สวัสดีนักอ่านทุกท่าน ตามที่ผมเคยแจ้งไปแล้วว่าไม่ได้เป็นคนเขียนเรื่องนี้เอง แต่พบเห็นจากที่อื่นแล้วนำมาลงโดยไม่ทราบที่มา แต่ตอนนี้มีคนใจดีแจ้งเข้ามให้ทราบแล้วว่า เจ้าของนามปากกาผู้แต่งที่แท้จริงคือคุณ "virgogun" ได้เขียนนิยายเรื่องนี้ไว้โดยตั้งชื่อว่า "ก็เด็กมันหิว" ลงเป็นครั้งแรกในเว็บแห่งนี้นั่นเอง เมื่อปี 2018 นู้น ถ้าท่านได้อ่านกับต้นฉบับก็จะได้ซึบซับความสนุกตรงกับความต้องการของผู้เขียนมากกว่า เพราะตอนผมเจอเป็นข้อความเปล่าๆ แล้วนำมาเว้นวรรคแบ่งตอนและใส่รูปเอาเองตามจินตนาการของผมอีกทีนะครับ
แม่ใหญ่ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อหุงหาอาหารเช่นเคยชายหนุ่มไม่โอ้เอ้รีบตวัดมุ้งเก็บที่นอนให้เรียบร้อย ก่อนจะทำธุระส่วนตัว ล้างหน้าสีฟันแล้วรีบลงไปทำงานนาแต่วันนี้ปวดหลังเหลือเกินแล้ว ค่อนๆ เที่ยงคงวางมือแล้วตกบ่านคงต้องให้พ่อใหญ่ทองจับเส้นให้...อ๋อ.. แล้วก็ไปถามหากางเกงขาสั้นจากน้องชายมาไว้ใส่นอนสักตัว ไม่อยากจะนอนประเจิดประเจ้อนักเพราะพักนี้เด็กแอมมันดูแปลกๆเดี๋ยวเกิดปึ๋งปั๋งขึ้นมาผิดที่ผิดทางเด็กมันใจแตกกันพอดี
หลังจากก้มๆ เงยๆ ดำนาอยู่ตลอดเช้าทิดต้อมก็รู้สึกเหมือนจะไม่ไหวอาการปวดหลังและสะพานคอจากเมื่อวานเริ่มจะกำเริบขึ้นมาอีก ตอนสมัยครองผ้าเหลืองพอหน้านาก็เคยมาดำนาไถหว่านช่วยพ่อบ้าง แต่ก็ไม่เคยต้องกรำงานหนักขนาดนี้เพราะที่บ้านรู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นเพศบรรพชิต จึงไม่ค่อยจะสมควรที่จะต้องมายุ่งงานของฆราวาสแล้วพระต้อมยังมีอีกภาระหนึ่งที่ต้องทำคือไปเรียนหนังสือที่วิทยาลัยสงฆ์ในตัวจังหวัด ทางบ้านจึงไหว้วานให้มาช่วยงานนาเฉพาะตอนที่คนขาดแคลนและเร่งรีบเท่านั้นแม้อาจจะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อยที่มีพระใส่ผ้าเหลืองมาช่วยฆราวาสทำนา แต่บ้านไหนๆที่ยากจน และจำเป็นต้องส่งลูกชายไปบวชเรียนในแถบถิ่นนี้ ใครๆ ก็ทำกันจนเป็นเรื่องปกติดูเหมือนท่านพระครูจะเข้าใจปัญหานี้ของชาวบ้านดีจึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร
ชายหนุ่มลุกลี้ลุกลนบิดเอวสะบัดคออยู่หลายรอบจนเป็นที่สังเกตของเหล่าน้าๆ พี่สาว และแม่ น้าชายซึ่งลอบสังเกตอาการอยู่นานจึงทักขึ้น “ไหวไหมล่ะหม่อม?” (คนอีสานเรียกคนที่เคยบวชเรียนแล้วว่าหม่อม เหมือนคำว่า ทิด ในภาคกลางและคำว่าหนาน ในภาคเหนือ ) ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆไม่ว่าตอบยังไง แต่บรรดาญาติพี่น้องก็ดูออกว่าเขาคงจะไม่ไหวจริงๆ ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้แต่ตั้งแต่สึกมา ก็ไม่เคยมีวันไหนที่เขาพักกินแรงญาติพี่น้องคนอื่นของตนเองเลย ที่นา25 ไร่ที่มีอยู่ถึงแม้จะแม่ใหญ่จะแบ่งให้ลูกๆ ทุกคน หมดแล้วแต่พอถึงหน้านาทุกบ้านก็ต้องมารวมกันทำนา เพื่อให้ได้ผลผลิตเยอะที่สุดแปลงข้าวเหนียว ปลูกน้อยเก็บใส่ยุ้งไว้กินเอง แปลงข้าวจ้าว ปลูกเยอะ เพื่อนำไปขาย ส่วนแม่ของเด็กแอมที่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แม้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการทำนาแต่ก็ต้องมีส่วนร่วมในการส่งเงินค่าปุ๋ยและเงินค่าเก็บเกี่ยวทุกปีเช่นกัน
เมื่อทุกคนเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของไอ้ทิดสึกใหม่ ดังนั้นจึงออกปากไล่ให้กลับไปพักที่บ้านเสียฝนก็ตกปรอยๆ ตลอดทั้งวันเดี๋ยวจะพาลไม่สบายหนักเข้าไปใหญ่ชายหนุ่มเลยบอกความประสงค์ไปว่าพอขึ้นบ้านแล้วคงจะหาอะไรกินสักหน่อย ผลัดเสื้อผ้าแล้วจะเลยไปบ้านตาทองหมอจับเส้นประจำหมู่บ้านเพื่อให้จับเส้นทุเลาอาการปวดหลังให้ ทิดต้อมเร่งทำเวลาเพราะกลัวว่าระหว่างเดินทางฝนจะเทลงมาหนักว่าเดิม ตอนนี้แค่ปรอยๆ แต่ดูอาการแล้วบ่ายๆ น่าจะเทลงมาอย่างหนัก
หลังจากล้างตัวผลัดเสื้อผ้าเสร็จชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าเร่งไปยังบ้านพ่อใหญ่ทอง ในมือมีเพียงเศษกระดาษลังเก่าๆ ไว้บังคุ้มฝนแล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ทีเดียว ว่าถึงแม้จะเร่งฝีเท้าเท่าไหร่ก็ไม่อาจคาดเดาฝนฟ้าได้เพราะเมื่อเดินยังไม่ถึงครึ่งทางดี ฝนที่ตกเพียงปรอยๆ เมื่อครู่ก็เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กว่าจะถึงบ้านพ่อใหญ่ทองซึ่งปลูกอยู่เนินที่ดอนกลางทุ่งนา 50 ไร่ของแก ทิดต้อมก็เปียกแทบหมดทั้งตัวท่อนบนนี่เรียกว่าเปียกซกจริงๆ ดีแต่ท่อนล่างที่แค่พอชื้นๆ ที่เปียกจริงๆ คือขากางเกงสแลคตัวเก่าของพ่อที่ทิดต้อมนุ่งมา “ ใหญ่ทอง!.....ใหญ่ทอง!.....อยู่บ่?” ทิดต้อมตะโกนเรียนเจ้าบ้านแข่งกับเสียงฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตาแล้ว ตอนนี้ คำว่า “ใหญ่” เป็นคำเรียกอย่างย่อๆของคนอีสานที่ใช้เรียกผู้สูงอายุ ทั้งนี้เรียกนำหน้าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ชายหนุ่มกวาดสายตาไปรอบๆบริเวณบ้าน เคยเห็นไกลๆจากถนนเวลาเดินบิณฑบาตไม่คิดว่าเนินที่ดอนกลางนาที่พ่อใหญ่ทองใช้ปลูกบ้านจะร่มรื่นน่าอยู่ขนาดนี้เห็นแค่เป็นเนินเขียวๆจากไกลๆพอได้เข้ามาถึงรู้ว่า บ้านใต้ถุนสูงของเฒ่าทองสร้างจากไม้พยุงอย่างดีปลูกอยู่ท่ามกลางดงต้นหมากสูงเสียดยอดนับสิบๆ ต้นแซมด้วยต้นมะพร้าวกับต้นยางนาตามพื้นดิน มีปลูกต้นเฟิร์นแซมใบเตยและไม้ดอกอื่นๆมีกล้วยไม้ตามคาคบไม้ประดับประดาดูพิถีพิถันสุนทรีย์กว่าบ้านชาวบ้านคนอื่นๆ ในสมัยนั้น “ ใหญ่ทอง!.....ใหญ่ทอง!....” ชายหนุ่มตะโกนดังขึ้นพร้อมกับตักน้ำจากบ่อปูนเชิงบันใดบ้านมาล้างเท้าซึ่งตอนนี้เลอะโคลนจนถึงตาตุ่ม “เอ้วว...แม่นไผล่ะนั่น?” (เออ..นั่นใครล่ะนั่น)เสียงแหบห้าวปนแหลมอันเป็นเอกลักษณ์ของพ่อใหญ่ทองดังมาจากบนตัวเรือนพร้อมกับหน้าเหี่ยวๆที่เยี่ยมลงมามองหาคนที่เรียกตัวเองตาเฒ่าทองกำลังแทะเม็ดมะม่วงสุกอย่างเอร็ดอร่อยแกเสือกเม็ดมะม่วงตามยาวเข้าในปากไปกว่าครึ่งก่อนจะใช้เหงือกดูดดังจั๊บๆแล้วขย้อนคายออกมาปากย่นยู่บู้บี้จนหน้าพับไปครึ่งเหมือนนักแสดงตลกชื่อดัง สังข์ทองสีใสทิดต้อมแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “พ่อใหญ่กินมะม่วงทำไมไม่ใส่ฟันปลอม?” ชายหนุ่มถามเกือบหลุดขำ “โอ้ยย ใส่แข่วปลอมกะดูดเม็ดมันไม่ได้สิ...ว่ายังไงล่ะหม่อมขึ้นมาๆๆ..ทำไมถึงได้ตากฝนมาถึงนี่เปียกหมดแล้วนั่น ” ตาเฒ่าทองพูดพลางกุลีกุจอเปิดประตูไม้ระแนงหน้าบันใดให้ทิดต้อมทิดต้อมก้าวขึ้นบันใดอย่างกล้าๆกลัวๆ “ปวดเอ็นคอไปถึงหลังเหลือเกินแล้วพ่อใหญ่กลางคืนนอนก็ไม่อยากจะหลับมันร้าวลงไปถึงบั้นเอว” บอกเล่าอาการตนเองเสร็จชายหนุ่มก็พาตัวเองขึ้นถึงตัวชานเรือนพอดีเขาเชื้อเชิญตัวเองนั่งลงตรงพักชานของบ้านอย่างไม่ต้องให้เจ้าบ้านบอกพื้นกระดาษไม้แดงมันปราบเสียจนทิดต้อมรู้สึกเกรงใจไม่กล้าลุกล้ำเข้าไปข้างในได้แต่นั่งหมิ่นๆ อยู่ขอบชานบ้าน
ตาเฒ่าทองทิ้งเม็ดมะม่วงเกลี้ยงๆ นั้นไปหลังจากดูดดื่มความหอมหวานจนหมดแล้วแกตักน้ำจากตุ่มที่ชานบ้านล้างมือลวกๆ แล้วเช็ดกับกางเกงที่ใส่อยู่พอหมาดสายตามองชายหนุ่มผู้เป็นอาคันตุกะในวันเงียบเหงาคราวฝนตกอย่างพินิจพิเคราะห์โอ้ว..พอมีผมกับคิ้วแล้วหล่อไม่หยอกเลยทีเดียว ดั้งจมูกก็คมสันผิดกับชาวบ้านทั่วๆ ไปแถวนี้ ไรหนวดเขียวครึ้มนั่นตอนเป็นพระไม่เคยเห็นมาก่อนนี่ดูจะคล้ำขึ้นซินะ ..โถ คงต้องตากตรำทำนาแต่ล่ำสันขึ้นเยอะตรงไหนสมควรโป่งก็โป่ง ตรงไหนควรแน่นก็นูนเด่น เหมือนอย่างแผงหน้าอกภายใต้เสื้อเชิ้ตเก่าๆเปียกน้ำบางแทบขาดตัวนั้นไงยอดนมกลมนูนคล้ำตั้งชูชั้นต้านเสื้อเปียกออกมาเด่นเชียว “อ้าวทำไมไปนั่งซะไกลขนาดนั้นล่ะ เข้ามาๆ เข้านั่งข้างในเสื่อนี่พ่อใหญ่จะดูให้โอ้ว สงสัยจะก้มดำนาเยอะเกินไป คนไม่เคยทำก็อย่างงี้แหละ”
เฒ่าทองตบพื้นกระดานข้างตัวเรียกชายหนุ่มทิดต้อมเก้ๆ กังๆ ก่อนจะบ่นอุบว่าเสื้อผ้าเปียก กลัวเปื้อนพื้นกระดานบ้านเฒ่าทองจึงร้องบอกไม่ต้องเกรงใจ พลางเข้าไปหาหยิบผ้าขาวม้าผืนใหม่มาให้ชายหนุ่มได้ผัดเพราะยังไงตอนจับเส้นก็ต้องถอดเสื้อผ้าอยู่แล้วแกว่างั้นทิดต้อมนึกเอะใจนิดหน่อยตอนแกไปนวดให้ท่านพระครูที่วัดก็ไม่เห็นท่านต้องถอดอะไรสักชิ้นเฒ่าทองยัดผ้าขาวม้าใส่มือให้ชายหนุ่มผลัดบอกว่าต้องถอดเสื้อจะได้จับเส้นได้ถนัดไม่ทันได้ว่ายังไง แกก็หันไปปูผ้าผ่อนจัดขันดอกไม้บูชาครูก่อนนวดแล้ว ชายหนุ่มเลี่ยงไม่ได้ จึงค่อยๆ ผลัดผ้าออกตามความต้องการของหมอนวดเฒ่า
บัดนี้ร่างกำยำของทิดสึกใหม่มีเพียงผ้าขาวม้าผืนจิ๋วห่อหุ้มท่อนล่าง เดชะบุญที่กางเกงลิงไม่เปียก จึงไม่รู้สึกโล่งมากนักตอนนุ่งจีวรมันโล่งกว่านี้เพราะไม่ได้ใส่กางเกงในด้วยข้อบังคับของศาสนาตอนอยู่กับบ้านเค้าก็ไม่ค่อยใส่กางเกงในเพราะเคยชินกับตอนครองเพศบรรพชิตแต่ไม่มีครั้งไหนที่รู้สึกหวาดระแวงเท่ากับตอนนี้
|