ตอนที่ 5
เช้าวันใหม่
อรรถวิทย์มาถึงสถานีตำรวจแต่เช้าเขาแวะที่ร้านอาหารป้าเพ็ญ ร้านเพิงเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สถานีตำรวจนายตำรวจหนุ่มสั่งต้มเลือดหมูมาทานเป็นอาหารเช้า เขานั่งทานอาหารไปเช็คข้อมูลต่างๆ ในมือถือไปด้วย สักพักก็มีนายตำรวจคนหนึ่งถือจานอาหารมายืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะ
“สวัสดีครับผู้กองคงไม่รบกวนผู้กองถ้าผมจะขอนั่งร่วมโต๊ะด้วย”
“เชิญครับหมู่ดำเกิงวันนี้เข้าเวรอีกเหรอครับ”
“เปล่าครับวันนี้เวรคนอื่น แต่ผมมาเช้าจนชิน เพราะไปส่งลูกที่โรงเรียนเสร็จก็มาโรงพักเลย”
พอหมู่ดำเกิงนั่งลงอรรถวิทย์ก็จำต้องวางมือถือลงอย่างช่วยไม่ได้ เพราะหมู่ดำเกิงเล่าถึงเรื่องต่าง ๆให้เขาฟังไม่ได้หยุด จนสุดท้ายวนมาเรื่องในที่ทำงานของพวกเขา
“นี่ผู้กองยังไม่ได้เจอพวกเราครบทุกคนใช่ไหมครับ”
“น่าจะยังครับเมื่อวานผมเข้ามาตอนเช้า เจอสารวัตรก้องเกียรติก่อนท่านออกไปราชการที่กรุงเทพแล้วหลังจากนั้นไม่นานหมู่ชยุตย์ก็พาผมไปลงพื้นที่”
“จริง ๆสถานีตำรวจของเราก็มีสมาชิกกันเท่านี้แหล่ะครับ อย่างว่าเมืองเล็ก ๆ มีคดีให้ทำไม่เยอะก็เลยได้คนมาประจำการไม่มากเท่าไร คนส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพื้นที่ ทั้งสารวัตรหมู่ชยุตย์ จ่าสมาน กับดาบสม”
“มิน่าบ้านพักตำรวจถึงมีผมอยู่แค่คนเดียว”
“จริง ๆนอกจากผู้กองก็ยังมีพ่อพระเอกอีกคน แต่รายนั้นเขาไม่ค่อยได้พักที่นี่หรอก เขามีคอนโดอยู่ในเมือง”
อรรถวิทย์สะดุดกับคำว่าพ่อพระเอกของหมู่ดำเกิงขึ้นมา
“หมู่หมายถึงใครเหรอครับพ่อพระเอกที่ว่า”
หมู่ดำเกิงเหลียวซ้ายแลขวาแม้ไม่เห็นใครอยู่ตรงนั้นแต่นายตำรวจผู้สูงวัยกว่าก็ยังเลื่อนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งขยับเข้าไปใกล้ๆ กับที่นั่งของอรรถวิทย์ แล้วกระซิบกระซาบตอบออกไปว่า
“ก็หมายถึงหมวดชาติสยามน่ะสิครับรายนั้นเขาก็มาจากส่วนกลางเหมือนผู้กองนั่นแหล่ะ มีคนบอกว่าเขาเส้นใหญ่ได้เลื่อนขั้นปีละสองขั้นทุกปี ทำงานไม่กี่ปีตอนนี้ได้ยศแซงหน้าผมไปแล้ว”
“ถ้าเขาเส้นใหญ่ทำไมถูกย้ายให้มาประจำที่ สภ. เล็ก ๆ แบบนี้ล่ะครับ”
“ก็เมืองที่เราอยู่มันไม่ธรรมดาไงล่ะครับผมคิดว่าเขาน่าจะได้รับมอบหมายให้มาทำภารกิจอะไรในเมืองนี้ แต่อย่าให้ผมเล่าอะไรมากเลย กลัวนอกจากจะไม่ได้เลื่อนขั้นปีหน้าแล้วชะตาหัวจะขาดเอาเสียด้วย ผู้กองอยู่ไปนาน ๆ ก็จะเข้าใจเอง”
อรรถวิทย์ยิ้มแห้งๆ สิ่งที่เขาได้รับรู้ก่อนเดินทางมาน่าจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อยและผู้ใหญ่คงตัดสินใจส่งเขามาเพื่อให้ช่วยจับตาเรื่องนี้และตอนนี้เขาคิดว่ามีคนที่เขาน่าจะต้องใส่ใจเป็นพิเศษแล้ว
ชาติสยาม
แล้วช่วงสาย ๆของวันนั้น อรรถวิทย์ก็ได้พบกับพ่อพระเอกของหมู่ดำเกิงพอได้เจอตัวจริงอรรถวิทย์ถึงกับเกือบหลุดหัวเราะออกมา เขาได้แต่คิดในใจ
“หมู่ก็ช่างตั้งฉายา”
หมวดชาติสยาม ที่ไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นที่สมกับตำแหน่งพระเอกแต่รูปร่าง หน้าตา และการแต่งกายของเขาช่างเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์ไทยสมัยมิตรชัยบัญชา หรือสมบัติ เมทะนีไม่มีผิด ทั้งที่ถ้าจะคะเนจากอายุของเจ้าตัวไม่น่าจะเกิดทันได้ดูหรือเคยผ่านตาหนังในยุคนั้นเสียด้วยซ้ำ
แถมไม่ใช่แค่หน้าตาและการแต่งกายที่ดูแตกต่างจากคนอื่นๆ การปฏิบัติตัวของเขาก็ช่างแตกต่างอรรถวิทย์เห็นถึงอีโก้ของอีกฝ่ายทันทีที่พบกันครั้งแรกผู้หมวดหนุ่มที่น้อยกว่าเขาทั้งวัยวุฒิและยศตำแหน่งกลับเดินผ่านเขาเข้าไปยังห้องทำงานส่วนตัวไม่แม้แต่จะเข้ามาทำเคารพหรือแนะนำตัวอรรถวิทย์อดคิดไม่ได้ว่านายตำรวจหนุ่มคนนี้คงคิดว่าตัวเองมีแบ๊คดี จึงได้ทำตัวไม่เห็นหัวใครแบบนี้
ผู้กองหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองถูกท้าทายเขาอยากจะลองเชิงดูว่านายตำรวจคนนี้จะแน่ขนาดไหนเขาจึงเดินไปที่หน้าห้องทำงานของหมวดชาติสยาม เคาะประตูห้องส่งสัญญาณออกไปเขาได้ยินเสียงคนที่อยู่ข้างในออกปากเชิญ อรรถวิทย์จึงเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เจ้าของห้องดูไม่ได้ตระหนกตกใจหรือแปลกใจในการมาเยือนของเขาอรรถวิทย์เห็นว่าเจ้าตัวใช้เวลาอยู่พอสมควรทีเดียวกว่าที่จะลุกขึ้นมาทำความเคารพและแนะนำตัวเองกับเขา
“ผมไม่ทราบว่าผู้กองมาถึงแล้วจึงไม่ได้ไปแนะนำตัวก่อนหน้านี้”
เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นในความรู้สึกของอรรถวิทย์เพราะประกาศทางราชการก็มีมาก่อนที่เขาจะมาถึงหลายวัน ขนาดหมู่ดำเกิงยังทักเขาถูกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันนอกจากนี้ตอนที่เจอกันเมื่อสักครู่ อรรถวิทย์ก็เห็นชัดว่าสายตาของหมวดชาติสยามจ้องสบตาเขาอยู่ด้วยเขาจึงอดรู้สึกไม่ได้ว่านายตำรวจคนนี้ มีอีโก้และแบ๊คดีอย่างที่หมู่ดำเกิงบอกจริงๆ แต่เขาก็ยังไม่อยากให้กระต่ายเกิดตื่นตูมจึงทำให้เห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ไม่เป็นไรหรอกหมวดผมเพิ่งมาถึงเมื่อวาน แล้วก็ไม่ได้อยู่ที่โรงพักด้วย เมื่อสักครู่เห็นหมวดเดินผ่านก็เลยแวะเข้ามาทำความรู้จักกันไว้ เพราะเราคงต้องอยู่ร่วมงานกันอีกงาน”
แม้จะเริ่มต้นด้วยคำพูดที่แสนดีแต่อรรถวิทย์สัมผัสได้เลยว่าแววตาของชาติสยามที่มองกลับมาไม่ได้ดูเป็นมิตรแต่อย่างใดงานต่อจากนี้ของเขาคงไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาหวังไว้แน่ ๆ
“หมวดชาติเหรอครับคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแกเท่าไร ไม่ใช่แค่พวกเราที่สถานีแต่ชาวบ้านก็บ่นว่าแกขี้เก็ก แถมไม่เข้าถึงชาวบ้าน ชอบพินอบพิเทาพวกนายทุนมากกว่าคนที่ชอบแกก็น่าจะมีแค่เด็กก้อยที่ทำงานร้านป้าเพ็ญเห็นชมไม่ขาดปากว่าคุณชาติสยามหล่ออย่างกับพระเอกหนัง”
ชยุตย์พูดไปหัวเราะไปตอนท้ายประโยค
อรรวิทย์กับชยุตย์ออกมาลงพื้นที่ด้วยกันอีกวันวันนี้อรรถวิทย์เจาะจงเป้าหมายในการลงพื้นที่ด้วยตัวเอง คือเขาอยากไปแถว ๆพื้นที่บ้านของชยุตย์ เพราะได้ยินมาว่าเป็นพื้นที่ที่น่าสนใจ เพราะมีผู้มีอิทธิพลอยู่ในพื้นที่ด้วยระหว่างนั่งรถไปด้วยกันชยุตย์เล่าเรื่องในพื้นที่ของเขาให้อรรถวิทย์ฟังไปตลอดทางแต่อยู่ ๆ อรรถวิทย์กลับเปลี่ยนเรื่องมาถามความคิดเห็นของเขาต่อหมวดชาติสยามแทน จนชยุตย์อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
“ผู้กองมีอะไรรึเปล่าครับทำไมอยู่ ๆ ถึงถามถึงหมวดชาติ”
“แค่อยากรู้เรื่องของเพื่อนร่วมงานผมเห็นว่าหมวดชาติถูกส่งมาจากส่วนกลาง ก็เลยอยากรู้เรื่องของเขาเป็นพิเศษ”
“มีคนพูด ๆกันครับว่า หมวดชาติถูกวางตัวไว้ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแทนผู้กำกับจักร”
ผู้กำกับจักรในที่นี่คือผู้บังคับบัญชาของตำรวจภูธรจังหวัดตอนที่อรรถวิทย์เดินทางมาประจำการที่นี่ เขาก็ได้ไปรายงานตัวกับผู้กำกับจักรมาก่อนหน้าน่าแปลกใจที่ได้ยินว่านายตำรวจที่ยังอายุน้อยอย่างหมวดชาติจะได้สืบต่อตำแหน่งจากผู้กำกับจักร
แล้วอรรถวิทย์ก็เปลี่ยนเรื่องไปถามถึงนายตำรวจคนอื่นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
นายตำรวจทั้งสองคุยกันต่อไม่นานชยุตย์ก็ขับรถมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งมันเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงที่ดูแตกต่างจากบ้านหลังอื่น ๆ ที่รถผ่านมาไม่ใช่เพราะแค่ความใหญ่โตกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่วัสดุที่นำมาใช้ทำตัวบ้านก็เป็นไม้สักทองที่หายากและมีราคาสูงแถมอาณาบริเวณรอบ ๆ พื้นที่บ้านก็ดูกว้างขวางใหญ่โตอรรถวิทย์คิดว่าชยุตย์คงพาเขามาถึงบ้านผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ในพื้นที่แน่นอนแต่แล้วอรรถวิทย์ก็ต้องตกใจอ้าปากค้างตอนที่ชยุตย์บอกกับเขาว่า
“เดี๋ยวผมพาผู้กองไปทำความรู้จักพ่อกับแม่ผมก่อนนะครับแล้วเดี๋ยวค่อยไปสำรวจพื้นที่กัน”
“นี่บ้านหมู่เหรอใหญ่โตโอ่โถงทีเดียวเชียว”
ชยุตย์ยิ้ม ๆ แล้วก็เดินนำนายตำรวจรุ่นพี่ขึ้นไปยังตัวบ้าน
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนตัวบ้านอรรถวิทย์ยิ่งตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นมากกว่าเดิม เพราะเรือนด้านในนั้นถูกทาทับด้วยสีทองอร่ามและเครื่องใช้ภายในบ้านทุกชิ้นก็เป็นสีเดียวกันทั้งหมด เขาเดินดูเครื่องประดับและเครื่องใช้ภายในบ้านแล้วคิดว่าคงมีราคาค่างวดที่ไม่น้อยเลย อย่างนั้นฐานะทางบ้านของครอบครัวชยุตย์น่าจะนับว่าเป็นเศรษฐีระดับจังหวัดได้เช่นเดียวกัน
ขณะกำลังยืนทึ่งกับสิ่งที่เห็นชยุตย์ก็เดินพาพ่อกับแม่ของเขาออกมาจากภายในตัวบ้าน พ่อของชยุตย์ดูแล้วน่าจะอายุสักห้าสิบกว่าๆ ขณะที่แม่น่าจะอายุอ่อนกว่ากันไม่มาก ที่เดินตามคนในกลุ่มนั้นมาคือหญิงอายุน้อยที่น่าจะเป็นคนรับใช้เพราะถิอถาดเครื่องดื่มมาเสิร์ฟเขา อรรถวิทย์มองแก้วน้ำที่เขารับมาจากเด็กรับใช้มันเป็นแก้วสีทองไม่หลุดคอนเซ็ปต์ของอื่นๆ ในบ้าน
แล้วชยุตย์ก็แนะนำคนในครอบครัวเขาให้นายตำรวจหนุ่มผู้มาใหม่ได้รู้จักพ่อของชยุตย์เล่าประวัติของตนเองให้นายตำรวจหน้าใหม่ในพื้นที่ฟังว่าตัวเขานั้นเคยทำกิจการค้าไม้และเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ของอำเภอแห่งนื้แต่ตอนนี้เขาเลิกกิจการเนื่องจากอายุมากแล้วและลูกชายคนเดียวที่หวังจะให้รับช่วงสืบทอดกิจการก็ตัดสินใจไปเป็นตำรวจแทน
“จริง ๆคุณพ่อก็ยังดูแข็งแรง ไม่บอกไม่รู้เลยว่าอายุถึง 60แล้ว ถ้าบอกว่า 40 ผมยังเชื่อเลยครับ”
“แหมผู้กองก็แกล้งชมเกินไป”
ผู้เป็นภรรยาหัวเราะเบาๆ เหมือนรู้ทันว่าอีกฝ่ายนั้นแกล้งชม
“แล้วอย่างนี้ไม่เหงาเหรอครับจากเคยทำงานต้องอยู่บ้านเฉย ๆ”
“อยู่บ้านเฉย ๆที่ไหนละคะผู้กอง พ่อเขามีตำแหน่ง”
ผู้เป็นภรรยาตอบแทนเช่นเดิมอรรถวิทย์รู้สึกสงสัยกับคำว่าตำแหน่งที่ถูกพูดถึงไม่ได้ เขาจึงเอ่ยถามออกไปคราวนี้ไม่ใช่ผู้เป็นแม่ที่เป็นคนตอบ แต่เป็นชยุตย์ที่ทำหน้าที่ตอบแทน
“พ่อเป็นร่างทรงครับงานชุกเชียว มีลูกค้ามาขอจองคิวจนหัวบันไดไม่แห้งเลยครับ”
อรรถวิทย์มองชายตรงหน้าด้วยความทึ่งเรื่องในบ้านของชยุตย์ทำให้นายตำรวจผู้มาใหม่อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ มันมีอะไรหลาย ๆอย่างที่ดูแปลกจากชาวบ้านทั่ว ๆ ไปและที่น่าแปลกใจกว่าคือคนที่มีฐานะมั่งคั่งมั่นคงแบบนี้กลับให้ลูกชายไปเป็นตำรวจแทนที่จะให้สืบทอดกิจการที่ทำมาเพราะความอยากรู้เรื่องภายในครอบครัวนี้ให้มากขึ้น อรรถวิทย์จึงไม่ปฏิเสธตอนที่เขาได้รับการเชื้อเชิญจากผู้เป็นแม่ให้รับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน
“ตอนที่พ่อไปคุมการตัดไม้ครั้งนึงอยู่ ๆ พ่อก็มีอาการแปลก ๆ ตอนแรกก็ยืนสั่งงาน ทำงานได้เป็นปกติแต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อยู่ ๆ ก็ล้มลงกองที่พื้น แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งตัวสั่นพูดไม่เป็นภาษา คนที่อยู่ตรงนั้นตกใจกันหมด รีบพาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อนอนโรงพยาบาลดูอาการอยู่หลายวันแต่หมอรักษาเท่าไรก็ไม่หาย จนพระอาจารย์ที่พ่อนับถือเยี่ยมและบอกว่าพ่อถูกประทับร่างวิธีที่พ่อจะมีอาการดีขึ้นคือต้องรับเป็นร่างทรง นั่นล่ะครับคือสาเหตุที่พ่อเลิกกิจการค้าไม้”
ชยุตย์เล่าความเป็นมาเป็นไปในบ้านเขาให้อรรถวิทย์ฟังนายตำรวจหนุ่มจากกรุงเทพฟังเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความทึ่งเขาไม่เคยเจอกับเรื่องลี้ลับใกล้ตัวขนาดนี้มาก่อน แม้ใจหนึ่งจะไม่ได้รู้สึกเชื่อแต่ก็ไม่คิดลบหลู่กับสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้
“ตอนนั้นหมู่อายุเท่าไร”
“สิบสองครับผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้บ้าง ไม่ได้บ้าง รู้แต่ว่าพอพ่อกลับมาบ้านแล้วเริ่มเป็นร่างทรง หลังจากนั้นคนก็ไหลมาเทมาที่บ้านเราไม่ขาดสายจวบจนวันนี้ครับ”
ชยุตย์พาอรรถวิทย์สำรวจพื้นที่ในเขตบ้านเขามันมีหลายอย่างที่น่าสนใจ ที่ตรงนี้เป็นพื้นที่กึ่งเจริญเพราะมีผู้คนตั้งรกรากอยู่อาศัยไม่น้อย มีโรงเรียน มีวัดและมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล แต่ด้านในลึกเขาไปยังมีพื้นที่ป่า มีลำห้วยลึกเข้าไปไกลออกไปอีกมีน้ำตกที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประปราย ขณะที่อีกฟากหนึ่งนั้นเป็นอาณาบริเวณที่ตั้งของบ้านผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งชยุตย์บอกกับอรรถวิทย์ทิ้งท้ายว่า
“ที่ตรงนั้น ผมขอไม่พาผู้กองไปดูตอนนี้นะครับเดี๋ยวเราจถูกเพ่งเล็ง ผู้กองคงได้ทำความรู้จักกับเขาเอง ไม่ช้าก็เร็วต่อจากนี้”
แล้วทั้งคู่ก็ขึ้นรถกลับสถานีตำรวจด้วยกัน
สองวันหลังจากนั้น
มันเป็นวันหยุดวันแรกของการทำงานในพื้นที่ใหม่อรรถวิทย์ตั้งใจว่าจะไปห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้มาไว้ในบ้านพักตำรวจของเขา
ช่วงสาย ๆเขามาถึงห้างสรรพสินค้าดังที่ตั้งใจ พอมาถึงเขาพบว่ามันมีขนาดใหญ่โตโอ่อ่ากว่าที่คิดไว้ในพื้นที่นั้นนอกจากร้านรวงต่าง ๆ แล้ว ยังมีโรงภาพยนตร์ ลานโบว์ลิ่งและสวนน้ำอยู่ภายในห้างสรรพสินค้านั้นด้วย
นายตำรวจหนุ่มคิดโปรแกรมสำหรับวันนี้เขาจะหาอะไรดี ๆ กินสักมื้อ หาหนังดูสักเรื่อง เลือกซื้อของแล้วค่อยกลับบ้านพักนี่น่าจะเป็นวันหยุดที่ดีวันหนึ่งสำหรับเขา
แต่ตอนที่เดินผ่านร้านอาหารที่เขาอยากกินก็พบว่ามันมีคนใช้บริการอยู่อย่างหนาแน่น อาจจะเพราะเป็นช่วงใกล้เที่ยงด้วยนายตำรวจหนุ่มตัดสินใจไปดูหนังก่อน แล้วค่อยออกมากินอาหารตอนนั้นคนน่าจะน้อยลงแล้ว แต่ปรากฏว่าหนังที่เขาอยากจะดูต้องรอรอบต่อไปอีกชั่วโมงกว่าๆ เลยทีเดียว อรรถวิทย์จึงตัดสินใจไปเดินดูของที่จะซื้อก่อน
เขาเดินดูของไปทั่วห้างแล้วอยู่ ๆ สายตาของนายตำรวจหนุ่มก็สะดุดเข้ากับชาย-หญิงคู่หนึ่ง ที่เดินกระหนุงกระนิงกันจนไม่ได้สนใจใครเขามองเห็นทั้งคู่เดินเข้าลิฟท์ขึ้นชั้นบนของตัวห้าง แต่ก่อนที่ลิฟท์จะปิดลงนายตำรวจหนุ่มมองชื่อร้านค้าจากถุงที่ฝ่ายชายถืออยู่ในมือมันเป็นแบรนด์ชุดว่ายน้ำยี่ห้อดัง ตอนนั้นเองที่อรรถวิทย์ตัดสินใจบางอย่าง
ไม่นานนายตำรวจหนุ่มก็เดินมาถึงโซนเสื้อผ้าเครื่องแต่งชายเขามองไปทั่วแผนกเหมือนกับกำลังหาอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเองที่มีพนักหนุ่มหน้าสวยเดินบิดกายเข้ามาหา
“ต้องการดูเสื้อผ้าแบบไหนบอกได้นะคะ เดี๋ยวช่วยพาไปดู”
อรรถวิทย์เห็นคนตรงหน้าก็ส่งยิ้มให้เขาตอบกลับด้วยเสียงที่ออกจะเก้อเขินนิด ๆ
“อยากดูกางเกงว่ายน้ำไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนครับ”
สีหน้าของพนักงานขายดูลิงโลดขึ้นมาทันทีหล่อนคิดว่าวันนี้อาจจะมีของดีอะไรให้ดู คิดได้อย่างนั้นก็ไม่รอช้า รีบพาชายหนุ่มเดินตรงไปยังส่วนที่ขายชุดว่ายน้ำสำหรับผู้ชายทันที
ชุดว่ายน้ำถุฏนำมาวางตรงหน้าอรรถวิทย์มากมายจนเจ้าตัวเลือกไม่ถูกเขาหยิบตัวนั้น วางตัวนี้ หาเท่าไรก็ยังไม่ได้ตัวที่ถูกใจเสียที จนพนักงานต้องเข้ามาช่วยแนะนำจนในที่สุดก็ได้ชุดว่ายน้ำ 3 ตัวที่เขาต้องการ
“ผมขอลองได้ไหม”
นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถามพนักงานขายยืนลังเลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบออกไป
“จริง ๆลองไม่ได้หรอกค่ะ แต่คราวนี้ยกให้เป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวพาคุณไปลองที่ห้องลองพิเศษ เดินตามมานะคะ”
พนักงานหนุ่มใจสาวหันรีหันขวางดูต้นทางเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ นางจึงรีบเดินตัวปลิวนำหน้าผู้กองหนุ่มไปยังห้องด้านหลังที่มีป้ายติดไว้ว่าเฉพาะพนักงาน ดีที่ช่วงเวลานั้นลูกค้ามีไม่ค่อยมาก พนักงานส่วนหนึ่งก็ออกไปพักเที่ยงจึงไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น ทางจึงเปิดสะดวกให้ทั้งคู่เดินเข้าไป
พนักงานห้างพาชายหนุ่มเดินเข้าไปที่ด้านในตรงนั้นมีกระจกบานใหญ่แบบเต็มตัวตั้งอยู่พนักงานชี้มือไปที่ม่านสีม่วงที่กั้นปิดพื้นที่อยู่ แล้วบอกกับชายหนุ่มว่า
“เข้าไปผลัดผ้าในนั้นได้ค่ะ”
อรรถวิทย์ไม่รีรอเขาเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักพักก็ออกมาปรากฏกายในชุดกางเกงว่ายน้ำแบบเต็มตัวสีดำตัวเดียวโชว์เรือนร่างที่ล่ำสันจนพนักงานขายอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนที่หน้ากระจกเขามองตัวเองในชุดที่สวมใส่ หันซ้าย หันขวา เปลี่ยนอิริยาบถไปมาแต่ก็ดูเหมือนยังไม่พอใจในชุดที่สวมใส่ หลังจากนั้นเขาขอตัวไปเปลี่ยนชุดที่สองมันเป็นกางเกงว่ายน้ำแบบบรีฟสีฟ้าสดใส เขาเดินมาดูตัวเองหน้ากระจกแล้วแสดงท่าทางว่ายังไม่ค่อยพอใจนัก เขาบ่นว่ากางเกงว่ายน้ำแบบนี้ทำให้ตัวเขาตันถ้าใส่แบบบิกินี่เว้าสูงน่าจะช่วยให้ช่วงขาเขาดูยาวและตัวสูกว่าความเป็นจริงพนักงานขายจึงยื่นกางเกงว่ายน้ำตัวสุดท้ายส่งให้กับเขา มันเป็นกางเกงว่ายน้ำทรงบิกินี่เว้าสูงแบบที่เจ้าตัวต้องการแถมยังเด่นสะดุดตาด้วยสีสันลวดลายที่แสบทรวง ชายหนุ่มหยิบกางเกงว่ายน้ำตัวนั้นเดินเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ด้านหลังม่านไม่นานเขาก็เดินออกมา
สิ่งที่นายตำรวจหนุ่มเห็นหน้ากระจกตอนนี้คือชุดนั้นทำให้ตัวเขาดูตัวสูงเพรียวขึ้นอย่างที่เขาต้องการจริง ๆ แถมมันยังช่วยให้เขาโชว์เรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้อย่างเต็มที่ด้วย
“เลือกตัวนี้จริงๆ เหรอคะ”
พนักงานห้างยืนมองชายหนุ่มที่เกือบเปลือยตรงหน้าด้วยใจที่หวิวหวั่นหล่อนกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ลงคอ เอ่ยถามชายหนุ่มออกไปเพราะติดใจอะไรบางอย่างอยู่
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อ...มันไม่ประเจิดประเจ้อไปใช่มั้ยคะ”
“ยังไงครับ”
“ก็....ขนตรงง่ามขา”
พนักงานขายไม่กล้าพูดวิจารณ์ออกไปมากแต่ขนหมอยของชายหนุ่มที่แลบออกมาตรงหว่างขานั้นมันชัดจนอาจกลายเป็นจุดสนใจของผู้พบเห็นได้
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวตอนใส่ผมค่อยโกนหรือแว็กซ์ออก”
พนักงานขายถอนหายใจโล่งอกแต่ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกสิ่งที่หล่อนกังวล จนมันดูออกจากสีหน้า
“มีอะไรอีกรึเปล่าครับ”
“คือมันไม่ได้ตัวเล็กไปใช่มั้ยคะ”
หล่อนชี้มาที่ตัวกางเกงว่ายน้ำที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่ตุงเด่ตรงเป้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เหมือนแท่งลำที่ตอนแรกถูกพับเอียงไปทางซ้ายจะค่อย ๆ พองตัวตั้งชันขึ้นมาเรื่อย ๆ จนตอนนี้ส่วนหัวของมันค่อย ๆตะกายออกมาหาอากาศหายใจนอกขอบกางเกงว่ายน้ำด้านบน
“ผมเลือกตัวนี้แหล่ะครับช่วยคิดเงินให้ด้วย”
นายตำรวจหนุ่มรีบตัดบทจริง ๆ เขาอยากเล่นสนุกกับพนักงานขายให้มากกว่านี้ แต่เขามีเป้าหมายที่ต้องทำถ้าไม่รีบอาจจะพลาดโอกาสนั้น ว่าแล้วนายตำรวจหนุ่มก็ถอดกางเกงว่ายน้ำที่สวมอยู่ออกจากตัวแล้วยื่นมันส่งคืนให้พนักงานขายที่ตอนนี้ยืนอ้าปากค้างมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตกใจ
ควยทั้งลำ....ตั้งชันชี้เด่ออกมาทั้งยวง
พนักงานขายถึงกับควักยาดมมาสูดไปตลอดทางที่นำชุดกางเกงว่ายน้ำนั้นไปคิดเงิน
สวนน้ำที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาใช้บริการตอนที่อรรถวิทย์เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด เขาเห็นสายตาของผู้คนที่มองเขาเป็นตาเดียว
ใบหน้าที่หล่อเหลา
รูปร่างที่ล่ำสันสมชาย
กางเกงว่ายน้ำทรงบิกินี่ตัวจิ๋วที่มีสีสันสะดุดสายตา
และขนตรงง่ามขาที่แลบออกมาจากขอบด้านข้างของบิกินี่
นอกจากเป็นเป้าสายตาทุกคนตรงนั้นแล้วระหว่างที่เดินไปทั่วสวนน้ำ ก็มีทั้งหญิง ทั้งชาย พยายามเข้ามาทำความรู้จักกับนายตำรวจหนุ่มแต่อรรถวิทย์ไม่ได้สนใจใคร เขาไม่ได้มาที่สวนน้ำแห่งนี้ด้วยเหตุผลนี้แต่เขามีเป้าหมายอื่นรออยู่
แล้วอรรถวิทย์ก็พบเป้าหมายของเขา
ชายหนุ่มหญิงสาว หยอกล้อกันอยู่ในสระน้ำ หญิงสาวนั่งอยู่บนห่วงยางหล่อนสวมชุดว่ายน้ำบิกินี่แบบทูพีซ อวดเรือนร่างผอมเพรียวที่ผู้หญิงด้วยกันต้องอิจฉาชายหนุ่มที่คอยประคองห่วงยางมีสีหน้าภูมิอกภูมิใจในตัวหญิงสาวคู่ควงของเขา เขารู้ดีว่าชายหนุ่มที่อยู่ในสระต่างก็มองเขาด้วยความอิจฉา
แล้วอยู่ ๆร่างของชายหนุ่มก็ถูกกระแทกอย่างแรงจากด้านหลัง เขาหันไปมองด้วยความโมโห ก่อนจะพบชายที่กระแทกตัวอยู่ด้านหลังเขาคือคนที่เขารู้จัก
“หมวดชาติ”
ชายที่กระแทกร่างเอ่ยปากทักเขาชาติสยามยืนมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“บังเอิญจริง ๆมาเที่ยวสวนน้ำเหรอครับ”
หญิงสาวที่อยู่บนห่วงยางหันมาทางต้นเสียงด้วยความสนใจพอเห็นชายหนุ่มที่ทักแฟนของเธอก็เกิดความรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“เพื่อนของชาติเหรอคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามแฟนหนุ่มชาติสยามจึงจำใจต้องแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันอย่างเสียไม่ได้
“นี่ผู้กองอรรถวิทย์เพิ่งย้ายเข้ามาที่ สภ. ส่วนนี่ คุณมินนี่”
“ผู้กองอรรถวิทย์ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เหมือนว่าผู้กองเพิ่งเข้าไปพบคุณพ่อมินเมื่อไม่นานมานี้”
พอเห็นสีหน้าของผู้กองหนุ่มมีอาการงงงันหญิงสาวก็หัวเราะก่อนจะบอกว่า
“ขอโทษทีมินเป็นลูกสาวของผู้กำกับจักรค่ะ”
“ออ ใช่ครับผมเพิ่งเข้าไปพบท่านผู้กำกับเมื่อไม่กี่วันก่อนที่จะเริ่มงาน ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมินนี่”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอจนชาติสยามแสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน อรรถวิทย์ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกขำ ความอยากแกล้งอยากสั่งสอนนายตำรวจรุ่นน้องผู้ถือดียิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่เขาคิดว่าเวลานี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะ นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“เชิญคุณมินนี่กับหมวดชาติสนุกกันต่อเถอะครับผมไม่กวนแล้ว ไว้คงมีโอกาสที่เราจะได้ทำความรู้จักกันให้ดีกว่านี้”
“ยินดีค่ะผู้กองมินจะรอวันนั้นนะคะ”
ทั้งสองจากลากันด้วยรอยยิ้มอรรถวิทย์ผละจากทั้งคู่เดินขึ้นจากสระน้ำไปร่างของอรรถวิทย์ที่แม้จะเห็นแค่แผ่นหลัง แต่ก็รับรู้ได้ถึงความหนั่นแน่นและฟิตเฟิร์มร่างกายของเขาสะกดผู้คนรอบ ๆ สระให้จ้องเขาเป็นตาเดียว
เมื่ออรรถวิทย์ขึ้นไปด้านบนสระเขาก็หันหน้ากลับมาส่งยิ้มและโบกมือลาคนที่อยู่ในสระ ภาพชายหนุ่มผิวขาวจัดที่สวมกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วสีสันสะดุดตามีขนแพลมออกมาที่ง่ามขา เป็นภาพที่สร้างเสียงฮือฮาจากคนในสระได้อีกครั้ง
แต่ชาติสยามกลับมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ต่างจากคนอื่นๆ
เขาโมโหเพราะเขารู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายเย้ยหยัน
เขาคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญมันต้องเป็นความตั้งใจของอรรถวิทย์
อรรถวิทย์จะต้องได้รับผลจากการกระทำครั้งนี้อย่างสาสม
ชาติสยามได้แต่คิดวนเวียนอยู่ในใจ
[โปรดติดตามตอนต่อไป]