น่าขอบคุณเด็กหนุ่มคนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมควบคุมร่างกายเขายืมมาใช้ต่างอาวุธ ก็ยังมีแก่ใจช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นได้แม้ว่าเนื้อตัวค่อนข้างมอมแมมจากการคลุกดินทรายเพราะสำลักน้ำบนบก. . .ประสบการณ์อันหาซื้อไม่ได้ เว้นแต่คุณจะกวนตีนผู้มีพลังพิเศษเท่านั้น ตลกร้ายชัด ๆ แต่เอาเถอะ เขาไม่รู้นี่นา ถ้าทราบว่าผมคือคนที่สะกดจิตเจ้าตัวจนเมื่อกี้ต้องพลอยเสี่ยงตายไปด้วย อาจจะอยากลากผมไปทิ้งในสระให้สำลักน้ำตายไปจริง ๆ ก็ได้ หลังจากพยุงผมพาไปนั่งบนม้านั่งเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็อาสาจัดการเรื่องอนามัยเบื้องต้นอย่างเปี่ยมน้ำใจ “นั่งพักตรงนี้ก่อนนะพี่ เดี๋ยวผมไปซื้อน้ำมาให้ล้างหน้า” “ขอบคุณครับ แต่ไม่ต้องลำบากหรอก พี่ไม่เป็นไรครับ แค่เมาแล้วสะดุดล้มนิดหน่อยเอง” กับคนที่เพิ่งเกือบสำลักน้ำตายหมาด ๆ จะซื้อน้ำให้ล้างหน้าคงไม่เป็นการดีเท่าไหร่หรอกนะ “ก็แล้วแต่พี่นะครับ ถ้าไม่เป็นไรแล้ว ผมคงต้องขอกลับบ้านก่อนนะครับ เดี๋ยวรถหมด” เขาลุกขึ้นหยิบเป้ขึ้นมาสะพายบ่า “ทำไมถึงช่วยพี่ล่ะครับ ทั้งที่ตัวเลอะเหมือนคนบ้าอย่างนี้น่ะ” ผมถามเพราะอยากรู้จริง ๆ ขอขัดจังหวะก่อนกลับบ้านสักนิดเถอะนะเด็กน้อย เด็กหนุ่มขมวดคิ้วครุ่นคิดคำตอบ . . . “. . .พี่. . .หน้าเหมือน. . .พี่ชายที่ผมนับถือคนหนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าใคร อาจเป็นเพื่อนบ้านสมัยเด็ก ๆ” เขาตอบ แม้เขาจะพยายามนึกให้ออก แต่ฝ่ายที่นึกได้ก่อนดันเป็นผมซะเอง เอฟ เด็กโรงเรียนเก่าที่ผมเคยสะกดจิตให้ร่วมปู้ยี่ปู้ยำอาจารย์ทรงเดชแล้วลบความทรงจำเป็นรายสุดท้าย! . . . “จริงสิครับ พี่นึกได้ว่ามีธุระด่วน ต้องขอตัวกลับเช่นกันครับน้อง ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะครับ” ผมไว้มาด ส่งยิ้มให้เอฟและลุกขึ้นอย่างสงบแม้เนื้อตัวจะเขรอะด้วยดินทราย ภายในใจเต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ เด็กคนนี้ไม่ควรได้พบเจอผมอีก ให้ตายสิ วันนี้ถือเป็นวันซวยที่สุดในรอบปีล่ะมั้งนี่ “ไหวนะครับพี่ ให้ผมเดินไปส่งไหม” เอฟถามเพื่อความแน่ใจ “ไม่เป็นไรครับน้อง. . .อุ๊บ!” ผมทรุดลง เจ็บแปลบกลางหลังบริเวณที่ถูกธนิกซัดลอยกระแทกเสา เขายิ้มเจื่อนแหะ ๆ เมื่อเห็นว่าคำพูดของผมกับภาพที่เห็นช่างขัดแย้งกันเหลือเกิน “เอ่อ. . .ผมว่าไปส่งดีกว่า” จนแล้วจนรอด เอฟก็มาส่งผมถึงรถจนได้ และคงแล้งน้ำใจเกินไปถ้าจะไม่เอ่ยปากให้ติดรถตามมารยาทที่พึงกระทำต่อผู้ให้ความช่วยเหลือ ผมจึงตกลงกับเขาว่าจะขับไปส่งที่ป้ายรถเมล์ให้จะได้ไม่ต้องเดินไกล “ไปนั่งเล่นที่สวนคนเดียวเหรอครับน้อง” ผมชวนคุยเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งเงียบเกร็ง “เปล่าครับ” เอฟตอบสั้น ๆ เหม่อหันมองวิวนอกหน้าต่างรถ “. . .” . . . .อ้าว เด็กคนนี้นิ อย่าทำให้บรรยากาศอึมครึมสิ “ไปให้แฟนบอกเลิกน่ะครับ” ต่อจากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะตอบส่ง ๆ คงเพราะคิดว่าควรตอบให้เต็มประโยคตามมารยาทที่อาศัยรถคนแปลกหน้ากระมัง “ขอโทษครับพี่ไม่น่าถามเลย” “ช่างมันเหอะพี่ ผมไม่คิดมากครับ” เห็นได้เลยว่าเขาฝืนยิ้ม แม้เป็นเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่การพยายามดันทุรังหาหัวข้อสนทนาเพื่อรักษามารยาทสังคมทั้งที่สภาพจิตใจไม่พร้อมทั้งสองฝ่าย ทำให้บรรยากาศพูดคุยไม่ต่างอะไรกับละครชั้นเลวที่มีแต่นักแสดงเล่นแข็งทั้งเรื่อง กระนั้นก็ยังคงต้องเล่นไปตามหน้าที่จนกว่าจะจบตอน นั่นคือส่งน้องเอฟถึงป้ายรถนั่นเอง “ขอบคุณครับพี่” เอฟยกมือไหว้ “ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ อย่าเมากลิ้งที่ไหนอีกล่ะครับ” เขาโบกมือส่งยิ้มให้ก่อนลงจากรถ “เช่นกันครับ ดูแลตัวเองด้วยนะครับเอฟ” . . . . . บรรลัยแล้ว หลุดชื่อออกมาจนได้ . . . “เดี๋ยวนะครับ. . .” เอฟหยุดเท้าไว้ครึ่งก้าว “พี่รู้ชื่อผมได้ไง?” “เอ่อ . . เดาเอาครับว่าน่าจะชื่อเอฟ” . . . . . บ้าจริงผม ตอบแบบนี้ยิ่งขุดหลุมฝังตัวเองลึกลงไปอีก . . . “ถามจริง เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่าครับ?” เด็กเวรเอ้ย รีบกลับไปเถอะขอร้อง “ปิ๊นน!!” เสียงแตรรถคันข้างหลังสื่อแทนคำด่าดังเสียดแทงแก้วหู “พี่ต้องไปแล้วล่ะครับ โชคดีนะครับ” ผมใช้คำพูดสื่อทางอ้อมว่าเขาควรจะลงไปได้แล้ว “ครับ ๆ ขอบคุณครับ” เขาเลิ่กลั่นลงจากรถทันที กระนั้นก็ยังไม่ละสายตาที่แสดงถึงความเคลือบแคลง ในสถานการณ์ปกติ หากมีใครมาบีบแตรใส่ผมเสียงดังแบบนี้ คนขับอาจกลายสภาพเป็นโคโยตี้ลุกขึ้นถอดเสื้อเต้นบนหลังคารถกลางถนนก็เป็นได้ . . . แต่งานนี้ต้องขอบคุณเจ้าของรถขี้ใจร้อนที่ช่วยชีวิตไว้ได้หวุดหวิดจริง ๆ . . . . . ผมเดินสะบักสะบอมกลับเข้าบ้าน โซเซเหมือนผีดิบคืนหลุม ได้เจอกับธนิกเพียงครั้งเดียวไม่เหลือแววนักธุรกิจหนุ่มมาดนิ่งอยู่เลย “ว้าย! ตาเถรยายชี! คุณเตอร์ไปทำอะไรมาคะนั่น!?” ไม่รู้เป็นเพราะอะไร น้าบัว แม่บ้านของบ้านหลังถัดไปถึงชอบบังเอิญเห็นผมในสภาพไม่อยากให้เป็นที่สังเกตอยู่ร่ำไป ดึกป่านนี้ยังจะออกมาเล่นกับแมวขาวตัวโปรด “ฟัดกับหมามาครับน้า” ผมตอบเธอพร้อมประชดโชคชะตาตนเองไปด้วยในตัว “หมาที่ไหนคะ” น้าบัวช่างเป็นคนซื่อจริง ๆ แต่ก็คงดีแล้วที่เธอเข้าใจไปอย่างนั้น “หมาบ้ากลายพันธุ์ครับ” ประตูบ้านปิดลงด้วยเสียงดังกว่าที่ควรจะเป็น แม่บ้านบัวยังคงยืนงงนิ่ง . . . “คงเป็นหมาที่ดุมาก เล่นแรงจริง ๆ ” เธอรำพันพลางเกาคางแมว . . . หลังอาบน้ำชำระร่างกาย ผมล้วงหากระดาษพับที่ธนิกยัดใส่กระเป๋ากางเกงไว้ เมื่อคลี่ออกดูก็พบเบอร์โทรศัพท์กับชื่อเขาที่ระบุให้รู้ว่าเบอร์ของใครเท่านั้น ผมขยำและดีดทิ้งไปไกล ๆ เหมือนดีดขี้มูก ยังมีเรื่องที่ผมต้องวางแผนอีกมากมาย ล้วนแต่เป็นเรื่องใช้ทั้งสมองและเวลา เรื่องอะไรจะยอมเป็นเบ๊คนซาดิสต์ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบเจ้านั่น ต่อให้อ้างว่าเป็นสายเลือดแห่งอนาคตหรืออนาถาอะไรก็เถอะ ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย หลับตาก่ายหน้าผากด้วยความบอบช้ำและอ่อนเพลีย นานมาแล้วที่ไม่เคยเจ็บทั้งกายและใจหนักหน่วงพร้อมกันเช่นนี้ . . . . นานเท่าไหร่กันนะ . “แม่ไอ้เต๋อขายน้ำ แต่กูว่าแม่มันน่าจะเพิ่มน้ำอย่างอื่นเข้าไปด้วยนะ แบบที่คนเค้าไม่กล้าขายกันน่ะ” เสียงฮาครืนดังขึ้นกลางช่วงพักระหว่างคาบเรียน “ขายน้ำมันผิดตรงไหน! เกรซว่าแม่ผมทำไม!” เต๋อเอ็ดกลับ “ผิดตรงที่รำคาญลูกตาพวกเราไง” เกรซยักไหล่ “ครูวิไลให้อภิสิทธิ์มึงตลอดเลย จ่ายค่าเทอมก็ช้ากว่า ทำรายงานก็ไม่ต้องเข้าเล่มเหมือนพวกเรา วิชาดนตรีครูก็คอยขอยืมของคนอื่นมาให้มึงเล่น แล้วอีกอย่างนะ ค่าสมทบทุนสร้างอาคารเรียนคนอื่นเค้าให้กันเป็นหลักหมื่นหลักแสน ที่บ้านมึงให้กี่ตังค์เชียว” “. . .” เต๋อก้มหน้า “ร้อยเดียวค่า น้องจอยแอบไปดูรายชื่อผู้บริจาคมาแล้ว” เด็กหญิงจอยตอบแทนให้ดังได้ยินทั่วกัน เสียงหัวเราะระเบิดตูมอีกครั้ง “อย่าไปขำเค้าสิพวกมึง ดูถูกเงินร้อยเดียวได้ยังไง ค่าตะปูค่าน็อตก็พอไหวอยู่นะ” ใครคนหนึ่งแทรกมุกเข้ามากลางวง คราวนี้จึงฮายกชั้นแม้แต่คนเส้นลึกที่สุด ยกเว้นบางคน . . . . . . “เดี๋ยวนะเพื่อน ๆ ภูมิคิดว่าเราน่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยกันนะ” ภูมิเดินเข้ามากลางวง “เปลี่ยนเป็นว่าภูมิจะไปกินอะไรกับจอยเย็นนี้ใช่ไหมล่า” จอยพยายามทำให้เป็นเรื่องสนุก แต่เกรซไม่สนุกด้วยเพราะเธอไม่ต้องการให้ใครเบี่ยงประเด็น “เธออย่าเข้าข้างมันสิภูมิ ไม่เห็นเหรอว่ามันเอาเปรียบพวกเราแค่ไหน” “แต่เต๋อก็ช่วยเก็บขยะตามชั้นเรียนนะ ครูหลายคนถึงได้เอ็นดูแล้วก็พยายามช่วยเหลือ” ภูมิพยายามแสดงเหตุผล “จริงด้วย ที่ภูมิพูดขึ้นมาก็ถูก แต่นั่นมันหน้าที่ภารโรงนะคะเธอจ๋า ต๊ายตาย! ยากจนถึงขนาดต้องแย่งซีนภารโรงเอาตัวรอดกันเลยนะคะ” จอยยิงมุกทำคนหัวเราะท้องแข็ง การที่ภูมิพยายามช่วยดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง “มึงอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่รู้จักอยู่ในที่ที่สมฐานะ ที่นี่โรงเรียนคนรวยนะไม่ใช่องค์กรการกุศล บอกตรง ๆ กูเหม็นขี้หน้ามึงกับแม่รู้ไว้ด้วย” วาจาจากเกรซทำให้บรรยากาศตึงเครียดลงทุกที เต๋อรู้สึกเหมือนถูกไล่ต้อนจนมุม . . . “จบซะทีเถอะ แกล้งมันทำไม” เด็กชายคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง “ต๊ายตาย! หนุ่มไม้หน้ามนก็เอากะเขาด้วย อยากเป็นพระเอกหรือไงคะ” จอยเอามือทาบอก ดูก็รู้ว่าจริตจะก้านเกินพอดี “อีกไม่นานก็จะถึงฤดูโหวตจตุรเทพประจำรุ่นแล้ว กำลังแข่งกันทำคะแนนมั้ง” เกรซเบ้ปากกระทบกระเทียบ “ว้าย! นังเกรซ แกหลอกแขวะภูมิรึไงยะ แบบนี้ตบกันเลยดีกว่า” จอยพูดทีเล่นทีจริง “ภูมิน่ะไม่เท่าไหร่ ไม่ทำตัวขี้เก๊กน่าหมั่นไส้ เหมือนใครบางคน” เมื่อกล่าวจบ เกรซบุ้ยใบ้มองไม้ด้วยหางตา “ไร้สาระว่ะ” จังหวะที่ไม้พูดหมดเวลาพักระหว่างคาบเรียนพอดี ประกอบกับช่วงนาทีทองรุมยำเต๋อหมดความมันส์ลงเมื่อมีภูมิและไม้ซึ่งมีอิทธิพลในห้องเข้าแทรก ทุกคนจึงเริ่มเดินทยอยออกจากห้องไปเรียนคาบวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นคาบต่อไปอีกตึกหนึ่ง “ไปกับกูดีกว่าเต๋อ วันนี้มึงมานั่งข้างกูก็ได้” ไม้พยักหน้าเรียกเต๋อให้ออกจากห้องไปด้วยกัน “ขอภูมินั่งด้วยคนนะ” ภูมิตั้งท่าจะตามไปอีกคน เกรซไม่พอใจอย่างมากเมื่อเห็นสามคนนี้หันหลังให้เป็นนัยว่าคำด่าที่ตั้งใจสำรอกมีอานุภาพน้อยกว่าที่คาดไว้ “ปกป้องกันเข้าไปนะ! อีลูกแม่ค้าเนี่ยมันมีอะไรดี! หรือว่าเป็นตุ๊ดเป็นเกย์กันไปหมดแล้ว!” เธอสะกดทุกคนด้วยน้ำเสียงเฉียบคมชัดเจน “อีเกรซ! อีปากเสีย!” จอยขัดขึ้น แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ได้ยิน มีเรื่องสำคัญกว่านั้น บรรยากาศของการแตกหักกำลังก่อตัว . . . “บ้านมึงมันขี้ขอทั้งบ้าน! ชอบทำตัวให้คนอื่นสงสารแต่ไม่ยอมเจียมตัว บอกให้แม่ไปอัพเกรดขายน้ำหีเพิ่มไป๊! เผื่อจะลืมตาอ้าปากได้ แม่มึงเหมาะเป็นกะหรี่ที่สุดแล้ว!” . . . “เกรซว่าไงนะ” เต๋อทวนขึ้นเบา ๆ “แม่มึงเหมาะไปเป็นกะหรี่ขายหี! ชัดไหม!” ถึงภูมิจะเอ๋อ แต่ไวในเรื่องความไหวรู้สึก . . “เต๋อ! อย่า!” ภูมิคว้าแขนเต๋อไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการ เต๋อพุ่งผลักเกรซล้มกระแทกพื้นดังโครม “ไอ้เต๋อ! ใจเย็นก่อน!” ไม้เข้าล็อคตัวเต๋อจากด้านหลังและจับแยกออกจากกันก่อนจะเกิดการชกต่อยกันขึ้น “อย่า. . . .ให้มันมากไปนัก” เต๋อพึมพำปากสั่นระริกด้วยความโกรธ จอยช่วยเกรซค่อย ๆ พยุงตัวขึ้น ระหว่างนั้นสังเกตได้ว่าทั้งสองกำลังกระซิบอะไรบางอย่าง . . . “งั้นมึงก็อย่ามาเล่นกับคนอย่างกู” เธอขยี้ผมตัวเอง ทึ้งเสื้อผ้าจนกระดุมขาดหลุดหลุ่ย สูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดเต็มที่ กลุ่มเด็กชายมองว่าเกรซคงโกรธจนเสียสติแล้ว . . . “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” สองสาวกรี๊ดร้องลั่นดังทั่วชั้น โดยเฉพาะจอยซึ่งมีคอหอยที่ส่งเสียงหวีดแหลมเกินคนทั่วไป เด็กชายทั้งสามตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “น้ำหวาน เธอช่วยบอกให้สองคนนี้สงบสติอารมณ์หน่อยสิ!” ไม้หันไปพึ่งน้ำหวาน เพื่อนหญิงคนสุดท้ายที่ยังไม่ออกจากห้องเรียนโดยหวังว่าผู้หญิงด้วยกันจะคุยง่ายกว่า แต่เธอก็อยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงถึงได้เพียงนี้ “เกรซ จอย หยุดก่อนนะ ฟังเราหน่อย” น้ำหวานพูดแต่ก็ดูเหมือนจะช้าเกินไปแล้ว “เอะอะอะไรกัน!!” ทุกคนที่เหลือในห้อง 3/3 หันไปทางเดียวกันหมด อาจารย์ทรงเดชยืนกอดอกถือไม้เรียว พร้อมด้วยนักเรียนทั้งชั้นที่แห่กันมาหาต้นเสียงแน่นขนัดอยู่นอกห้อง . . . . . ภายในห้องปกครองคุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด ครูฝ่ายปกครองต่างว้าวุ่นกับการไต่สวนพิจารณาคดีทะเลาะวิวาทที่เกิดเมื่อครู่ พร้อมด้วยคู่กรณีและพยานที่อยู่ในเหตุการณ์อันได้แก่ เต๋อ เกรซ จอย ไม้ ภูมิ และน้ำหวาน เต๋อได้แต่นั่งก้มหน้าสลด “เนี่ยค่ะครู เขาผลักหนูล้มลงแล้วขึ้นคร่อม กระชากเสื้อผ้าขาดวิ่นเลยค่ะ” เกรซก้มมองทั่วร่างอย่างสมเพชตนเอง “แต่ภาพที่ผมเห็น . . .” ภูมิแทรก แต่เสียงของจอยดังกลบ “คือก็ไม่เข้าใจอ่ะค่ะว่าเค้าหูเฝื่อนหรืออะไร เกรซแค่บ่น ๆ ว่าอยากดื่มอะไรเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ แม่เต๋อน่าจะทำน้ำกระเจี๊ยบขายเพิ่ม แต่เค้าได้ยินเป็น . . . ขอโทษนะคะ กระเจี๊ยวหรือกะหรี่อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ แล้วก็ตะคอกกลับมาว่ามึงสิอีกะหรี่ อย่าเล่นถึงแม่กู” จอยร่ายยาวแทนเพื่อน ทั้งสองตีหน้าได้สมกับบทบาทผู้ถูกกระทำ “ไม่จริง เกรซเป็นฝ่ายด่าน้าทิพย์ตรง ๆ เลย!” ไม้พูดขึ้นบ้าง “จะบ้าเหรอไม้ เค้าอยู่ของเค้าดี ๆ ใครจะไปด่า ฉันไม่ใช่คนโรคจิตนะที่จะเที่ยวด่าคนอื่นแบบไร้เหตุผล” เกรซตอกกลับ “โห. . .กล้าพูดเนอะ เธอน่ะโรคจิตของแท้ ที่ลับเป็นอย่างหนึ่ง ที่แจ้งเป็นอีกอย่าง แยกวิธีคิดวิธีพูดออกจากกันคนละทางเลย เหมือนในหนังฆาตกรโรคจิต. . . ” ไม้นึกคำพูดต่อ “หมายถึงพวกบุคลิกซ้ำซ้อนใช่รึเปล่า” ภูมิต่อให้ “ภูมิ!!” เกรซชักสีหน้าใส่ “เปล่านะ ภูมิไม่ได้ว่าเกรซ แค่เห็นไม้อยากจะใช้ศัพท์เฉพาะแต่นึกคำเรียกไม่ถูก ภูมิก็เลยพูดแทนให้” ภูมิเกาหัว ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน “ผมไม่ผิด! เกรซด่าแม่ผมก่อน!” เต๋อชักเสียงขึ้น “เกรซเข้าใจนะแม่ใครใครก็รัก เป็นเกรซก็คงทนไม่ได้ถ้ามีใครมาลามปามถึงแม่ ก็อาจจะลงไม้ลงมือเหมือนกัน แต่ปัญหาของเรื่องนี้มันอยู่ตรงที่ เกรซไม่ได้ด่าแม่เต๋อ เต๋อเข้าใจผิดไปเอง” “เธอเครียดหรือเก็บกดอะไรหรือเปล่า เวลาเรียนก็นั่งอยู่คนเดียวไม่คุยกับใครเลย” จอยมองเต๋อด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ “ไม่มีใครอยากคุยกับผมต่างหาก” เต๋อกัดฟันตอบ “อย่าไปเชื่อพวกเค้าครับครู จอยกับเกรซสนิทกันมาตั้งนานแล้ว ใครก็รู้” ไม้ช่วยต้านไม่ให้พวกผู้หญิงพตักตวงความชอบธรรมเพียงฝ่ายเดียว “โอย จะบ้าตาย เด็กมันก็เข้าข้างพวกเดียวกันทั้งนั้นแหละ ฉันจะเชื่อใครได้” หญิงร่างท้วมวัยกลางคนซึ่งดำรงตำแหน่งครูหัวหน้าฝ่ายปกครอง นั่งบีบนวดหน้าผากตัวเองให้คลายจากความปวดเศียรเวียนเกล้า . . . แต่ดูเหมือนว่าภาระสมองของเธอจะยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ . . . “ลูกเกรซคะ เป็นไงบ้าง!!” สาวสูงสง่างามสมวัยราวสี่สิบ เดินหลังตรงก้าวขาฉับ ๆ เข้ามาในห้องฝ่ายปกครอง สัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้เธอเข้าสวมกอดลูกสาวด้วยความเป็นห่วงทันที “ตายจริง. . . คุณพระคุณเจ้า!” เธอป้องปากตกใจเมื่อได้เห็นลูกสาวอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง “คุณแม่คะ เกรซกลัวเหลือเกินค่ะ” เกรซบีบหน้าพยายามรีดน้ำตา แม้จะไม่มีไหลออกมาสักหยดแต่ขอให้ได้อารมณ์ใกล้เคียงที่สุดก็ยังดี “แค่นี้ต้องตามแม่มาด้วย งานการไม่มีให้ทำหรือไง” ไม้บ่นอุบอิบ “ไม้ ไม่เอาน่ะ” วิไล ครูหญิงวัยใกล้เกษียณที่ปรึกษาห้อง 3/3 ตีบ่าลูกศิษย์เบา ๆ หลังบังเอิญได้ยิน “ฉันคิดว่าโรงเรียนนี้จะมีแต่ลูกผู้ดีมีการศึกษาซะอีกถึงให้ลูกเรียนที่นี่ พวกคุณปล่อยให้เกิดเหตุรุนแรงกับลูกฉันได้ยังไง แถมเป็นผู้ชายรังแกผู้หญิงด้วย” “ฟังเราก่อนเถอะค่ะคุณดารินทร์ . . .” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ย “ฉันไม่ฟัง! เสียความรู้สึกนะคะที่อุตส่าห์ให้ความไว้วางใจอุปการะโรงเรียนตลอดมา ฉันช่วยพวกคุณไปตั้งเท่าไหร่เพื่อครูนักเรียนได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีที่สุด จะจัดงานการกุศล โต๊ะจีน ส่งซองมากี่ครั้งฉันก็ไม่เคยอิดออด! แค่ดูแลให้ลูกฉันปลอดภัยในรั้วโรงเรียนแค่นี้ยังทำไม่ได้! แล้วยิ่งฉันเป็นประธานมูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็ก แต่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับลูกสาวตัวเอง มันไม่ตลกเกินไปหน่อยหรือคะ!” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครอง ครูวิไล และอาจารย์ทรงเดชทำได้เพียงทอดสายตามองหาอะไรก็ได้ที่จะช่วยไม่ให้ต้องสบตาผู้หญิงคนนี้ตรง ๆ เด็ก ๆ ทุกคนพร้อมใจกันก้มหน้าเงียบราวกับอยู่ต่อหน้าองค์ราชินีสูงศักดิ์ ไม้แอบสังเกตได้ว่าเกรซและจอยกำลังใช้ความพยายามยิ่งยวดในการกดเก็บหัวเราะ “แต่อย่างน้อยคุณก็น่าให้เด็กที่อยู่ในเหตุการณ์ได้มีโอกาสพูดก่อนนะคะ แล้วใครผิดใครถูกค่อยให้ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ตัดสิน น่าจะยุติธรรมกับทุกคนนะคะ” ในที่สุด ครูวิไลก็กล้าเป็นฝ่ายต่อรองกับแม่เกรซขึ้นเป็นคนแรก “ก็ได้ค่ะ แต่ก่อนอื่นฉันขอดูหน้าคนที่ทำลูกเกรซก่อน” “เข้มแข็งไว้นะเต๋อ” ภูมิหันไปส่งกำลังใจ “เธอรึเปล่า?” เป็นอย่างที่คิด ดารินทร์เดาถูกง่ายดายโดยพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกของเต๋อที่ผิดแผกแปลกแยกออกจากเด็กคนอื่น ๆ ทั้งเสื้อผ้าและผิวพรรณ “ใช่. . .ครับ” เต๋อรับ “นี่ลูกเจ๊ขายน้ำหลังโรงเรียนนิ ฉันจำได้” แม่ของเกรซรำพัน “หึ น้าก็ไม่ชอบตัดสินคนที่เปลือกนอกหรอกนะ แต่เดาไม่ค่อยจะพลาดหรอก เป็นผู้ชายภาษาอะไรถึงรังแกผู้หญิง” ดารินทร์เหยียดปากถาม เธอทำหน้าราวพูดอยู่กับกองอุจจาระ “ไหนป้าบอกจะฟังพวกเราทุกคนก่อนไง!” ไม้แทรกขึ้น ดารินทร์เปลี่ยนเป้าหมายจรวดนำวิถีชั่วคราว “ใช้คำเรียกผู้ใหญ่แก่เกินอายุจริงมันเสียมารยาทนะคะ” เธอท้วงขึ้นด้วยอาการเก็บความรู้สึก “แล้วอายุจริง ๆ ของคุณเท่าไหร่กันละครับ” ไม้สวนกลับ “ภูมิว่าไม้คำถามของไม้กำกวมนะ ไม่ควรใช้คำว่า “อายุจริง ๆ ” เพราะจะทำให้คนฟังสับสน ถ้าเป็นงานวิจัยต้องระบุก่อนว่า “อายุจริง ๆ” ในที่นี้หมายถึงอะไรเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ชี้วัดจากอะไร อายุทางกาย หรือว่าอายุทางความคิด ตัดสินจากอะไร ระบบปฏิทิน หรือว่าไอคิวอีคิวเทสต์ ไม่งั้นคนอ่านเปเปอร์อาจตีความไปคนละทาง อย่าลืมสิว่า. . . .” ภูมิถือโอกาสให้ความรู้กับเพื่อนอย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่ทันสังเกตว่าทุกคนกำลังอยู่ในภาวะคล้ายกลัวเครื่องบินรบทิ้งระเบิด ดารินทร์โกรธจนเลือดฝาดทั่วหน้า แม้เครื่องสำอางก็ปิดไม่มิด . . . “เงียบได้แล้ว!” อาจารย์ทรงเดชฟาดไม้เรียวลงโต๊ะประดุจเปาปุ้นจิ้นสั่งเปิดศาล การสอบสวนเริ่มขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นทางการต่อหน้าดารินทร์ ข้อมูลที่ได้จากทุกฝ่ายไม่ต่างจากรอบแรกเท่าไหร่นัก ประดุจว่าพิธีกรรมนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้แม่ของเกรซซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของโรงเรียนพอใจเท่านั้น . . . ระหว่างการไต่สวน ครูวิไลเดินแอบเข้ามาหาเต๋อ “ป่านนี้คุณแม่เธอน่าจะมาแล้วนะ คงกำลังเตรียมของขายอยู่หลังโรงเรียน ให้ครูไปตามคุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อนไหม” ครูวิไลปลอบโดยการลูบหัวเต๋อ “ครับ” เต๋อรีบไหว้ขอบคุณและพยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายมีแม่คอยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ตัวของเต๋อเองก็คงมีความต้องการที่พึ่งทางใจไม่ต่างกัน ทั้งที่ครูวิไลอายุค่อนข้างมากแล้วแต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ยอมลำบากเดินไปถึงหลังโรงเรียนเพื่อชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเองและเชิญให้แม่ของเต๋อมาอยู่เคียงข้างลูกชายที่กำลังตกอยู่ในสภาพกำลังแย่ ไม่นานนัก ทิพย์ ผู้เป็นแม่ก็เข้ามานั่งร่วมเป็นประจักษ์พยาน . . . “ไม่เป็นไรนะลูก” ทิพย์กุมมือลูกชายไว้แน่น “แม่ครับ ผมไม่น่าเลย” เต๋อตัดพ้อ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้คงจะไม่เอาไม้ซีกไปงัดซุงจนเรื่องบานปลาย การไต่สวนพยานเดินมาถึงขั้นสุดท้ายซึ่งเหลือพยานอีกหนึ่งคนคือน้ำหวาน “เธอเห็นอะไรบ้าง” หัวหน้าครูฝ่ายปกครองถาม น้ำหวานเหลียวซ้ายแลขวาราวกับต้องการเช็คว่าทุกคนพร้อมจะฟังเธอแล้วหรือยัง “เกรซ. . . เป็นคนเริ่มก่อนค่ะ เขาด่าแม่เต๋อจริง ๆ” เธอตอบโดยไม่สู้สายตาฝ่ายเกรซ “ไม่จริง! ลูกน้าน่ะนะจะด่าบุพการีคนอื่น” เธอขัดขึ้นอีกดังที่ผ่านมาทุกครั้งระหว่างการไต่สวนจนทุกคนเริ่มจะชินแล้ว ปากบอกยินยอมรับฟังทุกความเห็นแต่เมื่อไม่ตรงกับที่ตัวเองอยากได้ยินก็คอยแทรกอยู่เนือง ๆ “พอเต๋อได้ยินดังนั้น ก็เลยผลักเกรซลง เขาทำไปเพราะความโมโหที่ถูกด่าถึงแม่” น้ำหวานพูดต่อ “เห็นไหมครับ น้ำหวานไม่มีนอกมีในแท้ ๆ ก็ยังพูดแบบเดียวกับเราเลย” ไม้เสริม แต่ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองตอบสนองด้วยการมองลอดแว่นแทนคำพูดว่าอย่าแทรกกลางคัน “แล้วยังไงต่อล่ะ. . .” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองถาม “เต๋อทำใจดี ๆ นะ แม้แต่น้ำหวานยังอยู่ข้างเรา ทุกอย่างไม่แย่ไปกว่าที่คิดหรอก” ภูมิตบไหล่ให้กำลังใจเบา ๆ . . . . . แต่แล้ว จู่ ๆ น้ำหวานก็มีท่าทีเปลี่ยนไป เด็กสาวใช้สองมือปิดหน้าไม่พูดไม่จา . . . . . “เธอเป็นอะไรไป” ครูวิไลตรงเขาไปหาน้ำหวาน ทุกคนมองด้วยความฉงน เธอสั่นสะอื้น . . . “น้ำหวาน เธอเป็นอะไร” วิไลย้ำอีกครั้งพลางเขย่าตัว “พอที! หนูทนไม่ไหวแล้ว!” เธอระเบิดน้ำตาออกมา “ทุกคนยกโทษให้หนูด้วย หนูไม่มีเจตนาโกหกใครเลย!” “ตกลงหมายความว่ายังไงกันแน่” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองเริ่มสับสน “ตอนแรกหนูสงสารเต๋อถึงได้พูดไปอย่างนั้น แต่. . . ฮือ ยิ่งโกหกหนูก็ยิ่งละอายใจตัวเอง อายคุณแม่เกรซที่ทำงานเพื่อผู้หญิงมาตลอด อายคุณครูทุกคนที่ดีกับหนู ฮือ” “เต๋อ เราขอโทษนะ เราสงสารเธอ แต่เราคิดว่าการโกหกไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง” เธอหันมาพูดกับเต๋อทั้งน้ำตา “นี่เธอ. . .” ไม้เบิกคิ้วกว้าง ไม่คิดว่างูพิษร้ายแรงที่สุดในกลุ่มคือตัวที่สีสันไม่ฉูดฉาด “เกรซแค่พูดกับจอยว่าอยากดื่มน้ำกระเจี๊ยบ คุณแม่เต๋อน่าจะทำขายบ้าง แต่เต๋อได้ยินเป็นคำหยาบไปเอง จากนั้นเขาก็พลักเกรซล้มลงและฉีกเสื้อผ้าออก” น้ำหวานกล่าวต่อทั้งน้ำตา เต๋อกับภูมิไม่รู้จะแก้เกมยังไง เธอกำลังโป้ปดมดเท็จแท้ ๆ แต่สามารถกุเรื่องพร้อมควบคุมตัวแปรรอบด้านให้ออกมาดูสมจริงได้ “หนูกราบขอขมาคุณน้าทั้งสองด้วยนะคะ ถ้าหากมีคำพูดใดที่ทำให้ไม่สบายใจ แต่นี่คือทั้งหมดที่หนูเห็นกับตา” น้ำหวานก้มลงไหว้คุณแม่ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย “เธอไม่ต้องห่วงน้ำหวาน มีอะไรพูดออกมาอีก ครูรับประกันว่าจะให้ความคุ้มครองเธอ” ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองช่วยหนุน เธอไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่เธอรับรู้นั้น ถูกจัดเตรียมไว้ด้วยมาตรฐานไม่ห่างจากละครเวทีขนาดย่อมเท่าไหร่เลย “ไม่มีอะไรแล้วค่ะ อย่าให้หนูต้องทำร้ายเต๋อไปมากกว่านี้เลย เขาไม่ตั้งใจจริง ๆ เชื่อหนูเถอะค่ะ” น้ำหวานหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับคราบน้ำตา “หนูจ๋า มาหาน้าหน่อยสิจ๊ะ” ดารินทร์เรียกน้ำหวานเข้าไปหา “หนูทำถูกแล้วที่กลับใจพูดความจริง แม้จะตัดสินใจผิดไปในตอนแรก น้าก็ไม่ถือโทษหรอก” เธอฟันธงไปแล้วว่าน้ำหวานคือพยานที่น่าเชื่อถือที่สุด “ดีกว่าเด็กบางคนที่ช่วยกันโกหกหน้าตาย แม้กระทั่งนาทีสุดท้าย” เธอค้อนไปทางฝั่งเด็กผู้ชาย “แล้วคุณละคะ จะว่ายังไง” ดารินทร์หันไปทางทิพย์ เธอทำได้เพียงกลืนความชอกช้ำลงคอ ลำพังแค่บากหน้าให้ลูกชายเข้าเรียนโรงเรียนมาตรฐานสูงเกินฐานะความเป็นอยู่ก็ลำบากยากเข็ญแล้ว หากแข็งข้อกับผู้อุปการะรายใหญ่ของโรงเรียนเห็นทีจะหมดอนาคตทั้งแม่ทั้งลูก . . . . . “ดิฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ” แม้จะนั่งบนโซฟายาวตัวเดียวกัน แต่ทิพย์ก็แข็งใจพอที่จะก้มลงกราบจรดตักดารินทร์ “แม่!” เต๋ออุทาน ความรู้สึกในตอนนี้ผสมปนเปไปทั้งความผิดหวัง ความพ่ายแพ้ ความสะเทือนใจ จนยากจะแยกที่จะบอกว่ารู้สึกอย่างไหนมากกว่ากัน “เด็ก ๆ ออกไปก่อนนะ ยกเว้นเต๋อกับเกรซรออยู่ก่อน” ครูวิไลต้อนเด็กคนอื่นออกไปเนื่องจากเห็นคนนอกไม่ควรได้เห็นภาพสะเทือนความรู้สึก และอยู่คุมเชิงด้านนอกป้องกันการแอบดูหรือแอบฟัง . . . “โถ ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอกค่ะคุณ มันไม่เป็นตรรกะค่ะ โอเคหล่ะฉันยอมรับคำขอโทษจากคุณ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะชดเชยความผิดของลูกคุณได้ ถึงขั้นล่วงละเมิดร่างกายนี่เรื่องใหญ่นะคะ” ดารินทร์รับไหว้ปลก ๆ ด้วยกลัวอายุสั้นหรือผิดผีเกิดอัปปรีย์ก็ไม่ป่าน “แล้วคุณดารินทร์จะให้ทำยังไง” หัวหน้าฝ่ายปกครองนึกผิดหวังที่คิดว่าเรื่องจะจบลงแล้ว แม่ของเกรซช่างได้คืบเอาศอกเสียจริง “ลงโทษเฆี่ยนให้หลาบจำสิคะ จะได้ไม่ไปทำกับผู้หญิงคนอื่นอีก โตขึ้นจะได้เรียนรู้วิธีเป็นสุภาพบุรุษอยู่ในสังคมอารยะได้” ดารินทร์เสนอเงื่อนไข “เพื่อให้เรื่องจบ ผมจะตีเด็กเอง คุณแม่เห็นด้วยไหมครับ” อาจารย์ทรงเดชถามเป็นการขออนุญาตทิพย์ “แม่ครับ” เต๋อวิงวอนแม่เหมือนแมวที่กำลังจะถูกปล่อยวัด . . . . ทิพย์ไม่พูดอะไร แต่ฉุดแขนเต๋อให้ลุกขึ้น แล้วเดินไปหยิบไม้เรียวที่วางไว้บนโต๊ะ . . . . เธอฟาดลูกไม่ยั้ง! “ไอ้ลูกไม่รักดี! ชอบสร้างแต่ปัญหา!” ทิพย์สบถพลางรัวตีทั้งแข้งทั้งก้นเต๋อพัลวันราวกับว่าไม่ได้เล็งไว้ก่อนสักที่ “แม่ครับ! ผมเจ็บ!” เต๋อร้องลั่น “ทีหลังอย่าก่อเรื่องอีก!” ผู้เป็นแม่ยังคงฟาดต่อไป “โอ๊ย! เจ็บ! พอแล้ว! แม่! เต๋อกลัวแล้ว!” เต๋อทรุดลงกองกับพื้น พิษความเจ็บช้ำแผ่ซ่านทั่วกายจนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาปล่อยโฮลั่นจนไม่เหลือคราบศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย . . . “ดิฉันขอโทษคุณดาอีกครั้งนะคะ และก็ได้ลงโทษลูกไปแล้ว ขอให้จบกันแต่เพียงเท่านี้เถอะค่ะ ” เธอเสยผมที่เปียกชื้นเหงื่อหลังออกแรงตีลูก คราวนี้ดารินทร์กลับเป็นฝ่ายสู้หน้าทิพย์ได้ไม่เต็มตาเสียเอง เธอมองเต๋อนอนกองอยู่กับพื้นเหมือนเห็นวัวถูกเชือดคอแล้วกำลังดิ้นขาดใจต่อหน้า ครูหัวหน้าฝ่ายปกครองและอาจารย์ทรงเดชรู้สึกลึก ๆ ว่าตัวเองช่างเลวสิ้นดี แต่เมื่อสวมหัวโขนอาชีพครูอันทรงเกียรติอยู่ จะมีสักกี่คนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองผิด . . . . “เธอประชดฉันหรือ” ดารินทร์ทาบอก “เปล่าค่ะ” เธอตอบหนักแน่น “แต่หน้ากับน้ำเสียงเธอบอกกับฉันอย่างนั้น!” ดารินทร์เริ่มระแวง เธอเป็นคนบีบคั้นให้ครอบครัวนี้จนตรอกจนต้องแสดงออกด้วยพฤติกรรมรุนแรง และสิ่งที่กริ่งเกรงที่สุดก็คือกลัวว่าหากทิพย์ยังเป็นแม่ค้าอยู่ในโรงเรียน วันหนึ่งอาจลุแก่โทสะทำร้ายลูกสาวของเธอเป็นการเอาคืน “คุณคะ ผู้หญิงป่าเถื่อนแบบนี้รับมาขายของในโรงเรียนได้ยังไง มีการสกรีนคนก่อนรึเปล่าคะ” เธอหันไปทางพวกครู “อ้าว . . .ก็คุณเป็นคนบอกให้ลงโทษด้วยการเฆี่ยนเองตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอครับ” อาจารย์ทรงเดชปัดความผิดให้พ้นตัว “ฉ . . .ฉันรับไม่ได้หรอกนะ” เห็นได้ชัดว่าเธอสู้รังสีความกดดันที่แผ่จากตัวคนจริงอย่างทิพย์ไม่ติด และขณะนี้เธอกำลังหาทางปกป้องตนเองด้วยการกำจัดสิ่งที่ไม่น่าไว้ใจออกไปให้พ้นรั้วบ้าน “ฉันไม่อยากเห็นผู้หญิงคนนี้ขายของอยู่ในโรงเรียนอีก!” เธอเก็บของลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน หน้าตาเลิ่กลั่กไม่อยากสบสายตาใคร “ไม่ได้บังคับนะคะ แล้วแต่วิจารณญาณทุกท่าน แต่ถ้ายังต้องการให้ฉันช่วยเหลือเรื่องทุนสร้างห้องสมุดใหม่ล่ะก็ หวังว่าคงตามใจกันบ้าง” เธอพูดโดยหันหลังให้ทิพย์ รู้ตัวดีว่าไม่มีหน้าจะกล้ามองคนที่ถูกตนรังแก แต่ในใจก็ขอปฏิเสธว่าตนเป็นฝ่ายผิดอยู่ดี . . . “ลูกเกรซคะ คุณแม่ต้องกลับไปทำงานแล้วค่ะ เทคแคร์ค่ะลูก อย่ากลับเย็นมากนะคะ” เธอลาลูกสาวพอเป็นพิธีแล้วรีบเดินออกไป ราวกับกลัวว่าจู่ ๆ ทิพย์อาจคลั่งหยิบไม้ขึ้นมาไล่ตีเธอหากยังอยู่ในห้องนานกว่านี้ เกรซเองก็รู้งานรีบออกจากห้องหนีตามติด ๆ กัน . . . “ฮืออออออออ” เสียงโหยหวนของเต๋อดังพอที่จะทำให้ครูวิไลและเด็ก ๆ ที่รอข้างนอกรู้บทสรุปจบของคดีนี้ “เวรกรรมจริง ๆ ” ครูวิไลถอนหายใจ . . . . ทิพย์ขอตัวลาเพื่อเตรียมของขายต่อ ส่วนเต๋อและคนอื่น ๆ กลับไปเรียนต่อตามเดิม . . . . ระหว่างทางเดินไปห้องเรียน เต๋อเดินสวนกับกลุ่มเกรซ จอย และน้ำหวาน ที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ ทั้งสามกำลังคุยเล่นหยอกเอินเฮฮา และเสียงหัวเราะก็จางลงเมื่อได้เห็นเต๋อหน้าแดงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “เจ็บไหมจ๊ะคนเก่ง” จอยล้อเล่น แต่ทุกคนไม่มีปฏิกริยาตอบกลับราวกับเห็นเธอเป็นอากาศธาตุ แม้กระทั่งพวกเดียวกัน “ทำไม!. . .” เต๋อจ้องน้ำหวานเขม็ง “เคลียร์กันเองนะ เดี๋ยวจะหาว่าเสือก” เกรซลากจอยออกไปอีกทาง น้ำหวานหลับตากระแอมเบา ๆ เป็นการตั้งหลักก่อนกล่าววาทะ “ฉันเองก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับเธอหรอกนะเต๋อ” . . . “แต่. . .เธอคงรู้ว่าอีกไม่นานนักก็จะมีการเลือกจตุรเทพประจำรุ่นเรา” “พูดตรง ๆ เลยนะ ฉันอยากให้ทุกคนจดจำในฉายาโพแดง ตำแหน่งเดียวที่เปิดโอกาสสำหรับผู้หญิง” “เพราะฉะนั้น คะแนนนิยมคือสิ่งจำเป็น และเธอก็คงรู้ตัวว่าคนเกือบทั้งห้องเกลียดขี้หน้าเธอ” เต๋ออึ้ง ไม่คิดว่าแค่ตำแหน่งบ้า ๆ ที่เด็กอุปโลกน์กันเองจะมีอิทธิพลถึงกับต้องแข่งขันห้ำหั่นทำทุกวิถีทาง “ขอโทษนะที่ใช้เธอเป็นบันไดเหยียบขึ้นไป แต่นี่แค่ก้าวแรกเท่านั้น. . .” น้ำหวานเดินเข้าประชิดตัวเต๋อ . . . “ฉันคงต้องขอเหยียบเธอขึ้นไปอีกหลายก้าว” เธอกระซิบข้างหูเขาอย่างนุ่มเบา แต่สิ่งที่ทับซ้อนอยู่ในน้ำเสียงคือความเหี้ยมเกรียม . . . . . . . . . . “เต๋อ ลงมาทานข้าวได้แล้วลูก” ทิพย์เคาะประตูเรียก “ผมไม่กิน!” เธอสลด รู้อยู่แก่ใจว่าเพราะเหตุใด “ยังไม่หายโกรธแม่เหรอลูก แม่ขอโทษ” “. . .” ความเงียบที่กั้นขวางระหว่างบานประตูทำให้ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยใจ “ผมเกลียด. . .” “เต๋อ. . .” ผู้เป็นแม่รู้สึกผิดขึ้นมา “ผมเกลียดความจน!!” “ผมเกลียดสารรูปตัวเอง!!” “ผมเกลียดที่เกิดมามีไม่เท่าคนอื่น!!” “ผมเกลียดโรงเรียน!! เกลียดเพื่อน!!” “แต่นั่นยังไม่เท่าวันนี้ที่ได้รู้ว่า! แม่เกลียดผม!” . . . ทิพย์ทรุดลงตรงพื้นหน้าห้อง “ที่แม่ตีลูก. . .” เธอพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “เพราะไม่อยากเห็นคนอื่นทำร้ายลูก พวกเขาไม่มีสิทธิ์” “ถ้าต้องเป็นอย่างนั้นแม่ขอลงมือเองดีกว่า” . . . . ทิพย์นั่งหลั่งน้ำตาเงียบ ๆ อยู่หน้าประตูห้อง โดยหารู้ไม่ว่า อีกฟากฝั่งกำแพงก็มีคนทำกำลังทำเช่นเธอ “แม่ครับ ผมขอโทษ” “แม่ครับ ผมขอโทษ!” “แม่ครับ ผมขอโทษ!!!!!!!!” . . . ผมเด้งลุกขึ้นท่ามกลางความมืด เมื่อมองตัวเองในกระจกจึงเห็นว่าเนื้อตัวโชกเหงื่อ เหงื่อเม็ดกาฬผุดทั่วใบหน้า ใจเต้นรัวหอบแฮ่กเหมือนเพิ่งวิ่งรอบสนาม . . ไม่รู้ว่าตัวเองหลับคาโซฟาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ การนอนผิดที่ผิดทางอาจส่งผลให้เสี่ยงต่อการฝันร้ายก็เป็นได้ . . . เหตุการณ์ต่อจากที่ผมฝันค้างไว้ก็คือ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ใหญ่ในโรงเรียนคนหนึ่งเสนอเงินก้อนจำนวนหนึ่งให้กับแม่แลกกับการขอร้องให้ออกไปขายของที่อื่น เพื่อที่ว่าแม่ของเกรซจะได้สบายใจและมอบเงินบริจาคเต็มเม็ดเต็มหน่วยคืนกลับมาสร้างกำไรภายหลัง . . . กรอบรูปแม่บนหิ้งหน้าห้องฝุ่นจับเขรอะ ดอกไม้ในแจกันแห้งกรอบจนเหลือง เป็นเวลานานพอสมควรที่ผมวุ่นอยู่กับธุรกิจจนละเลยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัว . . . คงถึงเวลาที่ผมจะปัดฝุ่นล้างทำความสะอาดกรอบรูปแม่เสียที . . . . . ภายในรถเมล์คันหนึ่งใจกลางเมือง. . . หลังเลิกเรียน ณัฐยืนโหนรถด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย สำหรับเขา ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่าการเสียเวลาเดินทางไปกลับระหว่างโรงเรียนโดยอาศัยระบบขนส่งมวลชนอีกแล้ว ปกติเขาจะใช้บริการแท็กซี่เป็นประจำเนื่องจากไม่ชอบอยู่ที่ที่มีคนพลุกพล่าน แต่วันนี้ยิ่งรอรถแท็กซี่นานเท่าไหร่ก็เหมือนกับนั่งขอพรให้ฝนตกกลางทะเลทราย จึงจำยอมขึ้นรถเมล์แม้ฝืนความรู้สึก “อย่ามองมาทางนี้สิ” ณัฐคิด เขาไม่ชอบให้คนอื่นมอง ไม่ว่าจะเจตนามองจริง ๆ หรือต่อให้เขาคิดไปเองก็ตาม สำหรับณัฐแล้ว ถือว่าสายตาของคนแปลกหน้าทุกเพศวัย เชื้อชาติ และศาสนาล้วนน่ากลัวไม่ต่างจากนางเมดูซ่าในเทพปกรณัมกรีก ซึ่งหากสบตาเข้าจัง ๆ อาจแข็งทื่อกลายเป็นรูปปั้นหินไปได้ “ตุ๊ดเด็กว่ะ น่ารักดี” เด็กสาวมหาลัยที่กำลังโหนรถคนหนึ่งแซวกับเพื่อน “ตัวเล็กๆ น่าหยิกดีเนอะ” ผู้เป็นเพื่อนหัวเราะคิกคัก ความเบียดเสียดบนรถเมล์ทำให้ณัฐอึดอัดหายใจไม่ทั่วท้อง ประกอบกับนิสัยที่คิดไปเองว่ามีคนจับตามองตลอดเวลา ทำให้อาการแปลก ๆ เริ่มรุกเร้าจากความคิด ลุกลามไปถึงใบหน้าอันซีดแล้งเหมือนมีอาการขาดน้ำ แขนขาที่สั่นกระตุก และหัวใจที่กำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ . . . . เด็กหนุ่มหน้ามืด ล้มลงตรงนั้นเอง . . . “ว๊ายยย อะไรอ่ะ!?” เด็กมหาลัยที่เพิ่งแซวเจ้าตัวเมื่อครู่ถอยกรูดด้วยความตกใจที่จู่ ๆ มีคนล้มลง “เฮ้ย! น้อง! ลุกขึ้นดิ่ เป็นอะไร” กระเป๋ารถเมล์ทำเหมือนกับว่าวิธีปฐมพยาบาลคนเป็นลมเบื้องต้นคือการเรียกให้ลุกขึ้นเอง เกิดเสียงซุบซิบเบา ๆ แทรกผ่านบรรยากาศในรถ บางคนแกล้งหลับ บางคนหันไปมองนอกหน้าต่าง บางคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรก็ไม่รู้ทำเป็นมีงานด่วน เรียกได้ว่าสิ่งใดรอบตัวที่ช่วยแก้เก้อได้ก็งัดกลยุทธ์ออกมาใช้กันเต็มที่ . . . . ณัฐมีสภาพเหมือนศพล่องหนที่มีอยู่จริงแต่ไม่มีคนเห็น ไม่มีใครช่วยเขาเลย . . . . . “ถ้าเป็นพี่น้องหรือลูกหลานพวกเธอ จะเฉยแบบนี้ไหม!” . . . อาซิ้มผมสีดอกเลาโวยวายขึ้นหลังจากสังเกตการณ์อยู่ระยะหนึ่ง เธอลุกขึ้นจากที่นั่ง พยายามทรงตัวบนรถที่กำลังเคลื่อนตัว . . “หยุดเลย! ฉันจะให้เด็กนั่ง!” อาซิ้มหันกลับไปชี้สาววัยทำงานคนหนึ่งที่ฉวยโอกาสกำลังจะนั่งที่ที่เธอเพิ่งลุกขึ้นพอดี หญิงสาวหน้าเสีย แกล้งทำเป็นมีสายเข้าแล้วเดินหลบไปคุยหลังรถ “เอ้า! ไอ้หนุ่มหล่อ ๆ สองคนนั้นน่ะ ช่วยกันพยุงเด็กหน่อยสิ” เธอชี้ตรงไปยังคู่เพื่อนหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สองคน แม้การชี้นิ้วจะผิดมารยาทอยู่บ้างก็ตามแต่ช่วยระบุแรงคนที่ต้องการได้ตรงเผง สองหนุ่มบ้าจี้รีบลุกขึ้นช่วยประคองตัวณัฐไปยังที่นั่งราวกับระลึกได้ว่าชาติที่แล้วอาซิ้มคนนี้เป็นแม่พวกเขามาก่อน “ใครมียาดมบ้าง นึกว่าให้ลูกให้หลานมันหน่อยเห๊อะ!” “น. . .หนูมีค่ะ” เด็กสาวมหาลัยที่แซวณัฐเมื่อกี้เพิ่งรู้สึกได้ว่าควรทำอะไร เธอหยิบยาดมออกมาวาดไปมาใต้จมูกณัฐ ดูเหมือนอาซิ้มคนนี้เหมาะกับการทำงานที่ต้องสอนให้คนอื่นคิดเป็นคิดได้ . . . “อือ. . .” ณัฐเริ่มได้สติ “. . .ขอบคุณครับ” คำพูดแรกคือการขอบคุณเด็กสาวเจ้าของยาดม “พี่ขอโทษนะ เมื่อกี้ตกใจมาก ไม่รู้จะทำยังไง ไปขอบคุณป้าคนนี้เถอะ เค้าเป็นคนช่วยน้องคนแรกเลย” เด็กสาวโล่งใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีอาการดีขึ้น “มองลูกคนอื่นเหมือนลูกตัวเอง พี่น้องคนอื่นเหมือนพี่น้องตัวเอง คิดแบบนี้กันเยอะ ๆ พอเราเดือดร้อนคนรอบตัวจะได้ยื่นมือช่วยเหลือ เวลาซวยขึ้นมาอย่าเรียกร้องให้คนอื่นเห็นใจถ้าไม่เคยทำให้เขาก่อน” อาซิ้มบ่นโผงผางเสียงดังตามสไตล์ชาวไทยเชื้อสายจีน อบรมคนบนรถให้ฟรีโดยไม่คิดค่าลงทะเบียนและไม่เกรงกลัวประเมินหลังการสอนจากใครหน้าไหนทั้งนั้น “เอ่อ. . . ป้าครับ นั่งตรงนี้เถอะครับ” ผู้ชายนั่งเบาะในข้างณัฐ หรือเดิมคือนั่งอยู่ข้างอาซิ้มตัดสินใจลุกขึ้นสละที่นั่ง จะเพราะทนแรงกดดันไม่ไหวหรือฉุกคิดขึ้นได้ก็ตาม แต่ก็ทำให้ณัฐและอาซิ้มได้นั่งเบาะเดียวกันในที่สุด “ขอบคุณมากนะครับ” ณัฐยกมือไหว้อาซิ้มจอมโฉงฉาง แม้จะไหว้ไม่ค่อยสวยเพราะสภาพอิดโรยแต่ก็เห็นได้ว่าพยายามเต็มที่แล้ว “ฉันมีหลานชายสองคน อายุไล่เลี่ยกับเธอนี่แหละ เห็นแล้วก็อดนึกถึงไม่ได้” อาซิ้มยิ้มพลางโชว์รูปหลานในกระเป๋าสตางค์ “ขอผมดูชัด ๆ หน่อยได้ไหมครับ” คำขอจากณัฐผ่านราบรื่น อาซิ้มส่งรูปหลานชายให้ณัฐดูด้วยความเต็มใจ “รอแป๊ปหนึ่งนะครับคุณป้า” . . . . ณัฐจ้องมองรูปคนทั้งสองจดจำรูปหน้า จากนั้นจึงหลับตาลง . . . “คนตาตี่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาลัยอยู่ใช่ไหมครับ ติดคณะแพทย์นะครับ เตรียมฟังข่าวดีได้เลย” เขาพูดขึ้น “ดูหมอเป็นด้วยหรือ” อาซิ้มเบิกตาด้วยความอัศจรรย์ใจ "ไม่เชิงครับ” ณัฐก้มหน้าเขินอาย “เธอรู้ได้ยังไงว่าหลานฉันกำลังเตรียมสอบหมอ อดนอนหามรุ่งหามค่ำมานานแล้ว” ใบหน้าอาซิ้มเปี่ยมปิติแม้จะเข้าใจว่าเป็นเพียงโหราศาสตร์ก็ตาม หากเธอได้ทราบว่าความสามารถที่แท้จริงของเด็กคนนี้คืออะไร อาจหัวใจวายไปเลยก็ได้ “ส่วนอีกคนเร็ว ๆ นี้ . . .อืม. . .ดูจากเสื้อผ้าและสนามบิน . . .เอ่อ ไม่มีอะไรครับ. . .ผมคิดว่าเขาน่าจะกลับจากญี่ปุ่น เขาจะเอาลูกพลับมาฝากคุณป้าด้วยล่ะครับ” “เธอพูดจริง ๆ นะ” อาซิ้มยิ้มอย่างมีความหวัง “ฉันคิดถึงหลานคนนี้มาก ไปเรียนที่นั่นตั้งแต่เด็กเจ็ดแปดปีได้แล้ว ไม่ค่อยกลับมาไทยเท่าไหร่หรอก” “ลูกพลับที่เธอว่าน่ะ ของโปรดฉันเลย หลานฉันไม่เคยลืมหรอก กลับทีไรก็หิ้วมาฝากทุกครั้ง” เธอยิ้มแก้มปริ “ผมแค่. . .พูดตามที่เห็นครับ” เด็กหนุ่มถ่อมตัว “โอ๊ย! แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แม่นกว่าไอ้พวกหลอกลวงชาวบ้านตามทีวีเสียอีก พ่อหนุ่มเอ๊ยมาเอาดีทางนี้เถอะ รวยไม่รู้เรื่องเลยนะ” อาซิ้มกุมมือณัฐและเขย่าด้วยความตื่นเต้น ส่วนเขาได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ “เดี๋ยวผมต้องลงป้ายหน้าแล้วครับ ขอบคุณนะครับ” ณัฐส่งรูปคืนให้และเตรียมตัวลง “เดี๋ยว ๆ อยากให้ช่วยดูอีกคน” ดูเหมือนว่าอาซิ้มจะติดลมบน เธอหยิบล้วงแผ่นพับใบหนึ่งส่งให้ณัฐ “ฉันเชียร์ ส.ส. คนนี้อยู่ ดูให้หน่อยว่าดวงเธอเป็นยังไง” ณัฐรับมาดูและใช้พลังให้ตามคำขอ . . . แผ่นพับนั้นคือสื่อหาเสียงของนักการเมืองหญิงคนหนึ่ง นามว่า “ดารินทร์ หทัยเปรมสุข” “ต้องขอโทษด้วยครับ ผมคงพูดไม่ได้ มันไม่ดีครับ” เด็กหนุ่มส่งรูปคืนให้ “ทำไมล่ะ ติดไม่ติดก็พูดมาตรง ๆ เลย ฉันไม่ถือ” ณัฐถอนหายใจยาว “อีกไม่กี่วัน เธอจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ภาพข่าวที่ออกอากาศอาจจะทำให้คุณป้าใจหาย เผื่อใจไว้หน่อยก็ดีครับ” . . . “เป็นไปได้เหรอ! คุณดาเธอมีฐานคะแนนสูงจะตาย ทำงานดูแลเด็กผู้หญิงมาตั้งนานแล้ว ใคร ๆ ก็รู้จัก” อาซิ้มถึงกับใจเสีย . . . “สิ่งที่ใช้เวลาสร้างเป็นแรมปี บางทีก็อาจพังทลายลงเพราะคน ๆ เดียวนะครับ” ณัฐพูดอย่างหน่ายโลก “ผมต้องลงแล้วล่ะครับ สวัสดีครับคุณป้า” ณัฐวิ่งต่อแถวคนสุดท้ายที่กำลังจะลงพ้นรถได้ทันพอดิบพอดี ไม่งั้นคงถูกกระเป๋ารถเมล์สาปส่ง . . . เหลือไว้เพียงปริศนาให้อาซิ้มจิตตกกลับบ้านไปนอนคิดหนักหัวเล่น ๆ . % S/ k$ N& r" T( A
. q6 n8 C0 | N0 ]: w |