อรรถวิทย์สวมกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเขามานั่งประจำที่สำหรับเจ้าหน้าที่ดูแลสระว่ายน้ำของเด็กชั้นประถมศึกษา สามชั่วโมงต่อจากนี้เป็นช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อเพราะเขาจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องคอยเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นภายในสระว่ายน้ำของโรงเรียน
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงมีเด็กมาใช้บริการในสระ 6 คนเด็กหนุ่มภาวนาขอให้เป็นอย่างนี้ไปจนถึงเวลาปิดสระ
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ เด็กในสระเหลือแค่สองคนเท่านั้น
เด็กหนุ่มร่างผอมหาวหวอดๆ ออกมา หนังตาของเขาเริ่มหนัก ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นแล้วปกติหลังจากนี้จะไม่ค่อยมีเด็กมาใช้บริการเพิ่ม เพราะหลังกินข้าวเย็นเสร็จ เด็ก ๆจะไปอาบน้ำแล้วเข้าห้องนอน
ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังดีใจที่เขาจะว่างหลังจากนี้ก็มีเด็ก ๆ สามคนเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูท่าทางน่าจะเป็นเด็กชั้นประถมปลายอายุน่าจะประมาณ 10 – 11 ขวบ
อรรถวิทย์มองเด็กกลุ่มนั้นด้วยความเซ็งเพราะนึกว่าจะได้ชิล ๆ กับช่วงเวลาชั่วโมงกว่า ๆ ที่เหลือ
เด็กกลุ่มนั้นพอเดินออกเห็นว่าคนที่เป็นเวรเฝ้าสระก็ทำหน้าเซ็งไม่แพ้กันพวกเขาหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างก่อนจะลงไปเล่นน้ำ
เด็ก ๆสามคนนั้นเล่นน้ำด้วยความคึกคะนอง ทั้งแกล้งกันและส่งเสียงดังตลอดเวลาจนเด็กที่เล่นอยู่ก่อนหน้าสองคนรู้สึกไม่สนุก พวกเขาจึงขึ้นจากสระไป
อรรถวิทย์เมื่อเห็นว่าไม่มีเด็กกลุ่มอื่นๆ เหลืออยู่ในสระแล้ว เขาก็เลยไม่ได้สนใจปล่อยให้เด็กกลุ่มนั้นเล่นสนุกกันไป
ขณะที่เกือบเผลอหลับเด็กหนุ่มก็สะดุ้งตื่นเพราะน้ำจากสระกระเซ็นมาโดนหน้าโดนตัวเขา อรรถวิทย์มองหาที่มาก็พบว่ามันมาจากเด็กกลุ่มนั้น
คราวนี้พอรู้ว่าคนที่โดนแกล้งรู้ตัวหนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นก็พูดออกมาว่า
“พี่หลับเหรอ เดี๋ยวผมฟ้องครูนะ”
พอเหมือนจะเจอคำขู่เข้าไปอรรถวิทย์รีบผุดลุกขึ้นมานั่งทำท่าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่เด็กทั้งสามก็ยังไม่ละความสนใจ
“พี่ชื่ออะไรอ่ะ”
“ถามทำไม”
“ก็อยากรู้จักชื่อเฉยๆ ผมไม่ได้จะเอาไปฟ้องครูหรอก เมื่อกี๊ที่พูดออกไปก็แค่แหย่เล่น”
“อรรถวิทย์”
“วันนี้ไม่ได้เป็นเวรของพี่ตัวสูงๆ ล่ำ ๆ เหรอ”
อรรถวิทย์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่เข้าใจในคำถามของเด็กที่ถามคนในกลุ่มเหมือนจะรู้ตัวเลยช่วยเสริมว่า
“คนที่เป็นนักบาสอ่ะ”
ภาพของพิทพลผุดขึ้นมาในหัวของอรรถวิทย์ทันทีแต่ก็ยังสงสัยว่าทำไมเด็กกลุ่มนี้ถึงถามหาพิทพล
“พวกนายถามหาเขาทำไม”
“เปล่า ๆไม่มีอะไร แค่มาว่ายน้ำอาทิตย์ก่อนแล้วเจอพี่เขา นึกว่ามาวันนี้จะได้เจอพี่เขาอีก”
“เรามีเวรกันเดือนละครั้งถ้าอยากเจอคงต้องรอเดือนหน้า แต่ไม่รู้วันไหนนะ เพราะตารางเวรยังไม่ออก”
เด็ก ๆ ทั้งสามแสดงสีหน้าผิดหวังพวกเขาไม่ได้ถามอะไรต่อ หันกลับไปเล่นน้ำกันอีกสักพักก็ชวนกันขึ้นจากสระไป
เมื่ออรรถวิทย์เห็นว่าในสระไม่เหลือใครแล้วเขาก็รู้สึกลิงโลดที่แม้จะได้เลิกก่อนเวลายี่สิบนาทีก็ยังดี เด็กหนุ่มรีบเก็บข้าวของส่วนตัวแล้วลุกออกจากที่นั่งเดินกลับเข้าไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวทันที
อรรถวิทย์หยิบผ้าเช็ดตัวออกจากล็อกเกอร์เดินเข้าไปยังส่วนที่เป็นห้องอาบน้ำเขาเดินผ่านห้องที่เด็กทั้งสามอาบน้ำอยู่ด้วยกัน เจ้าเด็กกลุ่มนี้พลังยังเหลือล้านเพราะมันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันลั่นห้อง เด็กหนุ่มไม่อยากสนใจ เขาเลยเดินไปยังห้องว่างที่อยู่ด้านในสุดปิดม่านแล้วถอดกางเกงว่ายน้ำออก แล้วแขวนทั้งกางเกงว่ายน้ำและผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวแขวน
เขาเปิดฝักบัวเพื่ออาบน้ำตอนที่น้ำกระทบร่างเปลือยเปล่าของเขาเด็กหนุ่มรู้สึกหนาวนิด ๆ พออาบน้ำไปได้สักพักอรรถวิทย์ก็รู้สึกว่าเสียงเด็กสามคนเงียบไปแล้วเขาคิดว่าทั้งสามคนคงอาบน้ำเสร็จ แล้วออกจากห้องอาบน้ำไปแล้ว
พอรู้ว่าเขาอยู่ในห้องเพียงคนเดียวอรรถวิทย์ก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิด ๆ เขาจึงรีบ ๆ อาบน้ำให้เสร็จ
แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
อยู่ ๆ ม่านห้องอาบน้ำที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก
ตอนแรกอรรถวิทย์ไม่รู้ตัวเพราะเขาหันหลังอาบน้ำอยู่แต่สักพักเขาก็รู้สึกเหมือนมีไอเย็นวาบเข้ามาปะทะที่ด้านหลัง เด็กหนุ่มจึงหันหน้าไปมองดูแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นเด็กสามคนยืนจ้องมองเขาอยู่
“มีอะไรกันรึเปล่า”
อรรถวิทย์ทำใจดีสู้เสือถามออกไปเขารู้สึกอายเพราะตอนนี้แก้ผ้าอยู่
“พี่นี่ก้นแบนจัง”
พอได้ยินคำพูดของเด็กในกลุ่มอรรวิทย์ก็รู้สึกแปลก ๆ เขาจึงปิดฝักบัว แล้วเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดตัวมานุ่งปิดร่างเปลือยไว้ก่อนจะหันหน้ามาดุเด็ก ๆ
“เลิกเล่นได้แล้วนี่เลยเวลาปิดสระแล้วนะ”
“ไม่ได้เล่น ขอดูจู๋หน่อยสิพี่”
อรรถวิทย์ตกใจกับคำขอของเด็กๆ เขารีบใช้ความเป็นรุ่นพี่ ทำเสียงเข้มเป็นเชิงดุออกไป
“ได้ยังไงมันไม่ใช่ของที่จะมาขอดูกันง่าย ๆ นะ”
“แต่อาทิตย์ก่อนตอนมาขอดูพี่คนนั้นยังยอมให้เราดูเลย”
หน้าของพิทพลลอยขึ้นมาในหัวของอรรถวิทย์อีกครั้งเขารู้สึกสับสนกับสิ่งที่เด็ก ๆ บอก
“อยู่ ๆไปขอดูจู๋คนอื่นได้ยังไง”
“ก็ตอนพี่เขาเดินเข้ามาในห้องอาบน้ำผมเห็นเป้ากางเกงว่ายน้ำเขาตุงมาก ก็เลยอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น เลยไปขอให้เขาถอดให้ดู”
“แล้วเขาก็ถอดให้ดูง่ายๆ อย่างนั้นเลยเหรอ”
อรรถวิทย์เอ่ยถามเพราะไม่อยากจะเชื่อว่าพิทพลจะยอมแก้ผ้าให้เด็กๆ พวกนี้ดู
“เปล่าครับพี่เขาไม่ได้ถอดให้พวกเราดู”
“อ้าวแล้วไหนบอกว่าพี่เขายอมให้ดู”
“ก็เขายอมให้ดูแต่ให้พวกผมเป็นคนเข้าไปถอดกางเกงเขาเอง”
อรรถวิทย์รู้สึกตกใจกับคำตอบของเด็กๆ ขนแขนเขาลุกโดยไม่รู้ตัวเขาไม่อยากจะเชื่อว่าพิทพลที่เป็นนักบาสผู้มีชื่อเสียงของโรงเรียนจะยอมทำอะไรแบบนี้
สองอาทิตย์ก่อนเขาโดนเพื่อน ๆ ในกลุ่มของพิทพลจับแก้ผ้า และโดนจับชักว่าวจนน้ำแตกด้วย เขาอับอายจนหยุดเรียนไปหลายวันและคิดว่าพิทพลและพวกคงเอาเรื่องของเขาไปประจานให้เพื่อนคนอื่น ๆ รู้จนหมด แต่พอเขากลับมาเรียนก็พบว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่เขากลัวไม่มีใครรู้เรื่องน่าอับอายของเขา กลุ่มของพิทพลก็ไม่ได้มาสนใจอะไรกับเขาอีก จนอรรถวิทย์คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นการแกล้งกันของเด็กผู้ชายพิเรนทร์ๆ เท่านั้น
แต่พอได้ฟังสิ่งที่เด็กกลุ่มนี้เล่าเขาก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ พิทพลคนดังของโรงเรียนอาจจะเป็นพวกโรคจิตก็เป็นได้
“ก้นพี่เขาแน่นมากไม่แบนแบบพี่หรอก”
เสียงเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นมาปลุกอรรถวิทย์ขึ้นมาจากห้วงคำนึง พอพูดจบ เด็กคนอื่น ๆ ก็หัวเราะกันครืนจนอรรถวิทย์รู้สึกเหมือนโดนเยาะ
“แถมจู๋พี่เขาก็ใหญ่แล้วก็แข็งด้วย ผมยังแกล้งเอานิ้วไปดีด มันเด้งไปเด้งมาแทบจะตีหน้าพวกผมเลย”
“ใช่ ๆ”
เด็กคนอื่น ๆเริ่มช่วยกันผสมโรง
“เออแล้วมันยังมีขนขึ้นด้วยนะ”
“เออตอนที่พี่เขาให้เราเอามือไปลูบ กูนะโคตรขนลุกเลย ดูดิพูดแล้วขนกูยังกลับมาลุกใหม่เลย”
เด็กหนุ่มชูแขนข้างหนึ่งขึ้นมาให้เพื่อนๆ ดูว่าเป็นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ
“แล้วขนจู๋มึงลุกด้วยรึเปล่า”
เพื่อนในกลุ่มออกปากแซวเด็กคนนั้นรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“กูไม่มีขนตรงจู๋กูไม่มีขนตรงจู๋”
“ตอนนี้ยังไม่มีหรอกแต่เดี๋ยวโตเท่าพี่ก็มีเหมือนกันหมด”
อรรถวิทย์บอกกับเด็กๆ ให้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่กลายเป็นทำให้เด็ก ๆ ยิ่งสนใจมันเพิ่ม
“อย่างนี้พี่ก็มีขนขึ้นแล้วสิไหน ๆ ขอพวกเราดูหน่อย”
เด็ก ๆ ส่งเสียงรบเร้ากันยกใหญ่อรรถวิทย์รู้สึกอายจนไม่รู้จะทำยังไงที่ดีที่ต้องมาเผชิญสถานการณ์แบบนี้ เขาคิดว่าถ้าไม่จัดการอะไรให้เด็ดขาดสักทีเด็ก ๆ กลุ่มนี้ก็คงตอแยเขาไม่เลิก
แล้วอรรถวิทย์ก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปไพล่ไว้ที่ท้ายทอยก่อนจะบอกกับเด็ก ๆ ออกไปว่า
“ถ้าอยากเห็นก็ต้องจัดการกับเจ้านี่ก่อนสิ”
สายตาของอรรถวิทย์มองลงไปที่ผ้าเช็ดตัวที่พันท่อนล่างอยู่ท่าทีเชิญชวนของเขาทำให้เด็กคนทิอยู่ใกล้สุดตัดสินใจเอื้อมมือไปกระชากผ้าเช็ดตัวผืนนั้นออกมา
พอมันหลุดควยของอรรถวิทย์ที่แข็งตัวรออยู่นานแล้วก็เด้งตัวออกมาโชว์โฉมราวกับติดสปริง
“หูยยยยยยย”
เด็กทั้งสามส่งเสียงร้องดังขึ้นพร้อมกันเมื่อได้เห็นร่างของอรรถวิทย์เต็มๆ ตา
แม้ร่างของอรรถวิทย์จะผอมบางไม่บึกบึนล่ำสัน ไม่มีกล้ามเนื้อแบบพิทพล แต่สิ่งที่เขาน่าจะมีไม่ด้อยไปกว่าเพื่อนร่วมชั้นก็คือขนาดความเป็นชาย ควยของเด็กหนุ่มแผดผงาดชูชันอย่างเต็มที่แต่เหมือนอรรถวิทย์ยังกลัวว่าจะทำให้เด็กทั้งสามตื่นตกใจไม่พอ เขาจัดการเอามือที่ไพล่ไว้ที่ท้ายทอยลงมารูดที่หนังหุ้มปลายของอวัยวะเพศเขาให้เปิดออก พอถอกหัวมันจนสุดแล้วเขาก็ยกมือนั้นกลับไปประจำไว้ที่เดิม
“สุดยอดเลยพี่จู๋พี่ใหญ่กว่าจู๋พี่คนนั้นอีก”
“ตรงนี้ก็ใหญ่มาก”
เด็กคนหนึ่งเอานิ้วมาแตะที่ปลายหัวถอกของอรรถวิทย์
“ขนพี่ก็เยอะกว่าของพี่คนนั้นแถมยังมีขนที่ใต้แขนด้วย พี่นี่สุดยอดชายเหนือชาย”
เด็ก ๆต่างส่งเสียงชื่นชมเขาอย่างไม่ขาดปากจนอรรถวิทย์อดรู้สึกลำพองใจไม่ได้เขารู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือพิทพลขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่ความรู้สึกนั้นก็อยู่กับเขาได้ไม่นานเมื่อเด็กอีกคนพูดขึ้นมาว่า
“แต่พี่คนนั้นหุ่นดีกว่าถ้าพี่หุ่นดีอย่างพี่คนนั้น รับรองพี่ชนะขาด สาว ๆ คงติดพี่กันเกรียวแต่ตอนนี้ผมว่าพี่ยังแพ้พี่คนนั้นอยู่”
เด็กคนอื่น ๆอือออเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ จนมันเริ่มมีผลกับความคิดของอรรถวิทย์ด้วยเช่นกัน
ต้องหุ่นดีกว่า
ใช่....ต้องหุ่นดีกว่า
เราต้องฟิตหุ่นให้ดีกว่าพิทพลให้ได้
ตอนนี้ในหัวของอรรถวิทย์วนเวียนแต่ความคิดนี้จนเขาไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ร่างกายของเขาได้กลายเป็นของเล่นของเด็ก ๆทั้งสามคนไปแล้ว
เราต้องดีกว่าพิทพลให้ได้......
เด็กหนุ่มอายุสิบห้าเริ่มหมกมุ่นและพยายามเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองมาตั้งแต่นั้น เหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตของอรรถวิทย์เปลี่ยนแปลงไปจากเด็กเนิร์ด เด็กเรียนที่ไม่สนใจอะไร วัน ๆ ขลุกตัวอยู่แต่กับตำรา ไม่มีสังคมไม่มีเพื่อนที่สนิทจริง ๆ กลายเป็นคนที่เริ่มหมกมุ่นกับตัวเองหมกมุ่นกับร่ายกายของตน และอยากมีดัเพื่ออวดสิ่งที่มีให้คนอื่นได้เห็น ได้ชื่นชม
อรรถวิทย์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนที่เขาแก้ผ้าโชว์เด็กๆ นั้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองถึงจุดสุดยอดอยู่ตลอดเวลามันเสียวซ่านแบบที่เขาไม่เคยเจอหรือเคยสัมผัสมาก่อน
และเหตุการณ์นั้นมันคือจุดเปลี่ยน ที่ทำให้เขาเข้ามาเดินใน
เส้นทางของคนร่าน
[โปรดติดตามตอนต่อไป]