พี่ชายไม่แท้ เปิดเรื่อง ขอเอาเรื่องของเพื่อนมาแบ่งปันบ้างครับ ผมจะแทนตัวเพื่อนเป็นผมเองครับ
สวัสดีครับผมชื่อเบสครับ อายุ16ปี เป็นเด็กนักเรียนชั้น ม.ปลาย
เที่ยงเกือบจะบ่ายวันนี้อากาศดีมากอากาศสดชื่น แดดอุ่นไม่ร้อนมากอย่างที่เคยเป็น ผมนั่งเปิดกระจกตากลมอยู่บริเวณที่นั่งเบาะหลังคนขับ ผมไม่ทราบว่าตอนนี้เรากำลังนั่งรถไปไหนหรอกครับ แม่ชวนมาผมก็เลยติดสอยมาด้วยวันนี้วันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือพ่อจะพาเราไปเที่ยว เหมือนจะไปต่างจังหวัดเสียด้วย เพราะสองข้างทางเรื่องเป็นชานเมืองมีต้นไม้มากมายสองริมฝั่งทาง ดูถนนโล่งโจ้งรถแทบจะไม่มี ผมยื่นหน้าโต้ลมผมปลิวไสว
“เบส เอาหน้ากลับเข้ามาลูก” เสียงแม่เอ็ดผมให้เอาอย่าทำเช่นนั้น ผมตกกระใจเสียงแม่รีบดึงหัวกลับอย่างใวแต่เจ้ากรรม หัวผมกระแทบที่ขอบประตูด้านบนจนหัวปูดโน “โอ๊ยยยยยยย เจ็บ แม่อะ!!! เห็นมั้ยหัวผมโนเลย” ผมร้องโอดโอย มือข้างนึงกุมรอยบวมนั้นไว้ ทำหน้าตาบึ้งตึง แล้วจึงนั่งอย่างระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง เสียงพ่อก็หัวเราะกับกิริยาของผมโดยพ่อสังเกตการผ่านกระจกมองหลังภายในตัวรถ “ไงละ บอกแล้วให้นั่นดีๆ เกือบแตกไหมละนั่น”
“พ่อ เรากำลังไปไหนอะ ไปบ้านญาติที่สุพรรณอีกแล้วเหรอ”ผมถามพ่อเสียงจอแจ พร้อมด้วยไปเกาะอยู่หลังเบาะคนขับ ยื่นหน้าไปช่องระหว่างที่นั่งด้างหน้า “อื่ม ใช่ เรากำลังไปบ้านญาติแม่นะ” พอพูดจบ ผมก็ร้องเฮดังลั่น เพราะความดีใจที่จะได้ไปเจอยายและตาที่นั่น คิดถึงป้าๆและลุงๆมาก แทบจะเกือบปีที่ไม่ได้ไปที่นั่น ผมเก็บอาการดีใจใว้ภายใน นั่งมองสองข้างทางนับเวลาถอยหลังที่จะไปเที่ยวเล่นน้ำคลองเสียแทบไม่ไหวแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไร ตื่นมาอีกทีก็เป็นตอนที่พ่อเลี้ยวรถเข้าหมู่บ้านของยายและตา หลุมทางถนนขนาดเบ้อเริ้มทำเอารถโครงเคลงจนผมตกใจตื่น ใช้สองมือขยี้ขี้ตาออก “แม่ เราไม่ได้ค้างเหรอ เห็นไม่มีชุดมาเปลี่ยนเลย” ผมสงสัยเพราะมาแค่ตัวไม่มีข้าวของสัมภาระมาสักน้อย “ใช่จ่ะ เรามาแค่ไม่นาน เสร็จธุระก็กลับเลย พ่อมีประชุมแต่เช้า” แม่ให้เหตุผมจนผมรู้แจ้งแล้ว จึงนั่งมองทางจากหน้าต่างต่อ จนถึงบ้านของตายาย
แต่น่าแปลกใจเพราะบ้านของตายายแทบจะไม่มีคนอยู่เสียเลย บ้านปิดเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าคนหายไปไหนหมด “แม่ เขาไปไหนกันหมด ไม่เห็นมีใครเลย “ “เขาคงไปงานศพที่วัดละมั้ง” แม่หันมาตอบผม เราจอดรถที่หน้าบ้านของคุณตาแล้วพากันลงจากรถ ไปนั่งที่ชุดโต้ะรับแขกบริเวณชาญบ้าน ไม่นานรถของตาและยายก็มาจอดตามรถพ่อ ผมเห็นตายายแต่ชุดดำทั้งสอง หอบหิ้วถุงและของพะลุงพะลังเต็มสองมือ ผมจึงรีบวิ่งไปช่วยทั้งสองหิ้ว และมีเด็กชายรุ่นๆผมคนนึงเดินตามมาด้วย ผมแปลกใจว่านี่ใครหรือ เมื่อเราหิ้วของมาวางไว้แล้ว ตาก็มานั่งโต้ะนั่งตัวที่เหลือ
“นี่ อาชัย กับอาฝน ไหว้ซะสิ” ตาเริ่มเปิดประเด็นวงสนทนาขึ้น “สวัสดีครับ สวัสดีครับ” เด็กชายคนนั้นกล่าวไหว้ทักทายพ่อและแม่ผมที่นั่งอยู่ไกล้ๆ “นี่เจ้าเบส รู้จักกันไว้” เขาส่งยิ้มทักทายใส่ผมอย่างเป็นมิตร แต่ภายใต้รอยยิ้มที่เป็นมิตรนั้นแฝงไปด้วยความเศร้าเสียใจ หากจะให้ผมเดา ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดกับเขาแน่ๆ ผมยิ้มกลับอย่างใจดี แต่ก็ยังมีความคสงสัยและคำถามในหัวมากมาย ผมปลีกตัวออกจากวงสนทนานั้นเพราะเขาคุยเรื่องสัพเพเหระซึงค่อนข้างที่จะน่าเบื่อ ผมเดินเตร่เล่นมาจนถึงนาของตายายมองไปรอบๆมีแต่ท้องทุ่งนาสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีใสลมพัดโกรกเย็นสบาย ภาพนี้สวยเกินจะบอกใคร ผมนั่งเขี่ยดินเขี่ยหญ้าอยุ่ใต้ต้นตาลขนาดสูงที่ให้รุ่มเงาอยู่บริเวณนั้น
“เบส ลูก มานี่!!! เราจะกลับแล้ว” เสียงพ่อตะโกนเรียกผมแต่ไกล ผมตอบกลับเสียงนั้นดังสะนั่นทุ่ง”ค้าบบบบ กำลังไปพ่อ!!! พรางเดินจ้ำเอ้าอย่างรวดเร็ว พ่อกำลังช่วยเอาของบางสิ่งขึ้นรถ ตาก็เรียกผมเข้าไปหา ผมวิ่งไปกอดหอมแก้มตายายคนละฟอดใหญ่ “ไงละเอ็ง ยังดื้อซนอยู่ไหม ตั้งใจเรียนนะ จบมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคน” นี่แหละครับคือประโยคประจำตายายที่มักจะบอกผมทุกครั้งที่มา ผมไม่ตอบแต่ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับแทนคำพูด เสียงเครื่องยนต์รถพ่อดังขึ้น เหมือนสัญญาณว่าต้องออกเดินทางแล้ว “ไปก่อนนะตายาย ดูแลตัวเองดีๆนะคับ” ผมบอกลาทั้งสองแล้ววิ่งขึ้นรถทันที
มีต่อ…..
เรื่องเล่า by นกแสก
|