว่านี่คืองานของตนเองและด้วยความที่โรงเรียนเปรมปรีดาเป็นโรงเรียนที่อยู่ในจังหวัดเล็ก ๆที่แทบไม่มีอะไรโดดเด่น จึงเป็นไปได้ยากที่จะมีนักข่าวสนใจเข้ามาทำข่าวงานกิจกรรมในโรงเรียนแต่การจัดงานในปีนี้กลับต่างออกไป เพราะมีนักข่าวมารอทำข่าวเป็นจำนวนมากมันจึงสร้างความภาคภูมิใจให้คนในพื้นที่เป็นอย่างมาก รวมทั้งคนใหญ่คนโตในจังหวัดที่รู้ว่างานนี้จะมีนักข่าวมาทำข่าวก็ต่างเดินทางมาเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
บนเวทีอาจารย์สุนัยทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ กล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและผู้ร่วมงานเขากล่าวถึงที่มาของการจัดงานในค่ำคืนนี้ ก่อนที่จะเชื้อเชิญให้แมนสรวงขึ้นไปทำหน้าที่เป็นผู้เปิดงานทันทีที่แมนสรวงก้าวออกมา ผู้คนที่มาร่วมในงานต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับเขาไม่เว้นแม้แต่บุคคลสำคัญของจังหวัดแสดงให้เห็นว่าแมนสรวงเป็นบุคคลสำคัญของพื้นที่นี้
พอกล่าวเปิดงานเสร็จแมนสรวงกล่าวเชิญแขกคนสำคัญให้ขึ้นมาบนเวทีแขกคนสำคัญนี้คือคนที่ทำให้กองทัพสื่อมวลชนเข้ามาทำข่าวที่โรงเรียนแห่งนี้อย่างคับคั่ง
“งานในวันนี้เรามีแขกรับเชิญคนสำคัญที่จะมาเซอร์ไพรส์ทุกท่านผมขอเกริ่นนำก่อนว่าเขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับประเทศที่ทุก ๆท่านในที่นี้ต้องรู้จักและต้องเคยชมผลงานของเขามาก่อนอย่างแน่นอนไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขาและมันทำให้ผมรู้สึกประทับใจในตัวเขามาก เพราะความเป็นมืออาชีพที่ในการทำงาน การวางตัวของเขาที่เป็นกันเอง ไม่ถือตัวว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นอกจากนี้เมื่อลองได้สัมผีสกับตัวตนของเขาจริงๆ มันทำให้ผมได้เห็นว่า เขาเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเมื่อเขาทราบถึงโครงการโรงเรียนเปรมปรีดาที่ผมทำนี้เขาก็เสนอตัวมาช่วย เพื่อให้งานนี้ได้รับรู้สู่สังคมในวงกว้าง พูดมาขนาดนี้คิดว่าทุกท่านคงจะสงสัยและอยากรู้แล้วว่าผมกำลังพูดถึงใครเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกท่านพบกับพระเอกหนุ่มชื่อดัง ท็อป ธีรเดชครับ”
ทันทีที่ชื่อพระเอกดังถูกประกาศออกมาเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้ร่วมงานที่ชื่นชอบพระเอกคนดังก็ดังขึ้นทันที ในจำนวนนั้นคือภรรยาและลูกสาวของเสี่ยสมศักดิ์ที่แสดงความยินดีอย่างออกนอกหน้าจนสร้างความหมั่นไส้ให้เสี่ยสมศักดิ์เป็นอย่างมาก
พระเอกหนุ่ม ท็อปธีรเดช เดินฉีกยิ้มหวานออกมาที่หน้าเวทีกล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในงานสำคัญนี้เขาพูดถึงปัญหาของเด็กไร้ที่พึ่งพิงซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญในสังคมไทยพร้อมกล่าวชื่นชมแมนสรวงที่อุทิศตนเข้ามาทำงานนี้เพื่อส่วนรวมคำกล่าวของเขาสร้างความรู้สึกตื้นตันและอารมณ์ร่วมให้ผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมากก่อนที่ทุกคนจะยิ่งชื่นชมเขามากยิ่งขึ้นเมื่อพระเอกดังประกาศสละค่าตัวในการออกงานครั้งนี้และบริจาคเงินส่วนตัวเพิ่มอีก 1 ล้านบาทเพื่อสมทบทุนช่วยเหลือโรงเรียนเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการต่อไปถึงตรงนี้ช่างภาพต่างรีบเก็บภาพกันยกใหญ่จนเกิดแสงไฟจากแฟลชกระพริบพรายขึ้นในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันอย่างมากมาย
ท็อป ธีเดชหันไปสบตาแมนสรวงที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้วในแววตาของหนุ่มใหญ่นั้นหาได้มีความยกย่อง ชื่นชมให้กับพระเอกคนดังไม่เพราะเขารู้ว่าคำกล่าวนั้นได้รับการปั้นแต่งมาเป็นอย่างดีเพื่อหวังให้คนฟังรู้สึกประทับใจรวมทั้งจำนวนเงินบริจาคที่คนอื่น ๆ ฟังอาจจะรู้สึกว่าเป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจแต่สำหรับคนระดับ ท็อป ธีรเดช มันเป็นตัวเลขที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่พระเอกหนุ่มจะได้จากภารกิจต่อจากนี้ของเขา
หลังกล่าวจบพระเอกชื่อดังก็ร่วมแสดงโชว์พร้อมกับเด็กนักเรียนจากโรงเรียนเปรมปรีดา ทำให้ผู้คนในงานต่างชื่นชมเขาเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ
หลังการแสดงจบลง พระเอกคนดังถูกพาลงมาจากเวทีถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยเดินขนาบข้าง เพื่อไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้เพื่อให้นักข่าวได้ใช้เป็นที่สัมภาษณ์แต่ไม่ได้มีเพียงนักข่าวที่เดินตามกลุ่มของพระเอกดังมาแต่ยังมีผู้มาร่วมงานอีกจำนวนหนึ่งที่ตื่นเต้นและดีใจที่ได้มีโอกาสมาเห็นพระเอกหนุ่มคนดังตัวเป็นๆ ต่างเดินตามพระเอกดังมาเพื่อหวังที่จะได้มีโอกาสเซลฟี่กับพระเอกคนดังซึ่งรวมถึงเมียและลูกสาวของเสี่ยสมศักดิ์ด้วย เสี่ยสมศักดิ์เมื่อเห็นว่าลูกเมียไม่ได้สนใจตัวเองก็เลยถือโอกาสปลีกตัวออกจากงานไป
ขณะที่บนเวทีอาจารย์สุนัยที่ทำหน้าที่ดำเนินรายการต่อ กำลังกล่าวชื่นชมผลงานของนักเรียน ที่เพิ่งทำชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียนจากการชนะการแข่งขันว่ายน้ำระดับขังหวัดและได้สิทธิ์ในการคัดตัวเป็นทีมชาติเยาวชน
หลังจากนั้นอาจารย์สุนัยก็ได้เชิญอัคร นักเรียนที่ทำผลงานดีเด่นดังกล่าวให้ขึ้นมารับรางวัลบนเวทีโดยมีแมนสรวงเป็นผู้มอบรางวัลให้ แต่อัครกลับไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พูดความรู้สึกใดๆ เพราะกลายเป็นแมนสรวงที่เป็นผู้ปกครองโดยตรงของอัครที่ทำหน้าที่เป็นคนพูดแทนเขา
อัครยืนมองแมนสรวงพูดชื่นชมเขาจนจบโดยหวังว่าอาจารย์พลวิทย์จะได้เป็นคนที่ขึ้นมาบนเวทีเป็นคนต่อไปแต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังนั้น เมื่ออาจารย์สุนัยสร้างเซอร์ไพร้ส์ที่เขาคาดถึง
“ยังไม่หมดนะครับสำหรับรางวัลที่นักเรียนดีเด่นของเราจะได้รับ เพราะยังมีรางวัลพิเศษอีกชิ้นที่คุณแมนสรวงตั้งใจจะมอบให้กับเขาในคืนนี้นั่นคือ”
เสียงดนตรีดังเร้าใจขึ้นชั่วครู่ก่อนที่อาจารย์สุนัยจะประกาศขึ้นว่า
“ขอต้อนรับวาโย อดีตนักกีฬาว่ายน้ำชุดเยาวชนทีมชาติครับ”
ทันทีที่เสียงอาจารย์สุนัยดังขึ้นก็ปรากฏร่างชายหนุ่มออกมายืนอยู่ตรงกลางเวที ชายหนุ่มที่ทำให้อัครตกตะลึงและมีนงงไปพร้อม ๆ กัน
“วาโยประสบความสำเร็จจากการปลุกปั้นของอาจารย์พลวิทย์จนทำให้เขาได้รางวัลต่าง ๆ มากมายแต่น่าเสียดายที่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องหยุดการเล่นกีฬาที่เขารักไปแต่วันนี้เขากลับมาแล้ว และพร้อมแล้วที่ตอบแทนอาจารย์พลวิทย์ที่เขารักอย่างสาสมและจากวันนี้วาโยจะรับหน้าที่เป็นโค้ชส่วนตัวของอัครเพื่อส่งคืนอาจารย์พลวิทย์สู่ชมรมว่ายน้ำ เพื่อไปผลักดันเด็กคนอื่น ๆ ต่อไปเพื่อให้ชมรมว่ายน้ำของโรงเรียนเปรมปรีดายิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าใคร”
เสียงชื่นชมยินดีดังกึกก้องขณะที่อัครมองสบตาวาโยด้วยความมึนงง จะเป็นไปได้อย่างไรที่วาโยจะมาเป็นโค้ชที่นี่ยิ่งมาช่วยอาจารย์พลวิทย์ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าทั้งคู่จบกันไม่สวยและที่อาจารย์พลวิทย์ต้องระหกระเหินมาทำงานที่นี่เพราะมีปัญหากับวาโย
ตอนนี้อัครแค่อยากรู้ว่าอาจารย์พลวิทย์อยู่ที่ไหน
เขากวาดสายตามองไปทั่วทั้งงานแต่กลับไม่ปรากฏร่างโค้ชของเขาให้เห็นเลย
ห่างออกไปไม่ไกลจากโรงเรียนเปรมปรีดามากนักรถคันหนึ่งกำลังขับมุ่งเข้าสู่ตัวโบสถ์ใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างลี้ลับไกลจากสายตาคนบนรถมีคนนั่งอยู่สามคน ที่นั่งคนขับเป็นชายหนุ่มร่างท้วม ข้าง ๆ คนขับคือหนุ่มวัยรุ่นร่างผอมบางขณะที่ด้านหลังมีชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ รูปร่างล่ำสันแข็งแกร่งสมชายชาตรีนั่งอยู่
เมื่อรถแล่นมาถึงจุดหมายสายตาของชายหนุ่มที่เบาะหลังก็เหลือบตามแสงจากไฟหน้ารถไปเห็นโบสถ์หลังใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้านี่คือสถานที่ที่เขาเคยมาเยือนมันแล้วครั้งหนึ่ง ภาคิยะคิดในใจเขาเริ่มรู้สึกว่าการเสี่ยงภัยในคืนนี้ต้องทำให้เขาได้เจอในสิ่งที่เขาตามหาอยู่อย่างแน่นอน
แล้วเสียงของไอ้อ๋องก็ปลุกเขาขึ้นจากภวังค์
“ที่นี่นะพี่เดี๋ยวผมให้ไอ้บอยพาพี่เข้าไป ส่วนผมจะวนไปหาที่จอดรถก่อน ตรงนี้เขาไม่ให้จอดเพราะเดี๋ยวจะมีแขกคนสำคัญตามมาสมทบอีกเพียบ”
ภาติยะ เปิดประตูลงจากรถขณะกำลังจ้องมองโบสถ์เก่าอยู่นั้น ไอ้บอยก็เดินมายืนอยู่ข้าง ๆ เขาก่อนจะชักชวนให้เขาเดินตามเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น
ภาติยะเดินผ่านประตูโบสถ์ทางด้านหลังเข้ามาและสิ่งที่เขาเห็นมันช่างต่างจากภายนอกอย่างชัดเจน แสงไฟที่สว่างจ้า ผู้คนจำนวนมากเสียงอึกทึกครึกโครมวุ่นวาย ทั้งหลายทั้งปวงนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับเขาเป็นอย่างมาก
“ชื่ออะไร”คำถามจากคนที่เฝ้าทางเข้า-ออกปลุกเขาขึ้นมาจากอาการตื่นตะลึง
“เดช เดชชาติ” ภาติยะบอกชื่อปลอมของเขาออกไป
เหมือนเป็นคำถามพอเป็นพิธีเพราะทันทีที่เขาพูดจบนายคนเฝ้าทางเข้า-ออกก็ไม่ได้สนใจอะไร หันไปคุยกับไอ้บอยแทนไม่กี่ประโยคก็ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในงาน
ภาติยะถูกพามาถึงมุมที่ใช้สำหรับแต่งตัวเขาเห็นชายหนุ่มอีกกว่าสิบชีวิตกำลังเริ่มแต่งตัวกันแล้วขณะที่เขากำลังสนใจกับภาพตรงหน้า จู่ ๆก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังจนทำให้เขาตกใจ
“หล่อมากไอ้บอยมึงไปหามาจากไหนวะ”
“จากไหนก็ช่างไม่ใช่เรื่องเจ๊”
“อ้าวอีนี่กูถามดี ๆ ไม่ยุ่งกับมึงก็ได้ มาพี่ เดี๋ยวหนูแต่งตัวให้พี่ จริง ๆอย่าเรียกว่าแต่งตัวเลย ควรเรียกว่าเดี๋ยวหนูจับพี่ไปแก้ผ้าน่าจะถูกกว่า”
หญิงสาวในร่างชายหนุ่มพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ พรางกวักมือให้ภาติยะเดินตามนางไป ชายหนุ่มหันมาสบตาไอ้บอย ก่อนจะเดินตามผู้ที่เรียกเขาไปโดยมีไอ้บอยยืนส่งเขา เขาเห็นปากไอ้บอยขมุบขมิบเหมือนจะพูดว่า
“โชคดีนะพี่”
จากมุมที่ยืนอยู่ไอ้บอยสามารถมองเห็นภาติยะได้อย่างชัดเจน มันเห็นชายหนุ่มค่อย ๆปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายออกจากร่างทีละชิ้น ทีละชิ้นจนสุดท้ายเหลือแต่ตัวเปลือยเปล่า ชายหนุ่มต้องยืนตัวตรงเพื่อให้หญิงสาวในร่างชายหนุ่มบรรจงแต่งตัวให้จากจุดที่ยืนอยู่มันเห็นควยของภาติยะมีอาการตื่นนิด ๆ และเห็นสาวช่สงแต่งหน้าเผลอหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นผู้ชายตรงหน้าเกิดอาการของขึ้น
“ไวไม่ใช่เล่นนะพี่”
ไอ้บอยยืนมองภาติยะที่ตอนนี้ยืนควยโด่ชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อให้กะเทยช่างแต่งหน้าเล็มขนรักแร้ที่ดกดำนั้นให้บางลงเมื่อพอใจแล้วก็เปลี่ยนลงไปเล็มขนหมอยของภาติยะอีกทีทั้งที่ก่อนหน้านี้ขนหมอยนี้ก็ได้รับการเล็มมาจากไอ้อ๋องแล้วทีหนึ่งแต่การเล็มขนหมอยในครั้งนี้ดูจะสร้างความยุ่งยากให้คคนทำพอสมควร เพราะควยที่กำลังชูชันอยู่นั้นทำให้กะเทยสาวทำงานไม่สะดวกจนนางต้องก้มลงเอาหน้าไปใกล้ ๆ เพื่อให้ทำงานได้ถนัด ๆยิ่งหน้าของกะเทยสาวเข้าไปจ่อใกล้มากเท่าไร ควยของภาติยะก็ยิ่งชูชันขึ้นเท่านั้น ไอ้บอยยืนมองภาพนั้นใจหนึ่งนึกชื่นชมแต่อีกใจก็นึกสมเพช ที่ผู้ชายมาดแมน หุ่นล่ำมีตำแหน่งหน้าที่การงานดีเป็นถึงผู้กอง ต้องมาทำอะไรแบบนี้
หลังแต่งตัวเสร็จภาติยะเดินตรงมาหาไอ้บอย จากร่างล่ำที่สวมใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิดตอนนี้ทั้งตัวเหลือเพียงหูกระต่ายสีดำชิ้นเล็ก ๆ พันรอบคอและท่อนล่างมีเพียงกางเกงหนังสีดำตัวจิ๋วที่ปกปิดอะไรไม่ได้เลยเพราะด้านหน้าถูกเจาะเป็นรูโหว่ไว้เพื่อให้ควยท่อนเขื่องได้ออกมาชมโลกภายนอกส่วนด้านหลังก็ถูกเจาะเป็นรูโหว่ขนาดไหญ่ไว้ให้บั้นท้ายงอนงามได้ออกมาท้าทายอวดสายตาของคนที่พบเห็นภาติยะ เอาหน้ากากสีดำอันเล็กที่ปิดเพียงเฉพาะรอบดวงตาขึ้นมาใส่เพียงเท่านั้นภาติยะก็ละทิ้งความอาย และพร้อมทำงานแบบควยโด่ต่อหน้าทุก ๆคนในงานได้อย่างไม่ขัดเขินแล้ว
ภายในห้องโถงที่จัดงาน ภาติยะกวาดสายตามองไปรอบห้องนึกถึงวันที่เขาได้เข้ามาที่ห้องนี้เป็นครั้งแรก ตอนนั้นมันมีโต๊ะและเก้าอี้ว่าง ๆ ตั้งเอาไว้ แต่วันนี้แต่ละโต๊ะกลับมีคนนั่งกันอยู่อย่างหนาแน่นบรรยากาศช่างแตกต่างจากครั้งแรกที่เขามาเยือนโดยสิ้นเชิงสิ่งที่ทำให้ภาติยะรู้สึกขนลุกก็คือมีคนที่อยู่ในขบวนการที่น่าสงสัยนี้เป็นจำนวนมาก มากกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
ภาติยะเริ่มถือถาดเครื่องดื่มเดินตรงไปยังโต๊ะที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการตลอดทางเขาผ่านโต๊ะอื่น ๆ ที่มีแขกผู้ทรงเกียรติตามที่ไอ้อ๋องกล่าวอ้างนั่งจับกลุ่มสนทนากันอยู่เขาโดนแขกผู้ทรงเกียรติเหล่านั้นล่วงละเมิดเขามาตลอดทางบางคนก็เอื้อมมือมาแตะที่ควยของเขา หนักกว่านั้นบางคนก็ใช้มือตบหรือบีบเบา ๆแต่บางคนก็ขอให้เขาหยุดยืนนิ่ง ๆ เพื่อนขอจับและรูดแบบเน้น ๆ บางคนก็บีบขยำที่ตูดของเขาก็มีนายตำรวจหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองต้องใช้ความอดทนต่อการทำงานนี้เป็นอย่างมากนอกจากนี้เขาต้องพยายามทำให้ควยของเขาแข็งตัวอยู่ตลอดเวลาด้วย
หลังจากที่นายตำรวจหนุ่มเดินทำหน้าที่พนักงานเสิร์ฟได้สักพักหนึ่งเสียงสนทนาที่กำลังดังเซ็งแซ่ในห้องก็กลับเงียบลง เมื่อมีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นผ่านลำโพงตอนนั้นเองที่กิจกรรมในห้องหยุดชะงักลง แล้วทุกสายตาหันไปจับจ้องที่กลางเวทีแทน ซึ่งก็รวมถึงภาติยะที่ยืนยังยืนควยโด่เป็นลำอยู่กลางห้องด้วย
ชาคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่กลางเวทีนายตำรวจหนุ่มไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเพราะเครื่องแต่งกายที่จัดเต็มปิดบังตัวตนของเขาไปจนหมด สิ่งที่ภาตินะพอจะบอกได้เกี่ยวกับชายคนนี้คือเขาเป็นชายร่างป้อมตัวไม่สูงนัก ชายคนนั้นใช้เสียงพูดที่ทุ้มและกังวาลดึงดูดความสนใจของคนในห้องได้อย่างอยู่หมัดภาติยะจึงคิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ดำเนินรายการในค่ำนี้แต่ขณะที่ภาติยะกำลังจ้องมองชายคนนั้นพูดเกริ่นถึงกิจกรรมในวันนี้อยู่นั้น อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเสียววาบที่ท่อนควยพอก้มลงไปดูก็เห็นมือ ๆ หนึ่งกำลังรูดควยเขาเล่นอย่างสบายใจ พอหันมามองที่ใบหน้าของผู้กระทำนายตำรวจหนุ่มก็จำได้ทันทีว่านี่คือพ่อเลี้ยงคำอินทร์ผู้กว้างขวางประจำจังหวัดแห่งนี้นั่นเอง
ภาติยะไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นอย่างไรจึงยืนปล่อยให้พ่อเลี้ยงยืนรูดควยเขาเล่นต่อไปแต่เพียงสักพักก็มีชายหุ่นล่ำอีกคนเดินมาชนจนเขาเซ ควยหลุดออกจากมือของพ่อเลี้ยงสูงวัยเขาหันไปสบสายตาของผู้มาชนรู้ถึงความตั้งใจของอีกฝ่ายที่คงมาช่วยให้เขาหลุดจากการถูกคุกคามโดยพ่อเลี้ยงภาติยะจึงแสดงท่าทางขอบใจชายลึกลับ ก่อนจะรีบเดินควยถอกออกจากบริเวณนั้นไป
ภาติยะเดินเข้ามาหลบเข้าไปที่ห้องครัวพยายามสงบจิตสงบใจตัวเอง แต่อยู่ ๆ ก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นเพราะขณะที่ความกลัวเกิดขึ้นมานั้น เขากลับรู้สึกชอบที่มีคนจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของเขาชอบที่มีคนพยายามคุกคามร่างกายของเขา ควยของเขากลับแผดผงาดพร้อมสู้มือและสายตาของคนแปลกหน้าเหล่านี้ภาติยะกำลังสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้นี้ไม่ใช่ความวิปริตใช่ไหม
เสียงฮือฮาจากภายนอกปลุกให้นายตำรวจหนุ่มตื่นจากภวังค์ภาติยะโผล่หน้าออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นเขาเห็นบนเวทีมีชายหนุ่มอีกคนออกมายืนอยู่ข้าง ๆ ผู้ดำเนินรายการใบหน้านั้นหล่อสะดุดตา ภาติยะรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นชายหนุ่มคนนั้นที่ไหนมาก่อน
คิด คิด คิด
“นั่น ท็อป ธีรเดชพระเอกดังนี่หว่า มาทำอะไรในงานนี้”
ภาติยะพึมพำกับตัวเอง ไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นพระเอกดังระดับนี้มาอยู่ในงานแบบนี้เขากำลังคิดไปไกลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพระเอกคนดัง
มื่อเห็นดังนั้นนายตำรวจหนุ่มจึงเดินออกมายืนที่กลางห้อง เพื่อสังเกตุการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ตอนนี้ พระเอกคนดังท็อป ธีรเดช สะกดผู้ที่มาร่วมงานทุกคนจนไม่มีใครสนใจใครแล้ว
ชายที่เป็นผู้ดำเนินรายการยืนพูดคุยกับพระเอกคนดังอยู่ช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะนำเข้าสู่การแสดงโชว์ที่มีพระเอกดังเข้าร่วมการโชว์นี้ด้วยพอพูดจบไฟบนเวทีก็ดับสนิทไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจดังโหมโรงขึ้นมา
แล้วไฟบนเวทีก็สว่างขึ้นมาอีกครั้งตอนนี้บนเวทีไม่ปรากฏร่างของพระเอกคนดัง เหลือเพียงผู้ดำเนินรายการแล้วก็ร่างชายปริศนาอีกคนหนึ่ง
ร่างปริศนานั้นเป็นชายหนุ่มหุ่นล่ำที่มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกเขาห้อยไว้กับขื่อบนอาคารร่างนั้นหันหลังทำให้ยังไม่เห็นว่าชายคนนั้นคือใคร แต่ที่รู้คือร่างนั้นเปลือยเปล่าทำให้เห็นก้นที่ฟิตปั๋งนั้นอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ในระยะไกลเพราะช่างเด่นสะดุดตาเชิญชวนให้จ้องมองยิ่งนัก พอผู้ดำเนินรายการเดินไปผลักร่างนั้นให้กลับมาภาติยะก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ
“พฤกษ์!!”
นายตำรวจหนุ่มตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าแต่จริง ๆ มันไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมายของเขานัก แต่ภาติยะรู้ดีว่าในตอนนี้เขาไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปช่วยนายตำรวจรุ่นน้องได้เพราะไม่อย่างนั้นทั้งเขาและหมวดพฤกษ์อาจจะกอดคอลงหลุมไปด้วยกันทั้งคู่
นายตำรวจหนุ่มตอนนี้กำหมัดแน่นยืนตัวเกร็งดูภาพหมวดพฤกษ์ที่ตอนนี้เหมือนคนไม่มีสติ ยืนคอพับอ่อนอยู่กลางเวทีด้วยความเจ็บปวดใจ
เพียงไม่นานพระเอกหนุ่มคนดังท็อป ธีรเดช ก็เดินออกมาจากหลัง ในชุดหนังรัดรูปสีดำที่แนบเนื้อจนเห็นรูปร่างสัดส่วนของพระเอกคนดังอย่างชัดเจนทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงส่วนหัวของเขาเท่านั้นที่ไม่ถูกอะไรปกปิด ใบหน้าของพระเอกคนดังตอนนี้ช่างแตกต่างจากทุกๆ ครั้งที่เคยเห็นผ่านสื่อ เพราะมันเป็นใบหน้าและแววตาที่เหี้ยมเกรียมผิดส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ทุกคนได้เห็น ในมือของพระเอกคนดังถือแส้ออกมาด้วยและเมื่อเดินมาถึงตัวหมวดพฤกษ์ พระเอกคนดังก็ไม่รอช้าใช้แส้ฟาดเข้าไปที่แผ่นหลังของนายตำรวจหนุ่มทันทีจนคนที่โดนฟาดฟื้นคืนสติส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดออกมา
แล้วหลังจากนั้นช่วงเวลาแห่งความหฤหรรษ์ของการเล่นนาย-ทาสและการทรมานก็เริ่มต้นขึ้น
เสียงแส้ที่กระทบร่างนายตำรวจหนุ่มเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างนั้นเกิดรอยแดงขึ้นทั่วร่าง พอฟาดจรหนำใจแล้วพระเอกคนดังก็เดินตรงไปที่ร่างล่ำที่ร้องครางโหยหวนเขาจัดการเอาลิ้นลงเลียที่รอยแผลที่เกิดการการใช้แส้นั้น หมวดพฤกษ์ดิ้นเร่า ๆด้วยความเจ็บปวดจากการถูกลงลิ้น แต่พระเอกคนดังไม่รู้สึกใจอ่อนยังคงใช้ลิ้นละเลงไปทั่งร่างที่มีแผล
พอหนำใจแล้วพระเอกคนดังจึงเปลี่ยนจากการใช้ลิ้นเลียที่แผลไปเป็นใช้ลิ้นโลมเลียร่างของนายตำรวจหนุ่มในส่วนอื่นๆ เริ่มจากใบหน้าอันหล่อเข้ม ลิ้นที่ใช้อย่างชำนาญนั้นค่อย ๆไล่เลื้อยไปตามสู่ลำคอ ก่อนที่จะไปโลมเลียที่กลุ่มขนรักแร้อันดกดำ จากด้านซ้ายแล้วไล้ไปด้านขวาก่อนที่พระเอกคนดังจะกลับมาจูบปากแลกลิ้นกับชายหนุ่มที่กำลังถูกทรมานอย่างหื่นกระหายมันทำให้ควยของนายตำรวจหนุ่มที่นอนนิ่งสงบอยู่ค่อย ๆ ตั้งโด่ขึ้นมาเช่นเดียวกับควยของภาติยะที่เหมือนจะสงบไปชั่วครู่ก็กลับมาตั้งโด่ใหม่อีกครั้ง
แล้วพระเอกหนุ่มก็ถอนปากจากฝ่ายตรงข้ามจากนั้นจึงลากลิ้นลงมาที่หัวนมที่แข็งเป็นไตอยู่ที่แผงอกล่ำ ๆ ของนายตำรวจหนุ่ม พระเอกคนดังใช้ลิ้นวนรอบหัวนมนั้นอย่างชำนิชำนาญก่อนจะดูดเลียมันอย่างรุนแรงจนหัวนมนั้นแดงเถือกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดตอนนี้ผู้ดำเนินรายการบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วยอย่างออกรสและบอกว่าน่าอิจฉาชายหนุ่มที่ถูกมัดเป็นยิ่งนักที่มีพระเอกคนดังมาสร้างความเสียวให้ฟรี ๆ แบบนี้
เมื่อพระเอกคนดังลงลิ้นที่แผงแกล่ำจนพอใจแล้วเขาก็ค่อย ๆ ไล้ลิ้นลงมามราหน้าท้องที่มีกล้ามท้อง เป็นลูกแบบที่ผู้ชายทุกคนต้องการลิ้นนั้นเลียไปตามร่องที่กล้ามท้องจนพอใจ ก็ไล่เลื้อยมาถึงบริเวณสะดือ พระเอกหนุ่มไม่พลาดที่จะฉกลิ้นลงไปละเลงเลียจนชุ่มรูสะดือ
เสียงครางของนายตำรวจหนุ่มดังขึ้นดังขึ้น ดังขึ้น ด้วยความเสียวซ่านจากการถูกจู่โจมด้วยปลายลิ้น จนเมื่อปากของพระเอกหนุ่มครอบลงไปที่ท่อนลำดุ้นเขื่องของนายตำรวจหนุ่มแล้วดูดเข้าดูดออก ดูดเข้าดูดออก อย่างช้า ๆ ร่างของนายตำรวจหนุ่มตรงหน้าก็บิดเกร็งด้วยความเสียวสีหน้าของเขาเหยเก สูดปากร้องครวญครางออกมาไม่หยุดหย่อน
แล้วพื้นเวทีตรงส่วนที่ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ก็ค่อยๆ หมุนวนอย่างช้า ๆ รอบแล้วรอบเล่า รอบแล้วรอบเล่า ขณะที่เสียงดนตรีเปลี่ยนจากธีมที่ร้อนแรงฮึกเหิมเป็นเร่งเร้ารัญจวนใจ จากนั้นสายน้ำจากด้านบนเพดานห้องก็พวยพุ่งตกลงมาใส่ชายหนุ่มทั้งสองจนตัวเปียกปอน
ท็อป ธีรเดชพระเอกคนดังกลับลุกขึ้นยืนดูดปากกับนายตำรวจหนุ่ม แล้วพื้นเวทีก็หยุดหมุนลงทันทีพร้อมกับสายน้ำจากบนเพดานก็หยุดลงด้วยเช่นกันตอนนี้ภาพที่ผู้คนด้านล่างได้เห็นคือภาพพระเอกหนุ่มยืนหันหลังให้กับผู้ชม
แล้วอยู่ ๆ ก็มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งตรงเข้าไปที่ตัวของพระเอกหนุ่มแล้วจัดการรูดซิปชุดหนังของเขาออก แล้วร่างของพระเอกหนุ่มคนดังก็ค่อย ๆถูกลอกคราบออกอย่างช้า ๆ ทำให้ผิวขาวเหมือนจะเรืองแสงได้ของพระเอกคนดังค่อย ๆ เผยร่างออกมาจนชุดหนังโดนดึงออกจากร่างทั้งหมด ด้านหลังที่เปลือยเปล่าของพระเอกหนุ่มจึงปรากฏสู่สายตาผู้คนในงาน
ภาติยะมองภาพนั้นด้วยความตื่นตะลึงไม่อยากจะเชื่อสายตา ที่เห็นพระเอกคนดังมาโชว์ร่างเปลือยให้คนในงานเห็นได้ง่าย ๆแบบนี้ ควยของเขากระดกขึ้นลงด้วยความเสียวขึ้นมาทันที
แล้วแสงไฟบนเวทีก็ดับลงอีกครั้ง
เพียงพริบตาเดียว แสงไฟก็สว่างวาบขึ้นอีกครั้งร่างของผู้ดำเนินรายการก็ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีพร้อมขนาบข้างด้วยร่างเปล่าเปลือยสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นนายตำรวจหนุ่มหุ่นล่ำหมวดพฤกษ์ ไชยยนต์ ส่วนอีกข้างคือพระเอกหนุ่มรูปงาม ท็อป ธีรเดชตอนนี้ทั้งสองหนุ่มต่างยืนควยโด่ประชันกัน ถ้าจะมีอะไรที่แตกต่างกันก็น่าจะเป็นที่พระเอกหนุ่มยืนฉีกยิ้มหราภูมิใจกับการได้โชว์เรือนร่างที่เปล่าเปลือยนี้ให้ทุกคนได้เห็นขณะที่หมวดพฤกษ์กลับไม่มีทั้งรอยยิ้มที่ริมฝีปาก และในดวงตานั้นก็มีแต่ความว่างเปล่าสิ้นหวัง
ผู้ดำเนินรายการเริ่มต้นงานประมูลทาสในค่ำคืนนี้ด้วยพระเอกหนุ่มรูปงามท็อป ธีรเดชก่อนโดยผู้ที่ประมูลพระเอกดังได้นั้นจะมีโอกาสได้เป็นนายที่จะสามารถสั่งการให้พระเอกดังทำอะไรก็ได้ตั้งแต่หลังประมูลไปจนถึงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นคือ6 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
พอเริ่มต้นการประมูลผู้เข้าร่วมงานต่างแย่งชิงการประมูลจนตัวเลขสูงทำลายทุกสถิติที่เคยมีแม้จะมีเวลาที่ได้เล่นสนุกกับทาสเพียงน้อยนิดก็ตามแต่ทุกคนก็รู้สึกว่ามันช่างคุ้มค่า แต่เหมือนผู้ดำเนินรายการจะยังไม่พอใจสั่งให้พระเอกดังเรียกแขกเพิ่มด้วยการหันหลังแล้วแหกตูดตัวเองโชว์ให้ผู้ร่วมประมูลทุกคนได้ดูรูตูดสีชมพูที่ไม่มีไรขนนั้นช่างเหมือรูตูดของเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยมีอะไรกล้ำกรายผู้ดำเนินรายการยิ่งยั่วให้คนดูข้างล่างเสียวมากยิ่งขึ้นด้วยการเอานิ้วตัวเองค่อย ๆแหย่เข้าไปในร่องตูดของพระเอกคนดัง แล้วให้พื้นบนเวทีก็ค่อย ๆ หมุนกลับด้านเพื่อให้เห็นสีหน้าของพระเอกหนุ่มคนดังที่กำลังแสดงความเสียวซ่านจากการโดนนิ้วแยงเข้าไปในรูตูดให้ทุกคนได้เห็น
“โอกาสที่คุณจะได้เล่นทาสที่มีดีกรีระดับพระเอกแบบนี้จะมีอีกไหมจะยอมพลาดโอกาสนี้ไปง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ”
นิ้วที่แหย่ร่องตูดพระเอกดังถูกดึงออกแล้วผู้ดำเนินรายการก็เอานิ้วนั้นเข้าปากตัวเองไปดูดเลีบ พร้อมแสดงท่าทางเอร็ดอร่อยให้ผู้ร่วมงานได้เห็นขณะที่พระเอกหนุ่มก็ส่งยิ้มโชว์อย่างพออกพอใจทั้งที่ยังอยู่ในท่าโก้งโค้งอยู่
แต่แค่นั้นยังเรียกแขกได้ไม่พออยู่ ๆ พระเอกคนดังก็หันตัวไปหาร่างของผู้ดำเนินรายการ แล้วปลดซิปกางเกงของเขาออกแล้วเอามือล้วงเข้าไปควักท่อนควยที่กำลังแข็งเต็มที่นั้นออกมาดูดอมอย่างเอร็ดอร่อย
“ยอมเป็นทาสก็ได้ ห็ดูดดม อม เลีย ก็ได้ แถมยังให้เย็ดได้ จะมีใครให้มากกว่านี้ อย่ารีรอที่จะประมูลทาสพระเอกคนนี้ไป”
เสียงประกาศนั้นทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องล่างต่างแข่งขันกันประมูลกันยกใหญ่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจนทำให้ทั้งงานเกิดความเงียบในฉับพลัน
“ยี่สิบล้านบาท”
ทุกสายตาหันมาทางต้นเสียงที่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันและเห็นว่าเป็นแมนสรวงนั่นเองที่เป็นคนให้ราคาประมูลที่สูงลิบนั้นเสี่ยสมศักดิ์ที่หมายมั่นปั้นมือที่จะประมูลพระเอกดังไปเพื่อเอาคืนลูกและเมียถึงกับหัวเสียเพราะคิดว่าคงไม่มีทางเอาเงินก้อนโตขนาดนั้นเข้าแลกกับความสุขแค่หกชั่วโมงเป็นแน่ขณะที่ผู้ร่วมประมูลคนอื่น ๆ ก็ไม่กล้าประมูลเพราะทั้งตัวเลขราคาประมูลที่สูงจนเกินจ่ายยังรวมถึงไม่อยากจะคานอำนาจกับแมนสรวงด้วย
แล้วในที่สุดแมนสรวงก็ชนะการประมูลและพระเอกคนดังก็ค่อย ๆ เดินเปลือยเปล่าลงจากเวทีตรงไปหาแมนสรวงที่ยืนรออยู่ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินคลอดคลียออกจากห้องนั้นไปด้วยกัน
หลังจากนั้นการประมูลจึงกลับมาเริ่มใหม่ที่ตัวหมวดพฤกษ์ที่แม้จะผ่านสมรภูมิศึกจากการประมูลครั้งแรกมาอย่างโชกโชน แต่ก็ยังมีคนให้ความสนจอยากจะเล่นสนุกกับนายตำรวจหนุ่มและเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เห็นวันนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่านายตำรวจหนุ่มจะชำรุดสึกหรอที่ตรงไหน การประมูลจึงยังคงเป็นไปอย่างดุเดือดจนในที่สุดเป็นพ่อเลี้ยงอินทร์คำที่ชนะการประมูลครั้งนี้ไป
ภาติยะยืนมองเพื่อนรุ่นน้องด้วยความรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ในตอนนี้แต่จณะนั้นเอง อยู่ ๆ สายตาของหมวดพฤกษ์ก็หันมาสบตานายตำรวจรุ่นพี่โดยบังเอิญแล้วเพียงแวบเดียวเท่านั้นหมวดพฤกษ์ก็จำสายตาที่ลอดผ่านหน้ากากดำนั้นได้ทันทีภาติยะเห็นริมฝีปากของหนุ่มรุ่นน้องเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบาแววตาของหมวดพฤกษ์ฉายความกลัวออกมาให้เห็น แต่กลับส่ายหน้าให้ภาติยะช้า ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะมีโอกาสสื่อสารกันให้เข้าใจหมวดพฤกษ์ก็ถูกคนของพ่อเลี้ยงคำอินทร์ลากลงหลังเวทีไปอย่างรวดเร็ว
ผู้กองภาติยะมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเจ็บปวดใจแต่ขณะที่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับสิ่งที่เกิด อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาอุดที่จมูกของเขาจนหายใจไม่ออกเขาพยายามดิ้นรนผลักไสมือนั้น แล้วพยายามหาทางสูดลม
หายใจเข้าไปแต่สิ่งที่เขาสูดดมเข้าไปด้วยนั้นกลับทำให้สติของนายตำรวจหนุ่มก็ดับวูบลงไปด้วย
|