แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย mon-mon เมื่อ 2021-6-6 08:48
ผมงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นผมหลับอยู่ในอ้อมกอดพี่โต้งทั้งคืนแม้ตอนนี้ผมตื่นขึ้นแกก็ยังกอดผมไว้ผมเลื่อนมือพี่โต้งออกหวังจะลุกขึ้น เช้าแล้วต้องรีบกลับบ้าน แต่ใจไม่อยากไปไหนเลยอยากนอนอยู่อย่างนี้ร่ำไป ไม่ได้สิเดี๋ยวใครมาเห็นใจหนึ่งผมค้านใครที่ว่าก็คืออ๊อฟนั่นเอง ผมกลัวยิ่งนักเมื่อนึกเห็นหน้าเขาขึ้นมาผมกำลังจะเหยียดกายขึ้นแต่พี่โต้งก็รั้งผมไว้
"อย่าเพิ่งลุกเลยให้พี่โต้งนอนกอดนานๆ หน่อย"
แกพูดทั้งที่ยังไม่ลืมตา
"เช้าแล้วครับ เต้ต้องรีบกลับบ้าน"
"น่า น๊ะ นอนต่อเถอะนะครับ"
แกลืมตาขึ้นมองผมพูดเสียงอ้อนผมแพ้อีกแล้ว เสียงอ้อนหวานๆ มีเสน่ห์ของพี่โต้งทำให้ผมไม่อาจจะขืนแกได้ ผมจึงได้แต่ทอดตัวลงนอนตามเดิม แกรั้งผมเข้าแนนชิดก่อนจะจูบที่แก้มผม
"เดี๋ยวบ่ายๆ พี่โต้งจะไปส่งนะ ตอนนี้ให้พี่โต้งนอนกอดให้ชื่นใจก่อน"
ในที่สุดผมก็หลับอยู่ในอ้อมกอดแกอีกครา...แต่ไม่นานนักผมสะดุ้งเฮือกจากหลับอันเป็นสุขเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูปังๆ เสียงดังหัวใจผมวาบสั่นเต้นโครมๆ นั่นไงสิ่งที่ผมกลัว มันใกล้คืบคลานมาถึงแล้ว
"พี่โต้ง ๆ"
เสียงอ๊อฟเรียก พลางเคาะประตูปังๆ เสียงดังผมนอนนิ่งเงียบ ใจกระวนกระวายเหลือกำลัง ฟังเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นๆ เรื่อยๆจนในที่สุดพี่โต้งก็รู้สึกตัวงัวเงียลงจากเตียงแล้วก้มหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาพันรอบเอวปกปิดกายที่เปลือยเปล่ามาทั้งคืนก่อนจะเดินไปเปิดประตูออกเพียงเล็กน้อยแล้วใช้ตัวบังช่องนั้นไว้ผมได้แต่จดจ่อฟังการสนทนาของคนสองคน
"อะไรเล่าอ๊อฟ มาเคาะอะไร พี่นอนอยู่นะ"
แกพูดเสียงเหนื่อยๆ ทำเหมือนไม่ชอบใจ
"พี่โต้งเห็นเต้ไหม? เมื่อคืนนี้..."
อ๊อฟจบประโยคกลางคัน แล้วพี่โต้งเสริมต่อ
"เมามาก เอ็งนี่มันแย่จริงๆปล่อยให้เพื่อนเมาอยู่ข้างนอก ตัวเองดันมาหลับสบายในบ้าน"
"แล้วเต้ละพี่" "พี่ไปส่งแล้วเมื่อคืน รู้มั้ยพี่ต้องโดนแม่เต้ด่ามาเนี่ยทำไมถึงให้ลูกเขากินเหล้ากินเบียร์ แล้วอย่างเนี่ยเอ็งจะมองหน้าแม่เขาติดเหรอเอาลูกเขามาเมามายอย่างนี้"
ตายละเราอยู่ในห้องนี้แท้ๆ พี่โต้งพูดไปได้แม่ผมไม่ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย
"ก็นิดหน่อยเอง"
"ไม่หน่อยเลย พี่โดนแม่เต้ด่าก็ความผิดเอ็ง พี่ต้องคาดโทษแกไว้จะไม่บอกพ่อเออ...แล้วพ่อกับแม่มายังวะ"
"ยังเลยพี่ถ้ามาผมก็แย่นะสิยังไม่ได้อาบน้ำชำระตัวเลย กลิ่นยังติดอยู่เลย งั้นผมไปอาบน้ำนอนต่อดีกว่า ขอบใจนะที่ไปส่งเต้ให้ผม"
อ๊อฟขอบคุณพี่ชายแล้วก็ถอยร่นไป
"เออ...ไม่ต้องมาปลุกอีกนะจะนอน"
พี่โต้งพูดจบปิดประตูลงล็อกแล้วหันมายิ้มหวานให้ผมก่อนจะเดินมามานอนทับตัวผมแล้วพลิกตัวลงข้างๆ สบายอารมณ์
"พี่โต้งโกหกลื่นจัง"
ผมหันหน้าเข้าหาแก แล้วพูดออกมาด้วยความโล่งใจที่สิ่งที่ผมคาดคิดว่ามันจะเกิดผ่านไปด้วยดี
"เอ้า !แล้วจะให้พี่โต้งบอกว่าเต้นอนอยู่กับพี่หรือไง"
ผมเห็นแกพูดแบบนั้นจึงอึกอักพูดไม่ออกได้แต่หลุบตาหนีหน้าแก
"พี่โต้งรู้ว่าเต้กับออฟคบกันอยู่พี่โต้งดูออกน่า"
"พี่โต้งรู้..."
ผมคราง
"ครับ ถ้าพี่โต้งบอกว่าเต้นอนอยู่กับพี่อ๊อฟมันก็เอาพี่ตายนะสิยิ่งเอาแต่ใจอยู่ไอ้นี่"
"พี่รู้...แล้วทำไมถึง..."
"ก็ พี่โต้งชอบเต้หนิครับ เดินผ่านกันที่โรงเรียนก็บ่อย พี่ยิ้มให้ก็ไม่ยิ้มตอบ"
ให้ตายสิทำไมผมไม่เคยเห็นเลย หรือผมไม่ใส่ใจเองคงเพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบสู้หน้าใครเวลาเดินจะชอบชายตาต่ำๆ มองที่พื้นมากกว่า แต่ไม่ใช่ก้มศีรษะนะเป็นเพียงการมองลงพื้นในระยะ 45 องศามากกว่า
"นอนต่อเถอะครับ บ่ายๆค่อยตื่นกัน แล้วเรื่องเราสองคนพี่จะบอกอ๊อฟเอง แต่ต้องคิดก่อนว่าจะบอกยังไง อ๊อฟยิ่งเป็นคนขี้น้อยใจอยู่ บอกตรงๆไป เดี่ยวทำอะไรบ้าๆ เข้า"
"พี่โต้ง..."
"ครับ"
"เต้ว่าเต้บอกเองน่าจะดีกว่า"
"เอา งั้นก็ได้ครับ นอนเถอะ"
พูดจบแกรั้งผมเข้าไปกอด ลูบศีรษะผมเล่นไปมาและในที่สุดแกก็หลับไปปล่อยให้ผมใช้ความคิดว่าจะบอกยังไงดี จนในที่สุดผมก็ตกลงกับตัวเองได้ว่าไม่บอกเห็นจะดีกว่า ทำไมนะเหรอ คงเพราะผมก็ยังชอบออฟอยู่ไม่อยากจะเสียเขาไปทั้งที่เพิ่งคบกันได้ไม่นานแบบนี้ ตราบใดที่ผมจะเก็บความลับไว้ได้นานเท่าใดตราบนั้นผมก็จะปล่อยเหตุการณ์ให้ดำเนินไปตามปรกติของมันให้ผมเลือกตอนนี้ไม่ได้หรอกว่าจะอยู่กับใครพี่โต้งหรืออ๊อฟ ในที่สุดผมก็หลับตามพี่โต้งไป...
14.23 นาฬิกา เวลาจากเรือนนาฬิกาที่แขวนอยู่ติดผนังห้องบอกเวลาเมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยการปลุกของพี่โต้งแกจูบลงที่หน้าผากผมแล้วบอกให้ไปอาบน้ำกันผมบอกให้แกไปอาบก่อนแล้วผมจะอาบทีหลัง แต่แกไม่ยอมบอกให้ไปอาบพร้อมกันผมขัดขืนแต่ก็ไร้ผลเมื่อแกช้อนอุ้มกายผมที่เปลือยเปล่าขึ้นตรงดิ่งเข้าไปในห้องน้ำแล้วค่อยๆ วางผมลงยืน แกเปิดฝักบัวปล่อยน้ำออกมาอาบกายเราทั้งสองคน น้ำเย็นๆไหลอาบกายลงไปถึงร่องตูดผม มันรู้สึกแสบๆ เมื่อโดนน้ำ ยิ่งขมิบก็ยิ่งแสบ
"โอ้ย...แสบ"
ผมผลั้งปาก
"ครั้งแรกก็แบบนี้ละครับ"
แกพูดออกมา
"พี่โต้งรู้ดีจัง เหมือน..."
ผมไม่อยากจะพูดต่อเลยว่าผมไม่ใช่คนแรกของแกแต่ก็คงจะเช่นนั้นเพราะบทรักอันเร่าร้อนเมื่อคืนนี้ก็คงจะบอกผมได้เป็นอย่างดีว่าแกช่องชำนาญเพียงใด
"พี่สารภาพนะว่าเต้ไม่ใช่คนแรกของพี่โต้ง"
นั่นไงละดังที่ผมคาดไว้ไม่ผิด พี่โต้งเอื้อมมือมาตะปบที่ก้นผมแล้วขยำ
"อย่าสิพี่โต้ง...เต้แสบนะ"
ผมปัดมือแก
"ต้องให้พี่เอาบ่อยๆ แล้วจะหาย มา...ว่าแล้วก็เอาตอนนี้เลยละกัน"
"พี่โต้งก็..."
ผมพูดไม่จบแกก็ประกบปากลงมาบดจูบขยี้ปากผมเร่าร้อน หัวใจผมเริ่มเต้นระส่ำเผยอปากรับสัมผัสนั้น กายผมดังจะหมดเรี่ยวแรงระทวยลงไปตรงนั้นกับบทสวาทที่เร่าร้อนผมครางในลำคอ สองมือโอบคอแกไว้มั่น ยื้อตัวขึ้นยืนด้วยปลายเท้ารั้งตัวให้แบบชิดกันพี่โต้งรั้งตัวผมรัดแน่นก่อนจะเลื่อนไล้ปากลงมาซุกซอนที่ต้นคอไล้ลงไปขบกัดนมผมสุดปรารถนาที่ผมชอบยิ่งนักผมครางแข่งกับสายน้ำที่สาดซัดออกมาจากฝักบัว แกจับผมหันหลังบอกให้ก้มตัวกางขางออกแล้วแกก็ค่อยๆ ยัดควยที่แข็งใหญ่เข้ามาในรูตูดผม อาว์...เริ่มแล้วปรารถนาที่เฝ้ารอพี่โต้งสาดซัดบทกามเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงครางของผมระงมแข่งกับเสียงน้ำซู่ซ่าเนิ่นนานที่กามสวาทก่อตัวแผดเผาเราภายในห้องน้ำเล็กๆ นั้น ความรุ่มร้อนที่แม้สายน้ำก็ไม่อาจจะดับมันลงได้ห้องน้ำเล็กๆ บัดนี้ได้กลายเป็นที่เริงสวาทใคร่ของเราสองคนอาว์....ความสุขที่ปรารถนาไม่อยากจะให้จบสิ้นลงแม้แต่วินาทีเดียว...
********************************************
หลังจากที่เราอาบน้ำเสร็จก็ออกจากห้องพี่โต้งเดินโอบไหล่ผมลงมา ผมรู้สึกอายยิ่งนักเมื่อลงมาเห็นแม่พี่โต้งนั่งมองอยู่ผมก็แต่ยิ้มเฝื่อนรับเมื่อแม่พี่โต้งยิ้มมา
"หิวจังเลย...แม่มีอะไรกินป๊ะ"
พี่โต้งพูดกับแม่ เมื่อได้คำตอบว่าไม่มีอะไรเลยก็ด้วยความที่เมื่อคืนนี้พ่อกับแม่พี่โต้งไปนอนที่บ้านยายกันผมยกมือไหว้ลาแม่พี่โต้งก่อนออกไปด้วยกันกับพี่โต้งทีแรกนึกว่าพี่โต้งจะพาผมกลับบ้านเสียทีเดียวแต่นี้แกกลับเลี้ยวรถไปทางตัวอำเภอเข้าตลาดไปซื้อของกันมีอยู่ร้านหนึ่งที่ผมอายสุดๆ คือไปซื้อกางเกงในแกถามขึ้นมาโดยไม่สนคนขายเลยว่าผมใส่ยี่ห้ออะไร ผมกระตุกกระตักตอบพี่โต้งมองหน้าคนขายที่ยิ้มให้ผมเมื่อพี่โต้งหยิบขนาดที่ผมใส่อันนี้พี่แกไม่ถามสงสัยจะรู้เมื่อคืนนี้ว่า sizeไหน ผมรีบพาพี่โต้งเดินออกมาจากนั้นโดยเร็วจากนั้นเราก็ไปหาข้าวกินกัน กว่าจะกลับถึงบ้านก็ 6 โมงเย็นเกือบจะค่ำแกอยู่คุยกับพ่อแม่ผมนานจนล่วงเวลาทานข้าวเย็นแกก็อยู่ทานด้วย กว่าแกจะลาพ่อกับแม่ผมกลับไปก็3 ทุ่มได้ ผมเดินออกมาส่งแกที่หน้าบ้านมองแกขับรถออกไปจนสุดสายตาแล้วหันตัวจะเดินเข้าบ้านแต่ก็ต้องหยุดเท้าลงเมื่อมีเสียงเรียกชื่อผมมาด้าน หลัง
"ไงเต้...กลับซะค่ำเลยนะ"
เสียงตุ้งเพื่อนผมทักมา ผมแปลกใจทำไมมันมาดึกๆ แต่ก็ดีใจที่เห็นมัน ผมมีเรื่องจะพูดกับมันเยอะแยะเลยและก็อยากจะขอโทษเรื่องเมื่อวานที่ผมไม่ไปน้ำตกกับมัน
"เอ้า...มาทำไมดึกๆ ตุ้ง"
"ก็มาดูคุณนั่นแหละครับ มาไม่ได้เหรอไง งั้นผมกลับก็ได้"
มันหันหลังกลับ ผมรีบทักไว้
"น้อยใจไปได้"
"มันน่าน้อยใจมั้ยละเห็นแฟนดีกว่าเพื่อน"
"เออ...ผมขอโทษคุณละกัน"
ผมแกล้งพูดสำนวนของตุ้ง
"คืนนี้มานอนกับกูนะมีเรื่องจะคุยด้วย"
"ทีงี้ละเห็นหัวเลยนะ"
"แล้วจะนอนมั้ยละ"
ผมย้ำ
"ก็ได้ งั้นผมไปบอกพ่อก่อนเอางี้แล้วกันคุณไปกับผมด้วยแล้วกัน"
ไม่พูดเปล่าตุ้งฉุดมือผมตามไปขึ้นขี่รถมอ'ไซต์ออกไปซึ่งผมไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะไม่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เลยเมื่อกี้หรือมันมานานแล้วแต่ไม่เข้าบ้าน
ผม ขึ้นบ้านเข้าห้องนอนไปพร้อมกับตุ้งหลังจากที่กลับจากบ้านมันแล้วผมเปิดไฟในห้องแล้วทิ้งตัวลบบนเตียงแล้วถอนหายใจแรงๆ ทอดยาว เฮ้อ....ตุ้งเดินมานั่งบนเตียงข้างๆ ผม มันจ้องมองผมตาไม่กระพริบจนผมท้วงมันว่าจะมองอะไรนักหนา อยู่ดีๆ มันก็ก้มหน้าลงมาแทบชิดหน้าผมจนผมท้วงว่าจะทำอะไร แต่มันก็บอกให้ผมอยู่เลยๆ มันเอามือเปิดคอเสื้อเชิ้ตผม (เสื้อพี่โต้ง ซึ่งทั้งกางเกงก็ของพี่แกส่วนเสื้อผ้าผมทุกชิ้นทิ้งอยู่ในห้องแก) แล้วมันก็อุทานออกมา ทำเสียผมตกใจ
"อะไรตุ้ง"
ผมเด้งตัวลุกขึ้น
"ทำอะไรมาละ ก็ดูเอาเองสิ"
ตุ้งบุ้ยหน้าไปทางกระจกตรงตู้เสื้อผ้าผมรีบลุกเดินไปดูผลี่คอเสื้อเปิดดูก็เห็นรอยจ้ำๆ สีคล้ำ มันทำให้ผมตกใจผมคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ตายแล้วสิ บทรักสวาทพี่โต้งมันติดตัวผมมาด้วยผมรีบแกะกระดุมเสื้อออกเปิดอกก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรอยจ้ำๆอีกหลายที่แถบหัวนมทั้งสองข้าง ผมเดินมาทางตุ้งนั่งลงข้างๆ แล้วบอกให้ดู
"จะทำไงดีละ เพื่อนที่โรงเรียนเห็นคงล้อแน่เลย"
"ก็ทำตัวเอง"
มันตอกย้ำการกระทำของผมด้วยคำพูดเนิบๆ
"ไอ้บ้า ไม่คิดจะช่วยกันเลยหรือไง"
ผมค้อนมันแล้วพูดต่อ
"ที่อกไม่เท่าไรหรอกเสื้อนักเรียนมันปิดแต่ที่คอนี่สิ ทำไงดีวะตุ้งช่วยกูหน่อยสิ กูไม่อยากให้ใครเห็นโดยเฉพาะ..."
ผมหยุดไม่กล่าวต่อ
"พ่อกับแม่คุณนะเหรอ"
"ก็ใช่แต่อีกคนนะ..., อ๊อฟนะ"
ผมตอบเสียงแผ่วเบา
"ห๊าาา"
ตุ้งอุทาน เบิกตาทำหนาตกใจ งวยงงสงสัยมันคิดว่ารอยรักนี่เป็นของอ๊อฟที่ฝากไว้ให้ผม แต่มันใช่ซะที่ไหนละ
"ทำไมคุณต้องกลัว ก็คุณกับมัน..."
มันไม่พูดคำต่อไปสงสัยจะระคายปาก
"ก็นี่แหละที่กูให้คุณมานอนด้วยกูจะเล่าให้คุณฟัง"
แล้วผมก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้มันฟังผมสังเกตดูสีหน้ามันที่ทำหน้าเหลือเชื่อ คงไม่คาดคิดว่าผมจะง่ายเสียขนาดนี้ให้ตายสิ...จะทำได้ไงละก็พี่โต้งมีเสน่ห์ออก ขนาดนั้น
"กูคิดว่าจะยังไม่บอกอ๊อฟหรอกก็ยังชอบเขาอยู่นะถึงจะมีอะไรกับพี่โต้งแล้วก็เถอะ"
"แล้วคุณชอบพี่โต้งมั้ย?"
"ชอบสิ"
ผมตอบฉับพลัน
"เออ..งั้นแล้วแต่คุณจะทำยังไง"
มันสรุปจบ แล้วเอนตัวลงบนเตียงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
"อือ...เรื่องนั้นไว้ก่อนแต่เรื่องรอยที่คอกูนี่สิจะทำไง"
"เออๆเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปซื้อพาสเตอร์แก้ปวดมาให้ คุณก็ทำเป็นติดที่ขมับอันทำเป็นปวดหัว อีกอันก็ปิดคอกลับรอยก็เสร็จแล้ว"
"เออ...ความคิดดี ขอบใจคุณวะตุ้ง"
"ช่างมันเถอะ ตอนนี้นอนเถอะกูง่วง"
มันตัดบทแล้วดันตัวขึ้นไปให้หัวถึงหมอนแล้วหลับตาลงสนิท ผมลุกไปปิดไฟด้วยความโล่งใจที่มีวิธีแก้ปัญหา แล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ตุ้งผมนอนคิดถึงพี่โต้งกระวนกระวาย ยิ่งคิดก็ยิ่งรุ่มร้อนใจคิดถึงบทสวาทที่แกมอบให้ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ดิ้นกระสับกระส่วยไปมามองดูตุ้งก็หลับนิ่งไปนานแล้วผมจึงพยายามข่มตาหลับเมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วในขณะที่ผมกำลังเคลิ้มหลับนั้น ตุ้งอยู่ดีๆ ก็พาดมือมากอดผม ผมมองไปทางมันแสงจันทร์ที่ลอดผ่านมาทางหน้าต่างกระทบตรงหน้าตุ้งลางๆ ทำให้ผมเห็นว่ามีน้ำไหลลื่นออกจากดวงตามันสองข้าง แล้วมันก็กอดผมแน่นขึ้นๆจนผมตกใจ ผมเรียกชื่อตุ้งเบาๆ เพื่อให้รู้สึกตัวแต่ก็ไม่มีผลอะไรจนต้องเขย่าตัวมันแรงๆ พลางตบไปที่ต้นแขนมัน
"ตุ้ง...ตื่นๆ เป็นอะไรไป"
ตุ้งดึงมือจากตัวผมกลับไปรวดเร็ว แล้วลุกขึ้น นั่งเอามือปาดน้ำตาทิ้งไป
"ร้องไห้ทำไมตุ้ง เป็นอะไรเปล่า"
ผมถามด้วยความห่วงใยเพื่อน ค่อย ๆกลับสติให้ใจสงบจากอาการตกใจเมื่อกี้
"ฝันร้ายนะ"
ตุ้งเอ่ยออกมา
"ฝันอะไรจนต้องร้องไห้ กูกลัวเลยเมื่อกี้ตกใจหมด"
"อือไม่มีอะไรหรอก ฝันว่ามีคนมาแย่งเอาของรักไปนะ"
"สงสัยของสิ่งนี้จะรักมากละสิถึงได้ร้องไห้ออกมาด้วย"
"ก็คงงั้น"
ตุ้งตอบสั้นๆ
"เล่าให้ฟังหน่อยสิ"
ผมรบเร้าให้ตุ้งเล่าความฝันให้ฟัง ทั้งที่จริงก็อยากรู้นั่นแหละว่าของรักนะคืออะไรแต่ตุ้งก็ปฏิเสธบอกให้นอนต่อ ตุ้งเอนตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้ผมค่อยถามพรุ่งนี้ก็ได้ ผมคิดแล้วจึงหลับตานอนตามไปอีกคน...
เวลาล่วงมาสองปี ผมขึ้น ม. 2 ตอนนี้ก็ช่วงเทอม2 ฤดูหนาวของเดือนตุลาคม ช่วงพักเที่ยงของวันฟฤหัสฯผมนั่งเล่นคุยกันอยู่กับอ๊อฟกลับตุ้งต่างๆ นาๆ ส่วนมากผมกับอ๊อฟจะคุยกันมากกว่าส่วนตุ้งจะนั่งฟังมากกว่า บ่อยครั้งที่ตุ้งจะเดินหนีออกไปแต่ผมก็อ้อนวอนด้วยสายตาให้ตุ้งอยู่ด้วยไม่รู้สิผมไม่อยากให้ตุ้งไปไหนอยากให้อยู่เป็นเพื่อนผมตรงนี้มากกว่า ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็นกอ ขอ คอ อะไรเหมือนคู่รักอื่นๆ เขา ผมอยากให้ตุ้งอยู่กับผมรับฟังเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับผม ช่วงหลังๆ มานี่ตุ้งจะเงียบๆ ถึงจะอยู่กับผมสองคนก็ไม่ค่อยคุยเหมือนดังเก่าผมถามว่าเป็นอะไรมั้ย ก็ปฏิเสธไม่เป็นอะไร สักพักพี่โต้งก็เดินมานั่งสมทบซึ่งจากคืนนั้นมาเวลาอยู่ที่โรงเรียนแกก็จะหาเวลามาคุยกับผมบ่อยๆหรือช่วงไหนคาบเรียนอิสระของผมพี่แกก็จะโดดเรียนคาบของแกหลบเข้าห้องสมุดไปนั่งคุยกับผม วันนี้แกใส่ชุด รด.รัดกายแน่นเผยให้เห็นอกกำยำ ต้นขาที่รัดแน่นชวนให้หลงไหล ดูมีเสน่ห์ยิ่งนักส่วนพวกผม อ๊อฟ และตุ้งก็อยู่ในชุดลูกเสือ ซึ่งผมรู้สึกอึดอัดเหลือเกินกับชุดนี้ให้ตายสิไม่ชอบใส่เลย แกกลบเกลื่อนความจริงระหว่างผมกับแกได้เนียนมากอ๊อฟไม่รู้สึกเอ่ะใจอะไรเลย มีแต่ตุ้งเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้เรานั่งคุยกันจนเสียงออดดังเป็นสัญญาณขึ้นเรียน จึงต่างแยกย้ายกันไปผมรอเวลานึดนึงให้อ๊อฟเดินขึ้นไปก่อน แน่ละตุ้งเป็นคนพาเขาไปด้วยความที่รู้ว่าผมต้องมีอะไรคุยกับพี่โต้งต่อ
"เต้...วันนี้พี่โต้งไปส่งที่บ้านนะครับ"
"ครับ... ผมรอหน้าโรงเรียนประตูทางเข้านะ"
ผมตอบรับแล้วบอกสถานที่รอ พี่โต้งขับรถไปส่งผมบ่อยๆหลังจากคืนนั้นมา ส่วนอ๊อฟนะเหรอหลังจากวันที่พี่โต้งพูดดักไว้ว่าโดนแม่ด่าเรื่องพาผมไปเมาก็ไม่กล้าไปส่งผมที่บ้านอีกเลย ช่างเป็นแผนที่แยบยลเสียจริงบางทีพี่โต้งก็จะถือโอกาสนอนที่บ้านผมด้วยบางครั้งที่มาส่งผมซึ่งแม่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร จนพี่โต้งสนิทกับพ่อกับแม่ผมแล้ว เหตุที่ค้างนั่นนะเหรอหึๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องรักบทสวาทใคร่ที่พี่แกต้องการไม่ต่างจากผม เรื่องของผมกับพี่โต้งผมไม่รู้ว่าแม่กับพ่อผมรู้หรือเปล่าแต่เวลาที่แกมาที่บ้านผม พ่อกับแม่ผมชอบพูดเสมอว่า อย่าทิ้งน้องนะรักกันนานๆ ผมก็แปลกใจว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้นพี่โต้งก็ตอบรับให้คำมั่นสัญญาเป็นอย่างดี ผมมารู้ทีหลังว่าแม่ผมมาเห็นผมกับพี่โต้งกำลังระเริงรักกันอยู่ (ลืมล็อกประตูห้องนอน)ตอนแรกแม่แกเสียใจร้องให้ จนไปปรึกษากับพ่อเรื่องของผม โชคช่างเข้าข้างผมเสียจริงเมื่อผู้เป็นหัวเรือใหญ่อย่างพ่อผมรับสภาพนี้ได้แต่แกก็ทำใจอยู่นานเหมือนกัน...
ผมยืนรอพี่โต้งที่หน้าประตูโรงเรียน ด้านเข้า รถวิ่งมาจอดตรงหน้าผมแต่รถคันนี้เป็นของตุ้ง มันบอกให้ผมขึ้นรถ แต่ผมก็ปฏิเสธไป บอกว่าพี่โต้งจะไปส่งแต่ตุ้งก็ขอร้องอ้อนวอนให้ผมไปด้วยให้ได้
"เออ...ก็ได้ งั้นรอบอกพี่โต้งก่อนแล้วกัน"
ผมตอบรับแต่ก็ยังยืนรอพี่โต้งต่อไปตุ้งเลี้ยวรถกลับเข้าไปในโรงเรียนสักพักก็กลับออกมาแล้วบอกผมว่า พี่โต้งรู้แล้วผมจึงยินยอมขึ้นรถไปกับตุ้ง ตุ้งออกตัวรถแรงมากและขับไปเร็วเหมือนคลั่งอะไรมาจนผมต้องเอามือกอดเอวตุ้งไว้ รถมาจอดที่หน้าบ้านผมผมลงจากรถแล้วตะคอกใส่หน้าตุ้งด้วยความโกรธ
"เป็นบ้าอะไรวะขับรถอย่างนี้"
แล้วเดินเข้าบ้านไปตุ้งเดินตามผมมาเข้าไปในห้องนอน ตุ้งปิดล็อกลูกบิดประตูแล้วยืนพิงประตูผมโยนกระเป๋าไปบนเตียงนอน แล้วปล่อยตัวเองตามลงไป รู้สึกหงุดหงิดและโกรธตุ้งด้วยที่ทำอย่างนี้ผมพลิกตัวนอนหงายหน้าขึ้นมองดูตุ้งที่ยืนพิงประตูอย่างด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
"มีอะไรก็พูดมาสิ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
"ผมขอโทษที่ทำให้โกรธ แต่ผมอยากจะคุยกับคุณให้รู้เรื่องวันนี้เลยผมอึดอัดมานานแล้ว"
"ก็ว่ามาสิ"
ตุ้งนิ่งอยู่นานก่อนจะเดินมาแล้วโน้มตัวลงมาทับตัวผมสองมือตุ้งกดทับข้อมือผมไว้ทั้งสองข้างตุ้งมองตาผมอยู่นานแล้วก้มหน้าลงมาใกล้เรื่อยๆจนลมหายใจอุ่นๆ ของตุ้งสัมผัสเข้าที่หน้าผม ตุ้งประกบปากลงมาจูบเบาๆที่ริมฝีปากผมแล้วเงยหน้าขึ้นมองตาผม ตุ้งเห็นผมนิ่งไม่ขัดขืนจึงก้มลงจูบอีกครั้งคราวนี้เนิ่นนานหนักหน่วง ใจผมเต้นเร่าๆ เผยอปากรับสัมผัสนั้นอย่างไม่อิดเอียนแปลกเหลือเกินทำไมผมไม่ขัดขืนการกระทำของตุ้งเลยใจผมมันกลับยินยอมให้ตุ้งกระทำได้ชอบใจ ตุ้งตวัดลิ้นแยงเข้ามาในปากผมดูดซับไออุ่นนั้น
"ตุ้งรักเต้นะ...รักมานานแล้ว"
ตุ้งกระซิบแผ่วที่ข้างหูผมก่อนระเรงจูบซุกไซ้ไปตามลำคอผม มือเขาค่อยๆปลดกระตุมเสื้อลูกเสือผมออกแล้วลากจูบลงไปพรมบนหัวนมผม อาว์...ช่างดีเหลือเกินผมแอ่นอกขึ้นสนองรับสัมผัสจูบนั้นตุ้งลากลิ้นวนเวียนตรงปลายหัวถันแล้วเลื่อนต่ำลงไปจูบสัมผัสตรงสะดือผมมือเขาแกะเข็มขัดออกแล้วรั้งกางเกงผมออกไปจากกายผมเขาเลื่อนปากต่ำลงไปใช้ลิ้นระเริงเล่นตรงดงหมอยจนมันเปียกชุ่มแล้วลากต่ำไปดูดอมพวงไข่ มือรูดควยผมจนมันแข็งตัวตื่นเต็มที่ อาว์...แบบนั้นละตุ้ง...ผมยกขากางออกเมื่อตุ้งลากลิ้นแยงตวัดตรงรูก้นผม
"อืม...."
ผมครางตุ้งตวัดลิ้นวนเลียร่องตูดผม สูดดมเสียงดังยิ่งทำให้ใจผมเร่าร้อนกระสันอยากเป็นทวีตุ้งปลดเข็มขัดแล้วดึงกางเกงตัวเองลงกองที่พื้นแล้วจับควยตัวเองมาจ่อที่รูตูดผมแล้วค่อยๆ ยัดเข้าไป ช้าๆ ช้าๆ จนสุดโคนเสียงครางของตุ้งที่เล็ดลอดออกจากปากที่ขบเม้ม ผมพยายามขยับก้นบอกให้รู้ว่า ทำสักทีเถอะต้องการมากแล้ว ตุ้งค่อยๆ เริ่มจังหวะกระเด้าเหมือนพึ่งฝึกงานแล้วค่อยๆเข้าที่รู้จังหวะ ตุ้งกระเด้าสอยเข้ามาถี่ๆ ร้องเสียงครางดังกว่าผมเสียอีกตุ้งก้มตัวลงมาจูบผม บั้นท้ายก็ส่งแรงกระเด้าปับๆ เข้ามาตลอด ผมครางอือๆออกจากปากที่ประกบแลกลิ้นกันพัลวันนั้น สองมือโอบกอดแผ่นหลังตุ้งไว้มั่นแล้วเลื่อนมันไปขยำก้นตุ้งบีบแน่นตามจังหวะกระเด้านั้น ตุ้งเลื่อนปากลงมาขบกัดที่หัวผมดูดด่ำ ตวัดลิ้นวนเลียรอบถันนั้นเขากระเด้าถี่ขึ้นปับๆ เร็วขึ้น ก่อนที่ควยเขาจะกระตุกฉีดน้ำเข้าไปในรูตูดผมเขากัดหัวนมผมแน่นจนผมรู้สึกเจ็บ ต้องแผ่นอกขึ้นรับสนองสัมผัสนั้นผมรูดควยตัวเองตามสักพักน้ำควยผมก็ฉีดพุ่งเปรอะตามเสื้อลูกเสียสีกากีเข้มของตุ้งนั้น
ตุ้งครางซีส ๆ หอบหายใจแรงๆแล้วฟุบหน้าลงบนอกผม รำพันว่ารักผม รักเต้ รักมาตลอด ...ผมรู้สึกว่าอกผมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของตุ้ง เขาร้องไห้ หรือนี่ เมื่อไฟกามดับมอดลงทุกอย่างกลับคืนสู่ปรกติสภาพ ผมจับตุ้งพลิกออกจากตัวผมให้นอนข้างๆ
"เต้...ตุ้งรักเต้นะเราทนมานานกับความเจ็บปวดเมื่อเห็นตุ้งอยู่กับคนอื่น มันเจ็บมาก เจ็บที่ใจจนตุ้งไม่อาจจะทนได้อีกต่อไปแล้วตุ้งขอโทษนะที่ทำกับเต้แบบนี้ แต่ตุ้งห้ามใจตัวเองไม่ไหว มันอัดอั้นมานาน เต้...ตุ้งรักเต้นะ รักมากด้วย จนไม่อยากจะเสียเต้ไปให้ใคร"
ตุ้งพูดยาวเหยียดบรรยายความรู้สึกตัวเองที่มีต่อผม เขาร้องไห้ไม่หยุดเอื้อมมือมากอดผมแล้วซุกหน้าร้องไห้
"เต้รักเราได้ไหม?"
"ตุ้ง...เราเป็นเพื่อนกันนะ"
ในที่สุดผมก็พูดออกมาหลังปล่อยให้ตุ้งพูดอยู่นาน
"แต่ตุ้งไม่อยากเป็นเพื่อนแล้ว ตุ้งรักเต้มากกว่าเพื่อนนะ รักแบบคนรัก"
"เราเป็นแบบนั้นกันไม่ได้หรอก"
"แล้วเมื่อกี้เต้ทำไมยอมให้ตุ้งเอาละหรือก็แค่แก้ความอยาก..."
ผมไม่รอให้ตุ้งพูดพบผมดีดตัวขึ้นนั่ง มองตุ้งด้วยความโกรธ ทำไมถึงพูดอย่างนี้นะ แก้อยาก งั้นหรือ
"ใช่ ก็แค่ก็อยาก กลับไปเลยนะไม่ต้องมาคบกันอีก อย่ามาเรียกเราว่าเพื่อนอีก"
ผมพลั้งปากพูดด้วยความโกรธ
"เต้..."
"ไปสิ...ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกทำเป็นไม่รู้จักกันเลยยิ่งดี"
"ตุ้งขอโทษ"
ตุ้งเอ่ยเสียงสลด
"ไม่ ต้องมาขอโทษ เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้ว นับแต่นี้ไปเราไม่รู้จักกัน"
ตุ้งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาไม่หยุดตุ้งโผเข้าสวมกอดผมแน่นซบหน้าที่เอ่อด้วยน้ำตาลงบนอกผม พร่ำพูดขอโทษที่พูดแบบนั้นผมพลักไสตุ้งออกจากตัวไล่เขาให้ไปด้วยอารมณ์ที่โกรธ
"ไปนะ ไปเลย"
ผมพูดทั้งร้องไห้พลางพลักไสเขาให้พ้นตัว
"เต้...เราขอโทษ ให้อภัยเรานะ"
"ไม่! อภัยอะไรก็ไม่มีทั้งนั้นออกไป...คุณไม่ใช่เพื่อนผม เราไม่รู้จักกันอีกแล้ว"
ตุ้งคลายกอดจากผมมองผมทั้งน้ำตา ดวงหน้าเขายิ่งเศร้าลงไปอีก เขาครางแผ่วเบาออกมา
"คุณ..."
ก่อนจะกลืนน้ำตาลงคอ ตุ้งค่อยเหยียดกายลงจากเตียง เขาก้มเก็บกางเกงแล้วสวมมันเข้าก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป
"ถ้าเต้...ไม่สิ..."
เขาหยุดกลืนก้อนสะอื้นลงคงแล้วพูดต่อ
"ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น...ผมก็จะไม่มายุ่งกับคุณอีก"
ตุ้งเน้นคำว่า "ผม" และ "คุณ" ชัดเจน
"เรื่องวันนี้ผมขอโทษแล้วกัน แล้วมันจะไม่เกิดขึ้นอีก...ลาก่อน...."
ตุ้งเปิดประตูจากไปเหลือแต่ผมที่อยู่ในห้องเงียบงันนี้คนเดียวต่อไป ตุ้งจากไปแล้วน้ำตาผมปรี่ออกมาเหมือนเขื่อนแตกล้มตัวลงนอนร้องไห้ซุกหมอนปล่อยเสียงสะอื้นออกมาอย่างบ้าคลั่ง สมองมืดมนสับสนมันมืดไปเสียทุกอย่าง ยิ่งคิดยิ่งปวดมันปวดเจ็บไปถึงหัวใจ บ้าเอ้ย!! ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้
ทำไม ทำไม?
ลาก่อน อย่างนั้นหรือ...
ช่างเขาสิ จะไปก็ไป เชิญเลยไม่มีนายฉันก็อยู่ได้...
อย่างนั้นหรือ...จะอยู่ได้จริงหรือ...
ความคิดผมสับสนไปหมดความโกรธความเสียใจมันปะทุเข้ามาบีบอัดหัวใจให้เจ็บปวด ผมพยายามกลั้นร้องไห้...แต่ยิ่งห้ามน้ำตา ก็ยิ่งไหลทะลักออกมา ทำไม? มันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยนะทำไม? ผมปล่อยตัวเองนอนร้องไห้ปล่อยใจให้จมไปกับความเจ็บปวดผิดหวังเนิ่นนานแล้วพล่อยหลับไปในที่สุด...
*
ความลับ...ไม่มีในโลก
ตั้งแต่วันนั้นมาตุ้งไม่เคยมาหาผมที่บ้านไม่มาเรียกเมื่อจะไปโรงเรียนหรือไปไหน ไม่มาคุยกันไม่มาเดินข้างๆ ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปหมดเวลาที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ กาย ชีวิตมันเหมือนขาดอะไรมีปัญหาก็ไม่รู้จะหันหน้าเข้าหาใคร บางครั้งก็รู้สึกเหงาๆ ไม่คุ้ยเหลือเกินกับการที่เป็นเช่นนี้อยากให้ตุ้งกลับมาเหลือเกิน...แต่ด้วยทิฏฐิไงละที่เป็นตัวนำทางมันบังคับให้เราหยิ่งผยองแม้ผมจะรู้ว่าตุ้งก็อยากจะกลับมาหาผมเช่นกัน สายตาที่เขามองมามันอ้อนวอนอยากจะขอโทษ อยากจะเริ่มต้นใหม่ แต่ดูเหมือนเขาก็ยับยั้งใจตัวเองไว้เช่นกันคงจะทิฏฐิอีกสินะที่ทำให้คนเราไม่ยอมทำตามใจตัวเอง...
สองสัปดาห์ล่วงเลยถึงเวลาที่นักเรียนมัธยมต้นทุกระดับชั้นต้องทำภาระกิจลูกเสือเนตร นารีเป็นเวลาที่นักเรียนทุกคนต้องมาค้างแรมที่โรงเรียน ด้วยการกางเต้นท์ขึงรอบๆ สนามฟุตบอลที่ตรงกลางสนามได้ก่อกองฝืนไว้กองใหญ่เพื่อจะจุดมันแทนไฟฟ้าเมื่อยามค่ำคืน วันแรกของกิจกรรมลูกเสือเนตรนารีทุกคนต่างมาชุมนุมกันพร้อมหน้าที่สนามฟุตบอลในช่วงเช้าตรู่ 6 นาฬิกา มีพี่ แยกตั้งแถวกันตามกลุ่ม ในกลุ่มผมนั้นมีด้วยกัน 8 คน ก็มีผม ตุ้ง อ๊อฟ ดี้ โม ด้วง เตื๋อยและออยที่เป็นเพื่อนร่วมห้องเพียงคนเดียวของผม ทุกคนก็สนิทกันดีในระดับหนึ่งสามารถคุยล้อหนักๆ กันได้ ผมมาต่อแถวหลังสุดเพื่อนเนื่องจากเป็นรองหัวหน้ากลุ่มในกลุ่มผมมีอ๊อฟเป็นหัวหน้า เขาจึงอยู่หน้าแถว ผมดูเพื่อนๆ ในกลุ่มดูเหมือน
จะขาดไปคนหนึ่ง แล้วใครละ "ตุ้ง" นั่นเอง ทำไมยังไม่มานะผมแลซ้ายมองขวากระวนกระวายใจ ถ้าตุ้งไม่มาคงต้องไม่ผ่านลูกเสือเป็นแน่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นที่มาไม่ได้ สักพักผมมองเห็นตุ้งวิ่งสพายกระเป๋ามาผมยิ้มออกมาโล่งอก เขาวิ่งมาถึงแถวหยุดพักเหนื่อย แล้วตุ้งก็แทรกตัวเข้าแถวมันควรจะเป็นที่ใกล้ผมสิ ทำไมเขาเลือกที่จะไปอยู่ต้นแถวละ ผมรู้สึกน้อยใจขึ้นมาช่างเขาปะไร จะอยู่ตรงไหนก็เรื่องของเขาแล้วหนิ ไม่เห็นเกี่ยวกับเราซะหน่อยจะสนใจทำไม ผมยิ่งรู้สึกขัดหูขัดตาเข้าไปใหญ่บางทีอาจจะขัดใจเลยก็เป็นได้ เมื่อนักเรียนหญิงกลุ่มนึง 4คน เดินถือถุงขนมถุงใหญ่มา พวกเขาเป็นรุ่นพี่ ม.3มาหยุดอยู่ที่หน้าแถวสนทนาอยู่กับตุ้ง
"ตุ้งเราเอาขนมมาให้ เอาไว้กินตอนเดินทาง"
"โห...ขอบคุณครับ เยอะเลยให้หมดเลยเหรอ?"
ตุ้งถามพลางรับถุงขนมมา ก่อนจะเปิดกระเป๋าใส่ถุงขนมเข้าไป
"อือ...ให้หมดเลย"
"อยากได้ไรเปล่าหนิ เอาขนมมาให้"
เขาปิดซิบกระเป๋าแล้วสะพายกลับหลังตามเดิม
"ได้ก็ดีสิ"
"หือ...อะไรละ"
"ก็หัวใจตุ้งไง"
เพื่อนๆ ในกลุ่มฮิ้วขึ้นเมื่อนักเรียนหญิงคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น ชิ...หัวใจอยากได้หัวใจ ผมตั้งใจฟังคำตอบตุ้งเขาจะว่าไง
"โอ้ย...ให้ทั้งตัวเลยยังงี้"
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเพื่อนๆ ในกลุ่มก็ยิ่งแซวกันเสียงดังสนุกสนาน ให้ทั้งตัวงั้นเหรอ ช่างกล้าพูดไม่อาย ก็ให้ไปซะสิ ให้ตอนนี้เลยยิ่งดี ผมฝืนทนฟังพวกเขาคุยกันได้สักพักก็อดรนทนไม่ไหวหาวิธีให้พวกนักเรียนหญิงกลุ่มนี้กลับไปเข้าแถวตัวเองซะทีและในที่สุดตัวช่วยผมก็มา
"พี่ๆ ครับ อาจารย์คุมมาแล้ว ไปเข้าแถวสิครับ"
ผมพูดเสียงดังแทบจะเป็นตะโกนอยู่แล้ว เนตรนารีมองซ้ายแลขวารอบๆ ตัวแล้วพวกก็ร่ำลาเดินจากไป เออ..ไปซะได้ก็ดี เบื่อนานแล้วคุยกันอยู่ได้ ไร้สาระผมรำพันเบ้ปากเล็กน้อย
อาจารย์ควบคุมท่านหนึ่งเดินขึ้นเวทีชักธงชาติแล้วพูดสิ่งต่างๆ ที่พวกลูกเสือเนตรนารีที่จะปฏิบัติต่อจากนี้ไปแกก็พูดไปเรื่อยๆ หลายเรื่องและบอกว่าแต่ละกลุ่มจะมี พี่ รด. มาดูแลกลุ่มละ 1 คนขอให้เชื่อฟังพี่ รด. ด้วยเขาบอกอะไร พูดอะไรต้องเชื่อสุดท้ายขอให้เดินทางกันด้วยความแข็งขันอดทน และสนุกไปกับมันแล้วแกก็เดินจากไปเมื่อพูดเสร็จ
"เอ้ยกลุ่มเรานี่ใครวะจะมาคุม"
ด้วงเพื่อนในกลุ่มพูดขึ้น
"พี่กูเอง"
อ๊อฟตอบแล้วเพื่อนๆ ในกลุ่มก็พากันดีใจที่เจอคนใกล้ตัว หือ..พี่โต้งเหรอ? ผมครางในใจทำไมไม่เห็นบอกกันเลยนะ เมื่อคืนก็มานอนที่บ้านเรา กะจะให้ประหลาดใจเล่นสิท่า...
ไม่นานนัก เมื่อ รด.เข้าประจำกลุ่มที่ได้รับมอบหมายหรือมอบหมายให้ตัวเองก็ไม่รู้ แล้วพี่ๆ รด.ก็นำพาแต่ละกลุ่มออกเดินทาง ออกประตูทั้ง 4 ด้านของโรงเรียนกลุ่มพวกผมเดินออกจากโรงเรียนทางประตูด้านหลังโรงเรียนออกไปสู่ถนนลูกรังแล้วลัดเลาะลงข้างทางที่มีถนนเล็กๆ เข้าไป ไม่สิคงไม่ใช่ถนนอาจจะเป็นแค่ทางที่เดินเหยียบย่ำบ่อยๆ จนทำให้หญ้าแถวนั้นเรียบเตียนลงระหว่างเดินทางก็มีภาระกิจประจำซุ้มต่างๆ ที่อาจารย์ไปตั้งรอท่าไว้แล้วพี่โต้งเดินนำหน้าพวกเรา คุยกันครื้นเครง ไม่ค่อยทำตามกฏลูกเสือเท่าไรที่ต้องเสียงเบาเมื่อเดินป่า สายตาสอดส่องระวังภัย
หรือไม่ก็สอดส่องหาแผ่นผ้าหรือป้ายที่จะบอกทางไป ซุ้มกิจกรรมซักพักพี่โต้งก็ปล่อยให้อ๊อฟเดินนำหน้าไป แกค่อยๆ ถอยร่นลงมาเดินเคียงข้างผมเดินคุยกันไปตลอดทาง ระยะทางผ่านไปได้สัก 5 กิโลผมทำหน้าอิดโรยกับกระเป๋าหนักที่สะพายอยู่ด้านหลัง จะบ้าตายจะให้แบกมาทำไมก็ไม่รู้ยังไงก็ต้องวกกลับไปที่โรงเรียนอยู่ดี
"หนักจะตายอยู่แล้วไม่รู้จะให้แบกมาทำไมกระเป๋าเนี่ย"
ผมบ่น
"เออวะ...กูก็ว่างั้นละ"
เตื๋อยเสริม
"เอ้า..อย่าบ่นเลยยังไงก็แบกมาแล้ว จงเดินต่อไป พี่ยังไม่บ่นเลย"
ชิ...บ่นบ้าไรละ ตัวเองไม่ได้แบกอะไรมาซักอย่าง
"หือ..พี่ก็พูดได้สิ เดินตัวปลิวเลยหนิ"
ผมค้าน
"ใครว่าตัวปลิวละ เนี่ยรองเท้าก็หนักเสื้อกับกางเกงเนี่ยก็รัดซะเหลือเกินอึดอัดจะตายแล้ว"
"เออ...ช่างเถอะไม่อยากคุยแล้ว"
ผมหน้าบุ้ยเดินต่อท้ายแถวเรื่อยไป
"มาๆ เดี๋ยวแบกให้จะหนักแค่ไหนเชียว"
"แน่ใจนะ"
"เอาไปแล้วอย่าส่งคืนนะ จนกว่าจะถึงโรงเรียน"
ผมไม่พูดเปล่ายื่นปลดกระเป๋าลงยื่นให้แกส่วนตัวเองก็เดินถือไม้ง่ามต่อไปอย่างโล่งสบาย
"เอ้ยพี่โต้ง เอาของผมไปด้วยสิ"
โมแทรกขึ้นมา
"ช่วย ได้คนเดียววะ อย่ากินแรงสิ อาจารย์ส่งพี่มาคุมนะไม่ได้ส่งมารับใช้"
แล้วก็ได้ยินเสียงบ่นออดๆ จากเพื่อนในกลุ่มในเชิงแหย่กันเล่นๆ มากกว่าที่เห็นผมเดินตัวปลิวอยู่คนเดียวในระหว่างทางที่ผ่านเราก็เจอกับด่านภาระกิจต่างๆ บางครั้งก็เดินทันเพื่อนๆ กลุ่มอื่นที่เดินมาก่อน และก็หยุดนั่งกินข้าวเที่ยงจากห่อข้าวที่นำมาด้วย
16.45 นาฬิกาโดยประมาณในที่สุดเราก็มาอยู่ที่โรงเรียนอีกครั้งพากันเปลี่ยนจากชุดลูกเสือมาเป็นชุดลำลองช่วยกันกางเต้นท์แต่ดูเหมือนผมจะโดนเพื่อนใช้ให้ไปหยิบนั่นหยิบนี่มาให้ซะบ่อย น้ำบ้างละอะไรบ้างละสารพัดที่จะสั่งโทษฐานที่เดินสบายปล่อยภาระหนักให้พี่โต้งมาตลอด ทางกว่า 30 กิโล ไม่นานนักกลุ่มเราก็กางเต้นท์เสร็จโดยกลุ่มเรามีเต้นท์ 2 เต้นท์ โดยแบ่งกันอยู่เต็นท์ละ 4 คน ส่วนพี่ รด. ที่ควบคุมในแต่ละกลุ่มนั้นพักอยู่ที่ตึกเรียนหลังแรกแต่บางคนก็เลือก ที่จะมานอนกับลูกเสือมากกว่า สำหรับพี่ รด.ที่ได้คุมกลุ่มหญิงบางคนก็ไปนอนบนอาคารเรียนบางคนก็ไปนอนปนกับลูกเสือกลุ่มอื่นที่สนิทกัน ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันที่นี่ 2 คืน 3 วัน...
ในวันที่ 2 หลังจากทำกิจกรรมผจญภัยตามซุ้มต่างๆ ที่ตั้งไว้ทั่วโรงเรียน เวลา 17.00 น.ลูกเสือเนตรนารีทุกคนก็ต่างพากันแยกไปอาบน้ำชำระตัว บางพวกก็อยู่เต้นท์หุงข้าว ทำอาหารรอเวลามาผลัดพวกที่ไปอาบน้ำมาเปลื่ยนเพื่อจะได้ไปอาบบ้าง และผมก็อยู่ในกลุ่มหลังรวมกระทั่งอ๊อฟด้วยนอกนั้นก็พากันไปอาบน้ำ เวลา 21.30 นาทีมีกิจกรรมรอบกองไฟเป็นเวลานัดหมายอีกครา
"เต้ เรามีเรื่องจะคุยด้วย"
อ๊อฟพูดขึ้นเมื่ออยู่กันสองต่อสอง
"พูดมาสิ"
"ไม่ใช่ตอนนี้ กินข้าวเสร็จไปเจอเราที่ห้องพยาบาลอาคารสองนะ"
"ทำไมละ คุยตอนนี้ไม่ได้เหรอ?"
"เอาเถอะแล้วเราจะรอที่นั่น"
อ๊อฟจบสนทนาเมื่อเพื่อนๆ ที่ไปอาบน้ำกลับมาแล้ว ผมกับออฟจึงไปอาบน้ำกันบ้างไปถึงก็เจอลูกเสือหลายนายอาบน้ำกันอยู่ ผมกับออฟเดินหาที่อาบน้ำจนได้ในที่สุดแล้วถอดเสื้อผ้ากางเกงออกพาดไว้บนราวเหลือไว้แต่กางเกงในห่อหุ้มอวัยวะควย ไว้ซึ่งลูกเสือทุกๆ นายก็ถอดกันหมดเหมือนกันจะมีก็แต่พวกกลุ่มกระเทยที่อาบน้ำทั้งชุดคือไม่ยอมถอดอะไรสักชิ้นเหมือนจะอายอะไรนักหนา แต่ดูสายตาที่มองมายังเป้าผมแล้วคงไม่ใช่อายหรอก มันมีแค่ความอยากใคร่ได้ทั้งนั้นจนผมต้องหันหลังให้ มองตูดกูแทนละกัน ผมคิดในใจ
หลังจากกินข้าวเสร็จผมมองดูนาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 18.41นาที ยังมีเวลาอิสระอีกเยอะกว่าจะถึงเวลารวมรอบกองไฟผมเดินหาอ๊อฟรอบๆ เต้นท์ และในเต็นท์ ก็ไม่เจอ คงไปรอผมแล้วสินะ ระหว่างที่ผมไปดูอ๊อฟว่ายังอยู่หรือเปล่าขณะที่ผมลอดตัวเข้าไปในเต็นท์หลังที่ผมนอน ก็เห็นแต่ตุ้งที่นอนมือก่ายหน้าผาก ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งเขามองสบตาผมเมื่อหน้าผมโผล่เข้าไปในเต้นท์ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอย่างเฉยฉา ไม่สนใจให้มันได้อย่างนี้สิ นึกว่าจะสนหรือไงไม่มาคุย ไม่คืนดีก็เรื่องของนายกูไม่ผิดหนิที่จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มเข้าไปคุยด้วยก่อนความจริงผมเลิกโกรธไปนานแล้วละมีแต่อยากให้ตุ้งกลับมาอยู่ข้างกายเหมือนเดิมเวลามีเขาอยู่ด้วย คุยด้วยมันมีความสุขเหลือเกินเวลาขาดเขาไปมันช่างเงียบเหงาเหลือเกิน แต่ให้ตายเถอะทำไมเขาใจแข็งซะเหลือเกินไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะฝืนใจตัวเองได้ขนาดนี้ก็คงไม่ต่างจากผมหรอกที่ฝืนใจตัวเองยิ่งผยองพอกัน...
ผมเดินขึ้นไปบน ชั้น 4 ของตึกสองตรงไปที่ห้องพยาบาลซึ่งในช่วงปฏิบัติลูกเสือฯ นี้มีกฏห้ามให้ลูกเสือเนตรนารีขึ้นมาบนตึก ผมจึงแอบๆ เข้ามาเพื่อไม่ให้ใครเห็น ผมเปิดประตูเข้าไปกวาดรอบไปทั่วห้องพยาบาลมองเห็นอ๊อฟนอนรอที่เตียงตัวสุดท้ายที่มุมห้อง ความมืดค่อยๆ ปกคลุมเข้ามาในห้องที่ไร้แสงไฟที่ปิดไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตว่ามีใคร
อยู่บนนี้หรือเปล่า ผมเดินเข้าไปแล้วนั่งลงที่ขอบเตียงข้างๆ กายอ๊อฟที่นอนลืมตาเหมือนคนคิดล่องลอยไปไกล
"อ๊อฟจะคุยอะไรกับเต้เหรอ?"
ผมถามขึ้นก่อนอ๊อฟก็ยังเงียบซึ่งปรกติอ๊อฟเวลาอยู่กับผมเขาจะคุยสนุกสนานยิ้มง่าย แต่ดูวันนี้เขาแปลกๆ ไป และในที่สุดเขาก็พูดออกมา
"นอนลงก่อนสิ"
"หือ ทำไมละ"
"นอน เถอะ"
อ๊อฟย้ำแล้วผมก็เอนตังลงนอนข้างๆ เขาเบียดตัวชิดกันเนื่องด้วยเตียงคนไข้พอประมาณแค่คนๆ เดียวเท่านั้นอ๊อฟพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางผมแล้วเอื้อมมือหนึ่งมาสวมกอด ผมไว้เขาหลับตาลงซุกหน้าตรงไหล่ ผมปล่อยให้อ๊อฟนอนกอดไปโดยที่เราสองคนไม่พูดอะไรนานจนอ๊อฟโพล่งออกมาทั้งที่ตายังหลับอยู่
"เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานยัง"
"เรื่องอะไรอ๊อฟ"
ผมมึนงงไม่รู้ว่า "เรื่อง" ที่ว่าคือเรื่องอะไร
"เรื่อง ...พี่โต้งกับเต้"
ผมลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ หัวใจเต้นระส่ำคึกโครมแทบจะหลุดออกมาดวงหน้ารู้สึกชาไปหมดเขารู้แล้ว ให้ตายสิ จะทำยังไงดี มันแก้ตัวไม่ได้เลย
"พี่โต้งบอกเราแล้ว"
อ๊อฟเสริมขึ้นมา
"พี่โต้งบอก..."
"ใช่ บอกวันนี้ละ เราถึงอยากคุยกับเต้ไง"
ผมมองดูอ๊อฟที่ยังนอนอยู่แบบนั้น
"เต้ รักเราไหม?"
อ๊อฟพูดออกมาแต่ดูเหมือนว่าเสียงเขาจะสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ อย่าร้องนะผมคงทนไม่ได้แน่ถ้าอ๊อฟร้องไห้ อย่าร้องนะ อย่าร้อง
"รักไหม? เต้รักอ๊อฟไหม?"
อ๊อฟย้ำเสียงเครือผมมองไม่เห็นหรอกว่าน้ำตาเขามีไหมเพราะความมืดมันปกคลุมไปทั่วห้อง
"ทำไม ไม่ตอบละหรือว่าไม่รักอ๊อฟแล้ว"
อ๊อฟดึงตัวผมลงไปนอนแล้วสวมกอดแนบแน่นรั้งผมเข้าไปกอดเหมือนกลัวจะสูญเสียไป อ๊อฟย้ำถามแต่ว่าผมรักเขาไหม? ตลอด ผมมึนตื้อปากขยับแทบไม่ออก ผมเอื้อมมือไปทาบบนแก้มเขาให้ตายสิเขาร้องไห้จริงๆ น้ำตาผมไหลออกมาอัตโนมัติ รู้สึกเศร้าสะเทือนอารมณ์ไปด้วย
"รักสิ รักมากๆ ด้วย"
ผมพูดกับอ๊อฟทั้งน้ำตา อ๊อฟเงียบเสียงสะอื้นเขากอดผมแน่นขึ้นแล้วค่อยๆ บรรจงทับรอยจูบที่ริมฝีปากผมก่อนจะขยับบดขยี้ดูดดื่ม ผมสนองรับจูบสนองปรารถนานั้นแต่แล้วก็ผละออก
"ไม่ได้ เต้ทำแบบนี้ไม่ได้"
ผมพูดออกไป
"หรือเต้ไม่ได้รักเราจริง"
"ไม่ใช่นะ เรารักอ๊อฟรักมากๆ ด้วย"
"แล้วทำไมให้เราไม่ได้"
"คือ..."
ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี อยากจะบอกเหลือเกินว่าผมได้มีอะไรกับพี่ชายของเขาแล้ว ผมรู้สึกไม่แฟร์เท่าไรท้าผมจะมีอะไรกับอ๊อฟผู้ซึ่งเป็นน้องชายของพี่โต้ง
"เพราะพี่โต้งใช่ไหม?"
อ๊อฟแทรกขึ้นแล้วพูดต่อ
"อ๊อฟไม่สนหรอกถึงเต้จะเคยเอากับพี่โต้งแล้วก็ตาม อ๊อฟไม่สนอะไรทั้งนั้น อ๊อฟอยากให้เต้เป็นของอ๊อฟ เป็นของอ๊อฟนะ"
พูดจบอ๊อฟไม่สนว่าผมจะตอบยังไง เขาประกบปากลงจูบขยี้ลงมาดูดด่ำชอนไชลิ้นเข้าไปตวัดตามไรฟันผมครางอือออกมาเมื่อใจได้ยินยอมไปตามความปรารถนานั้นอ๊อฟถอนปากออกลุกขึ้น ยืนข้างๆ เตียงแล้วถอดกางเกงลงรวมทั้งกางเกงในทำให้มองเห็นควยอ๊อฟที่แข็งตัวเด่นจากแสงไฟสปอร์ตด้านนอกที่ส่งเข้ามาได้เพียงน้อย อ๊อฟขึ้นมานั่งคร่อมผม เอาควยมาจ่อตรงปากผม
"ดูดให้หน่อย.."
ผมอ้าปากเข้าครอบควยที่อ๊อฟสอดเข้ามาในปากผมผมห่อปากรูดจนหนังหุ้มถอดหัวควยให้เบ่งบานอ๊อฟกระแทกควยแข็งใหญ่เข้าปากผมกระเด้าๆ เร่งจังหวะถี่ๆ ครางซีสๆโอว์...อาว์...ออกมาหน้าตาเหยเกบิดเบี้ยวสูดปากครางในอากาศดูเขาจะชอบใจยิ่ง อ๊อฟกระแทกเข้าไปจนสุดโคนควยผมแทบจะหายใจไม่ออกผมห่อปากดูดควยเขาแรงๆ เพื่อเร่งให้เขาปล่อยน้ำควยออกมาหากไม่ทำมีหวังผมตายด้วยหายใจไม่ออก และในที่สุดอ๊อฟก็กระตุกควยตึกๆ พ่นน้ำควยเข้าปากผม เขาครางอาว์....ถอดยาวและหายลงไปในลำคอผมดูดซับกลืนน้ำควยเขาจนหมดสิ้น อ๊อฟถอนควยออกจากปากผมแล้วประกบปากลงจูบดูดด่ำเขาเลื่อนปากต่ำลงไปไซ้ตามคอผม ความเสียวสั่นไหวพุ่งสะท้านเข้าไปถึงหัวใจผมเขาใช้ปากดีเหลือเกินเหมือนช่ำชองมาก่อนเขาลากลิ้นขึ้นไปสัมผัสที่ติ่งหูผมแล้วจูบพรมไปทั่วใบหูผมครางซีสๆ เสียวโอว์...ช่างเก่งเหลือเกินแค่ปากและลิ้นยังทำให้อารมณ์ผมกระเจิงจนหมดสิ้นอ๊อฟจับขาผมให้ตั้งชันขึ้นแล้วถอดกางเกงผมออกโยนไปกองไว้ที่พื้นก่อนเขาจะจับขาผมกางออกพาดที่บ่าทั้งสองข้างของเขาแล้วอ๊อฟก็ดันควยเข้ามาพรวดเดียวจนมิดโคนควย ผมครางซีสออกมาเสียงดังรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อ๊อฟเริ่มกระเด้าเข้าๆ ออกๆ เป็นจังหวะเนิบนาบหาจังหวะที่เหมาะก่อนจะเร่งสปีดโหมกระหน่ำซัดกระเด้าเสียงดังปับๆ ผมครางโอว์...ซีสประสานเสียงครางที่อ๊อฟซีสออกมาเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงดังเป็นจังหวะตามแรงกระเด้าของอ๊อฟอ๊อฟกระแทกกระเด้าเข้ามาสุดโคนตลอดเวลา ผนังตูดผมที่เสียดสีกับท่อนควยมันเสียวสะท้านส่งไปตามร่างกายผม
"โอว์...ซีส...เสียวเหลือเกิน อาว์...อาว์...กระเด้าแรงๆ แบบนั้นละอ๊อฟ...อาว์...ซีส...."
อ๊อฟค่อยๆ ผ่อนแรงกระเด้าลงแล้วจับผมนอยตะแคงคู้ขาผมเข้าในลักษณะนอนตัวงอแล้วเริ่มส่ายควยวนในรูตูดผมก่อนจะกระเด้าปับๆ เข้ามา โหมกระหน่ำแรงถี่ขึ้นไม่ลดละเสียงครางดังแข่งกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงโอว์...ซีส...ยิ่งครางอ๊อฟก็ยิ่งรัวกระเด้าถี่ๆ เข้ามาหนักหน่วงดังปับๆ ปับๆ ผมเอื้อมมือไปรูดควยตัวเองเพิ่มความเสียวให้ลุกโชนยิ่งขึ้น อะ..อ๊อฟ...อาว์...สักพักอ๊อฟจับขาข้างหนึ่งผมยกขึ้นแล้วดันกระแทกควยเข้ามาปับๆ อ๊อฟยิ่งกระเด้าลึกผมยิ่งเสียงครางซีสซาสไม่หยุดไม่ต่างจากอ๊อฟที่ครางกระเส่าบิดหน้าเหย่เก สูดปากซีสๆ ตลอดเวลา อ๊อฟกระหน่ำแรงเข้ามาปับๆ ถี่ๆ อย่างบ้าคลั่ง ปากร้องครางอาว์...อาว์...อาว์...ก่อนที่ควยกระตุกแล้วฉีดน้ำควยเข้าไปในรูตูดผมอ๊อฟ ซีสปากทอดยาวผ่อนหายใจแรงขาดเป็นห่วงๆ ผมรูดควยตัวเองต่อสักพักแล้วเกร็งพ้นน้ำควยออกมาตามอ๊อฟถึงฝั่งกามอีกคนอ๊อฟถอนควยออกแล้วล้มตัวลงนอน ผมขยับตัวเข้ามาอ๊อฟแนบชิดกายโอบกอดเขาไว้ซุกหน้าตรงอกเขา ไม่พูดจาอะไรออกมาท่ามกลางความมืด ผมนอนกอดอ๊อฟด้วยความสุขถวิลต่อไปนี้ผมจะรักอ๊อฟให้มากขึ้น อย่างที่เขารักผม
เขาไม่รังเกียจว่าผมเคยมีอะไรกับพี่โต้งพี่ชายของเขาแค่นี้ก็ทำให้ผมไม่อาจทิ้งเขาไปได้หรอกถึงแม้ว่าในห้วงลึกของใจยังเฝ้ารอปรารถนาของพี่โต้งก็ตาม ผมจะรักอ๊อฟ จะรักอ๊อฟและจะรักให้มากๆ ต้องตัดขาดพี่โต้งให้ได้ อย่าได้ทำลายหัวใจคนที่รักเราไปกว่านี้อีกเลย
ผมรำพันในใจซบหน้าหลับตาบนอกอ๊อฟเนิ่นนานไร้คำใดออกจากปากเราทั้งสองคน
*************************************************************
"เต้"
หลังจากที่เราสองคนอยู่ในความเงียบมานานอ๊อฟเรียกชื่อผมออกมาแต่ตัวเขายังคงนิ่งเหมือนเดิม ผมกอดอ๊อฟแนบชิดขึ้นกว่าเดิมเป็นการรับรู้แทนวาจาอ๊อฟนิ่งไปอีกอึดใจหนึ่งก่อนจะโพล่งคำที่ผมแทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้รวดเร็วขนาดนี้ มันไม่มีเวลาให้ผมได้ตั้งตัวหรือทำใจอะไรทั้งนั้น อยู่ดีๆ มันก็ถาโถมซัดครืนเข้าไปกระแทกในหัวใจดังคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งผมนิ่งงันดังคนหมดลมหายใจ ไม่คาดคิดว่าอ๊อฟจะพูดออกมาเช่นนี้
"เต้...เรา เลิกคบกันเถอะ"
ประโยคที่อ๊อฟพูดออกมาเปรียบดังเป็นก้อนเสลดตีบตันในลำคอผม ยากที่จะกลืนและยากที่จะถ่มทิ้งสมองผมมืนตื้อ ดวงตาเริ่มพร่ามัว ปากสั่นระริก กระชับกอดอ๊อฟแน่นกว่าเดิม
"อ๊อฟคิดดูแล้วเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า"
"เพื่อน...ทำไมอ๊อฟว่าอย่างนี้ละ"
ผมพูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตามันไหลออกมาดังเขื่อนแตกดูทีท่าไม่มีวันหยุด
เพื่อน..งั้นเหรอ แล้วเมื้อกี้ละมันคืออะไร
ไม่ใช่บอกว่ารักเหรอ ทำไมถึงพูดอย่างนี้ละ
"เราเป็นเพื่อนกันดีกว่านะ"
อ๊อฟยื้อตัวขึ้นนั่งมือผมเลื่อนจากอกมาโอบเอวเขาไว้
"อ๊อฟ ไม่ได้รักเต้..."
ผมอยากจะพูดต่อให้ยาวกว่านี้แต่ดูเหมือนน้ำตามันจะเข้าไปจุดที่หลอดลมไม่ให้พูดอะไรต่อ ผมร้องไห้ออกมาไม่หยุดขณะที่อ๊อฟแม้น้ำตาเพียงหยดหนึ่งก็ไม่มีช่างต่างจากเมื่อกี้เหลือเกินเขาร้องไห้ได้จนผมสงสารยินยอมแต่พอได้แล้วเขาช่างดูเย็นชาเหลือเกิน ไม่สนใจผมที่ร้องไห้ทุกข์ทนต่อหน้าเขาตรงนี้เลย
"อย่าพูดอย่างนั้นสิ ไม่ใช่สักหน่อยแต่...เราเป็นเพื่อนกันนะดีกว่า"
"เหตุผลละ? เพราะอะไรอ๊อฟถึงคิดอย่างนี้"
ผมสะอื้น
"โธ่ ! เต้"
เสียงเขาดูหงุดหงิด
"อย่าทำอย่างนี้สิ"
"เต้ทำอะไร? อ๊อฟต่างหากละ"
"พูดไม่ฟัง หรือไม่อยากให้เหลือแม้ความเป็นเพื่อน"
อ๊อฟเสียงดังไม่พอใจ เขาดึงมือผมออกจากเอวเขาแล้วลุกขึ้นไปสวมกางเกงเข้าอย่างเดิมแล้วพูดขึ้นมา
"เชื่ออ๊อฟเถอะ เราเป็นเพื่อนกันนะดีแล้ว"
"อ๊อฟ..."
ผมเรียกชื่อเขาเสียงสั่นเครือแต่ดูเขาไม่สนใจอะไรอีกเลยอ๊อฟหันหลังเดินออกจากห้องไปทิ้งผมไว้คนเดียวตามลำพังกับห้องที่เงียบงันนี้ผมนั่งคู้เข่าซบหน้าลงร้องไห้ถอนสะอื้นอยู่เพียงลำพัง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ทำไมเมื้อกี้ยังบอกว่ารักเรา ไม่สนอะไรที่มันเกิดขึ้นมาก่อนแต่พอได้เสพสุขผ่านไปไม่นานกลับบอกเลิกกัน นี่หรือคนรักกันผมตัดพ้อตัวเองความเจ็บปวดมันทะลวงใจผมจนบอบช้ำมันซาดสัดเข้ามาไม่หยุดหย่อนดังจะเอาให้ตายสิ้นลมกันทีเดียว
ผมสะอื้นร้องไห้เสียงดังกับความเจ็บปวดทรมานที่มันเข้ามายามที่ผมไม่ทันได้ตั้งรับหาเครื่องป้องกันต้านทานไว้เลยความท้อแท้สิ้นหวังมันสุมรุมผมอย่างไม่ปราณี ทรมานเหลือเกิน ทรมานเหลือเกินใจผมระร่ำรำพัน...
ผมปาดน้ำตาตัวเองพยายามฝืนไว้ไม่ให้ร้อง กลั้นเสียงสะอื้นไว้ในลำคอหยิบกางเกงมาสวมสูดลมหายใจลึกๆ ชะล้างก้อนสะอื้นให้จางไปแล้วเดินออกจากห้องพยาบาลไปด้วยหัวใจที่แห้งแล้งเต็มที
"เต้ !"
เสียงคุ้นหูเรียกชื่อผมขึ้นผมเหลียวมองไปตามเสียงก็ต้องตกใจแทบทรุด
"พี่ โต้ง..."
ผมครางในลำคอ พี่โต้งเดินเข้ามาใกล้ผมสายตาแกที่จ้องมองผมมันแฝงไว้แต่ความโกรธแกตบหน้าผมเข้าอย่างจังจนหน้าผมหันไปตามแรงที่แกฟาดกระทบมา ผมเจ็บแสบไปทั้งหน้าแกคงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ น้ำตาผมเริ่มไหลรินออกมาอีกครั้งผมหันหน้ามาจ้องประสานแกแต่ไม่พูดอะไรออกมา
"เป็นไงละโดนมันเอาแล้วโดน ทิ้ง"
แกเย้ยหยัน ผมเจ็บแปลบเข้าไปในหัวใจรู้สึกเสียใจ น้ำตาก็ยิ่งไหลปรี่ออกมาท้วมทวีไม่มีสักคำที่ปลอบปโลมไม่มีสักคำที่แสดงออกว่าห่วงใย มีแต่คำเย้ยหยันเสียดสีจะให้กันตายไปข้างเลยหรือไร
"ถ้าจะมาตอกย้ำเยาะเย้ยก็ไปเลยนะ"
ผมกลืนก้อนสะอื้นลงคอ
"ไปเลย พี่กับน้องก็คงไม่ต่างกันหรอก"
สิ้นประโยคฝ่ามือก็เข้ากระทบกับหน้าผมอีกครั้ง
"เอาอีกสิ ตบอีกสิ"
ผมพูดเสียงดังด้วยความน้อยใจและเสียใจจ้องหน้าสู้แก พี่โต้งรั้งตัวผมเข้าไปหาแล้วประกบปากลงบดขยี้ริมฝีปากผมรุนแรงผมกัดปากแกด้วยความโกรธ คนใจร้าย ทำไมต้องทำกันอย่างนี้ด้วยพี่โต้งร้องเสียงหลงออกมามีเลือดไหลที่ริมฝีปากแกเอามือแตะปากดูแล้วทำหน้าแหยงด้วยความเจ็บ แกมองจ้องตาผมอย่างโกรธแค้นดวงตาแดงกล่ำคล้ายจะร้องไห้ออกมา ก่อนที่แกจะเดินจากผมไปโดยไม่พูดอะไรผมร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง อยากจะระบายสิ่งที่มันอัดอั้นบีบอัดอยู่ในหัวใจ จบกันไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือใครอีกแล้ว เขาทิ้งเราไปหมดแล้วผมทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าซุกหน้าร้องไห้เนิ่นนาน ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความผิดหวังเศร้า เสียใจ ดวงใจแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ความเจ็บช้ำมันไม่เคยปราณีใครอยู่แล้วมีแต่จะให้ทุกข์ทรมาน ให้เจ็บปวดแสบแสนปางตาย...
เสียงประกาศเรียกลูกเสือเนตรนารีให้พร้อมกันรอบกองไฟใหญ่กลางสนามฟุตบอล ผมค่อยๆ เหยียดตัวลุกขึ้นปาดน้ำตาให้สิ้นไป กลั้นเสียงสะอื้นให้เบาบางลงแล้วเดินลงบันไดเพื่อไปรวมกลุ่ม พอผมไปถึงทุกคนก็ล้อมวงรอบกองไฟกันหมดแล้วเสียงอาจารย์ผู้คุมเรียกตัวผมให้ไปยืนตรงกลางวงล้อม แล้วถามทำไมถึงมาช้า ไปอยู่ไหนและผมก็บอกว่าไปแอบงีบอยู่บนตึกห้องพยาบาล แต่ใช่ที่ไหนละแล้วอาจารย์ผู้คุมก็เรียกพี่ รด. ที่ดูแลกลุ่มผม นั่นก็คือพี่โต้งนั่นเอง
แกบอกว่าให้พี่ รด. ที่ดูแลลูกเสือทำโทษลูกน้องตัวเองฐานที่ทำผิดกฏ แล้วอาจารย์ผู้คุมก็ป้องปากพูดกับลูกเสือเนตรนารีทั่วกองไฟในการรับผิดชอบต่อหน้าที่ กฎเกณฑ์ มีเสียงปฏิญาณรับของลูกเสือฯ ดังกึกก้องสายตาทุกคู่ที่มองมายังผมจุดเดียวเป็นดังเข็มทิ่มแทงผมให้เจ็บลึกขึ้นไปอีก
"เอาละ จะให้พี่เขาทำโทษยังไงดี"
อาจารย์วกกลับมาถามผม
"แล้วแต่ครับ "
ผมพูดเสียงเบาเนิบๆ จึงถูกตวาดแล้วให้พูดใหม่ให้เสียงดังหนักแน่นแล้วอาจารย์ก็เดินไปจุดที่นั่งเดิม ปล่อยให้ผมยืนอยู่กับพี่โต้งแล้วสักพักพี่โต้งก็สั่งทำโทษผมขึ้น
"ปั่นจิ้งหรีด 20 ครั้ง ปฏิบัติ"
ผมก้มลมทำตามโดยไม่หันไปมองหน้าพี่โต้งแม้สักครั้งเดียวเมื่อครบจึงพยามทรงตัวขึ้นรู้สึกว่าโลกมันคว้างไปหมด แต่ดูเหมือนยังไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์แกพูดกับลูกเสือฯ ว่าทำโทษแค่นี้เพียงพอหรือยังมีเสียงตอบกลับดังก้องว่ายังไม่เพียงพอดูท่าผมจะเป็นของเล่นยามค่ำคืนนี้แล้วสิ พี่โต้งจึงสั่งให้ผมปั่นจิ้งหรีดอีก 20 ครั้งพอผมทำเสร็จอาจารย์คนใหม่ก็ออกมาพูดกับลูกเสือฯ ว่าพอยังและเสียงตอบรับก็เช่นเดิม
"ยังไม่พอ"
แต่มีเสียงหนึ่งที่ดังก้องออกมาหลังสุดว่า
"พอแล้ว"
ผมมองไปตามเสียงเห็นตุ้งลุกขึ้นแล้วขานอีกว่า
"พอแล้ว"
และก็ตามมาด้วยเสียงเพื่อนๆ ในกลุ่มเดียวกับผมขานออกมาพร้อมเพียง ผมตื้นใจเล็กน้อยกับน้ำใจของเพื่อนแต่อีกคน "อ๊อฟ" ผมไม่รู้ว่าเขา
เต็มใจหรือเปล่าดูจากสีหน้าแล้วคงแค่เออออไปตามทุกคนในกลุ่มเท่านั้นเองเขาคงไม่เหลือน้ำใจอะไรให้ผมอีกแล้วละแล้วพี่โต้งกลับเรียกพวกเขาออกมากัน หมด
"ดี...ลูกเสือกลุ่มนี้รักกันดีเห็นเพื่อนโดนทำโทษก็มีน้ำใจช่วย งั้นปั่นจิ้งหรีดแทนเพื่อน 50 ครั้งปฏิบัติ"
สิ้นเสียงพี่โต้งทุกคนก็ปฏิบัติอย่างไม่อิดออด มีผมคอยนับรอบให้หนึ่ง สอง สาม...สิบ...ยี่สิบ...ห้าสิบ...ในที่สุดก็ครบเสียทีทุกคนต่างพากันทรงตัวไม่ขึ้น พากันล้มนอนหลับตาอยู่ตรงนั้นก่อนจะปรับตัวเข้าสภาพเดิมลุกขึ้นยืนตามคำสั่ง
"ส่วนคนที่ทำผิดกฏคืนนี้ต้องเฝ้ายามแทนเพื่อนจนเช้า"
พี่โต้งสั่งเสียงหนักแน่นก่อนจะปล่อยตัวผมและเพื่อนให้ไปนั่งที่
แล้วกิจกรรมรอบกองไฟก็เริ่มขึ้นจนถึงเวลาเที่ยงคืนก็ถึงเวลาแยกย้ายกันเข้านอนตามเต้นท์ต่างๆ คืนนี้ทั้งคืนผมต้องนั่งเฝ้ายามตลอดตามคำสั่ง เริ่มดึกอากาศยิ่งหนาวผมนั่งคู้เข่ากอดตัวเองกายสั่นระริกสะท้านไปถึงหัวใจถึงแม้ไม่ให้ผมมานั่งเฝ้ายามตลอดคืนผมก็คงหลับไม่ลงอยู่ดีเหตุการณ์แห่งความเจ็บปวดผิดหวังมันตามมาหลอกหลอนผมไม่อาจที่จะข่มตาหลับได้เป็นแน่
"ห่มซะเดี๋ยวหนาวตายซะก่อน"
พี่โต้งออกมาจากเต้นท์โยนผ้าห่มใส่หน้าผมอย่างแรงแกยืนสอดมืออยู่ในถุงกางเกงสายตาเหม่อมองไปทางอื่นไม่สนใจผม
"ลำบากนัก ทีหลังก็ไม่ต้อง"
ผมประชดแล้วโยนผ้าห่มคืนให้แกพี่โต้งจับผ้าห่มออกคลี่แล้วเดินอ้อมไปด้านหลังผมแล้วห่มมันให้ผม
"อย่าดื้อน่า"
แกพูดแล้วเดินไปนั่งอีกฝากเต้นท์ตรงข้ามผมกองไฟเล็กๆ ที่ก่อเพื่อให้ไออุ่นตรงหน้าเต้นท์ ผมเหยียดมือออกไปผิงรับไออุ่นให้กายแต่หัวใจก็อยากมีใครสักคนมาโอบกอดให้ความอบอุ่น แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วทุกอย่างจบสิ้นกันหมดแล้ว
เลิกคิดซะทีได้ไหม จะคิดไปทำไม
ยิ่งคิดก็ยิ่งจะร้องไห้ออกมา ร้องไห้ก็ไม่มีใครเหลียวแลหรอก
โน่นคนหนึ่งก็นอนอยู่ในเต้นท์ ไม่มีท่าทีว่าจะห่วงใยอะไรเราเลย
อีกคนก็นั่งนิ่ง จะเอ่ยวาจาใดออกมาก็เปล่า
ผมตัดพ้อตัวเองรู้สึกว่าตาเลือนพร่าเพราะน้ำตาเริ่มเอ่อคลอแต่ก็ฝืนไว้ไม่ให้ไหลรินออกมาผมซบหน้าซุกผ้าห่มปาดน้ำตาทิ้งไป ตลอดคืนผมกับพี่โต้งนั่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่คุยอะไรกันเลยจนสว่างมันช่างเป็นความอึดอัดที่ทรมานเสียเหลือเกิน แล้วต่อจากวันนี้ผมจะเป็นเช่นไรเมื่อหัวใจได้แตกสลายสิ้นคนรัก คงต้องอยู่ตามลำพังกับหัวใจที่แตกร้าวทรมาน...
********************************************
*******************************************
|