แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jokecup เมื่อ 2021-11-20 01:24
เส้นทางของคนร่าน
แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแม้จะกระทบที่ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่แต่มันก็ทำให้อรรถวิทย์รู้สึกตัวและตื่นขึ้นจากการหลับไหล เขาเหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังเห็นว่ามันบอกเวลาเจ็ดนาฬิกายี่สิบห้านาทีนายตำรวจหนุ่มส่ายหัวไปมาไล่ความงัวเงียที่ยังมีอยู่ให้หมดไปเขาไม่เคยนอนหลับยาวขนาดนี้มานานมากแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานคงทำให้เขาเกิดความอ่อนเพลียอย่างเต็มที่จนทำให้เขาตื่นสายได้ขนาดนี้
นายตำรวจหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วห้องแต่ไม่พบร่างของคนที่มานอนด้วยเมื่อคืนเขาขึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้องนอน เขาเห็นถุงใส่โจ๊ก ปาท่องโก๋ข้าวเหนียวหมูปิ้ง พร้อมแก้วกาแฟร้อนและไข่ลวกวางอยู่บนโต๊ะอาหาร เมื่ออรรถวิทย์เดินไปที่โต๊ะอาหารเขาเห็นกระดาษที่เขียนข้อความทิ้งไว้ว่า
‘ผมตื่นมาเห็นผู้กองยังหลับอย่างมีความสุข(ผมเห็นผู้กองยิ้ม)ผมจึงตัดสินใจไม่ปลุกผู้กอง อยากให้ผู้กองพักผ่อนให้เต็มที่ เพราะเมื่อวานนี้ผู้กองคงเหนื่อยและเสียพลังงานไปมากระหว่างรอผู้กองตื่น ผมออกไปหาอาหารเช้ามาให้ แต่เนื่องจากผมไม่รู้ว่าผู้กองชอบทานอะไรจึงซื้อมาทั้งหมดที่มีขาย จริง ๆ ผมหวังจะทานอาหารมื้อนี้ร่วมกับผู้กองแต่เห็นผู้กองยังไม่ตื่นจึงไม่อยากรบกวน ผมจึงขอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดสำหรับทำงานผมหวังว่าผู้กองจะมีความวุขกับอาหารมื้อนี้ แล้วพบกันที่สถานีตำรวจนะครับ’
ไม่รู้ทำไมใจของอรรถวิทย์เต้นแรงเขาอ่านทวนข้อความนั้นไปมาหลายรอบระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารที่ชยุตย์ซื้อมาให้
ตอนที่ส่องกระจกระหว่างแต่งตัวอยู่ ๆ ในหัวของเขาก็คิดขึ้นมาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำหน้าอย่างไรเมื่อเจอกับอีกฝ่ายที่สถานีตำรวจในวันนี้
อรรถวิทย์เฝ้าแต่วนเวียนคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาจนไปถึงสถานีตำรวจ
เช้านี้ที่สถานีตำรวจยังไม่มีอะไรวุ่นวายมากนักอรรถวิทย์ชงกาแฟแล้วเข้าห้องทำงานส่วนตัวของเขา ยังไม่ทันได้เริ่มงานหมู่ดำเกิงก็เข้ามาบอกกับเขาว่าสารวัตรก้องเกียรติต้องการพบตัวเขา
อรรถวิทย์นั่งอยู่ตรงหน้าผู้บังคับบัญชาของเขาสารวัตรก้องเกียรติบอกกับเขาว่ามีเรื่อง 2เรื่องที่ต้องแจ้งให้เขาทราบเรื่องแรกคือคดีของนายสิงห์ผู้ต้องหาที่ขับรถตกน้ำ แม้ว่าการสอบปากคำและการตรวจค้นรถในเบื้องต้นจะไม่พบสิ่งที่เอาผิดได้แต่จากการสืบประวัติรถคันที่ตกน้ำพบว่าเป็นรถที่เคยพัวพันกับคดีที่ผิดกฎหมาย ตอนนี้จึงต้องขยายผลด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ไปงมที่บริเวณคลองที่รถตกลงไปเพราะอาจเป็นไปได้ว่าระหว่างที่นายสิงห์ขับรถลงคลองจะถือโอกาสทำลายหลักฐานโดยการโยนสิ่งต้องสงสัยออกจากรถไปในตอนนั้น
“ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบนำทีมไปจัดการเรื่องนี้เลยนะครับสารวัตร”
อรรถวิทย์รีบขันอาสาแต่สารวัตรก้องเกียรติรีบเบรกเขาทันที และแจ้งให้เขาทราบว่า คดีนี้ตอนนี้ถูกโอนให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของชาติสยามแทนแล้วและขณะนี้ชาติสยามได้พาทีมไปตรวจค้นจุดที่รถตกลงไปอีกครั้งแล้ว
อรรถวิทย์รู้สึกงุนงงที่สารวัตรก้องเกียรติโอนคดีนี้ไปให้อยู่ในความรับผิดชอบของชาติสยามแทนที่เขาจะได้ทำคดีนี้ต่อแต่ยังไม่ทันได้ถามถึงสาเหตุ สารวัตรก้องเกียรติก็บอกกับเขาถึงเหตุผลดังกล่าว
“อย่างที่ผมได้บอกกับผู้กองตั้งแต่แรกแล้วว่าผมมีเรื่องที่จะแจ้งให้ผู้กองได้ทราบสองเรื่อง และเรื่องที่สองที่ผมจะแจ้งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องโอนคดีที่ผู้กองรับผิดชอบไปให้กับหมวดชาติสยาม”
สารวัตรก้องเกียรติยื่นจดหมายฉบับหนึ่งวางตรงหน้าของอรรถวิทย์มันถูกส่งมาจากป่าไม้จังหวัด อรรถวิทย์หยิบมันขึ้นมาอ่าน มันเป็นจดหมายขอความร่วมมือในการทำคดีผู้เสียชีวิตจากการรุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน
“ผมอยากให้คุณตามคดีนี้ต่อเพราะมันเป็นคดีที่ซับซ้อนและอาจจะเกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ผมไม่แน่ใจว่าคนของเรามีใครที่มีนอกมีในกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่นี้บ้างแต่ผมมั่นใจว่ามีคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องแน่ ๆ ก็คือคุณเพราะฉธนั้นผมฝากความหวังว่าคุณจะสามารถคลี่คลายมันได้”
อรรถวิทย์ยอมรับว่าเขารู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญนี้เขาถือจดหมายฉบับนั้นกลับมาที่ห้องทำงาน และคงต้องรีบประสานงานกับทางป่าไม้จังหวัดเพื่อทำภารกิจนี้ร่วมกัน
นายตำรวจหนุ่มดูชื่อของป่าไม้จังหวัดที่ลงไว้ในท้ายจดหมาย
นายเขตต์อรัญ พิทักษ์พงไพร
เขาไม่นึกเลยว่าโลกจะกลมขนาดนี้
แล้วก็เป็นดังคาดการงมหาหลักฐานในจุดที่รถตกลงไปในน้ำ ทำให้เจ้าหน้าที่ได้สิ่งของหลายอย่างที่ไม่ได้คาดคิดไว้ว่าจะได้มาเป็นหลักฐาน
ชาติสยามไม่รอช้าเขารีบบอกกับชยุตย์ที่เป็นหนึ่งในทีมค้นหาให้ออกหมายเรียกนายสิงห์กลับมาให้ปากคำอีกครั้งชยุตย์ที่ได้ฟังดังนั้นก็รีบทัดทานทันที เขาคิดว่าหลักฐานที่พบนี้ยังไม่สามารถมัดตัวและระบุไปถึงความเกี่ยวพันกับนายสิงห์ได้แต่ชาติสยามก็ไม่ยอมรอและคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็ต้องได้ความคืบหน้าอะไรบางอย่างจากการสอบปากคำเพิ่มเติมนี้ชยุตย์จึงไม่มีทางเลือกและต้องยอมทำตามที่ชาติสยามสั่ง
นายสิงห์เองก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดีเขาเดินทางมาให้ปากคำทันทีที่ได้รับหมายเรียก ตอนที่นายสิงห์เดินเข้ามามันเดินสวนกับชยุตย์ที่ออกไปทำหน้าที่สังเกตการณ์อยู่นอกห้องนายตำรวจหนุ่มเห็นรอยยิ้มหยันจากอีกฝ่ายที่ส่งมาให้เขา มันทำให้ชยุตย์รู้สึกงุนงงละสงสัยในท่าทีนั้นแต่ตอนนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่ชยุตย์จะหาคำตอบอะไรได้ เขาจึงต้องปล่อยผ่านมันไป
แล้วก็เป็นอย่างที่ชยุตย์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แม้จะมีของกลางมากองให้เห็นตรงหน้าแต่นายสิงห์ก็บ่ายเบี่ยงและไม่ยอมรับว่าสิ่งผิดกฎหมายที่ตำรวจงมมาได้จากในคลองนั้นเป็นของเขาขณะที่ชาติสยามเองก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าของเหล่านี้พัวพันหรือเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายสิงห์อย่างไรบ้างสุดท้ายชาติสยามจึงจำต้องไปปล่อยตัวนายสิงห์ออกไป
นายตำรวจหนุ่มยิ่งรู้สึกหัวเสียเมื่อนายสิงห์ไม่ยอมลุกออกจากห้องสอบสวนไปแต่กลับแสยะยิ้มด้วยท่าทีที่น่าหมั่นไส้อยู่อย่างนั้น แล้วจู่ ๆ นายสิงห์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ไอ้ตำรวจสองคนที่มันจับกูมามันไม่ได้ทำคดีนี้แล้วเหรอ”
“มึงจะอยากรู้ไปทำไม”
“กูก็แค่อยากรู้ว่ามันไม่ได้ทำคดีนี้เพราะมันถูกไล่ออกไปแล้วรึเปล่า”
ชาติสยามขมวดคิ้วมองหน้าคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
นายสิงห์ยังยิ้มหยันไม่เลิกมันขยับตัวเข้ามาใกล้ชาติสยามมากขึ้น ก่อนจะกระซิบกระซาบบอกว่า
“ข้อหากระทำการอนาจารในที่สาธารณะมึงอยากให้กูเล่าให้มึงฟังมั้ย คุณตำรวจ”
พูดจบนายสิงห์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังออกมาชาติสยามงุนงงกับคำพูดนั้นของนายสิงห์ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้รู้ข้อมูลอะไรจากอีกฝ่ายนายสิงห์ก็ลุกขึ้นยืน ก่อนออกจากห้องไปมันบอกกับชาติสยามว่า
“อยากได้ข้อมูลลับจากกูมึงต้องมีของแลกเปลี่ยน ติดต่อกูมาเป็นการส่วนตัว แล้วมึงจะได้เรื่องใหญ่ไปอยู่ในมือ”
อรรถวิทย์ยืนอยู่หน้าห้องของป่าไม้จังหวัดที่หน้าประตูนั้นติดชื่อของเขตต์อรัญเอาไว้ ทันทีที่ได้รับคำตอบรับจากบุคคลในห้องเจ้าหน้าที่ก็เปิดประตูพาอรรถวิทย์เข้าไปในห้อง
เขตต์อรัญที่ยืนรอต้อนรับอรรถวิทย์อยู่ในห้องยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะไม่ได้เจอกันมานานถึงสิบห้าปีแล้วก็ตาม เขายังหล่อ เนี้ยบและแลดูสุขุมไม่เปลี่ยนไปจากสมัยตอนเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายเลย
รุ่นพี่เขตต์อรัญพิทักษ์พงไพร รองประธานนักเรียนรุ่น 13
ชายหนุ่มทั้งสองนั่งปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ป่าอยู่นานร่วมสองชั่วโมงก่อนที่จะได้ข้อยุติเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานต่อจากนี้ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการเขตต์อรัญ ก็ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีเดินออกมาส่งอรรถวิทย์ถึงที่รถ
“ไม่คิดเลยนะครับว่าจะได้มาพบพี่เขตต์ที่นี่”
อรรถวิทย์เปิดประโยคขึ้นมาสร้างความงุนงงให้กับอีกฝ่ายเขตต์อรัญตอบกลับผู้มาเยือนออกไปว่า
“ขอโทษนะครับเราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ”
อรรถวิทย์อมยิ้มเมื่อได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายนายตำรวจหนุ่มตอบกลับไปว่า
“พี่เขตต์อาจไม่รู้จักผมหรอกครับแต่ผมคิดว่าไม่มีเด็กโมกคนไหนที่จะไม่รู้จักรองประธานนักเรียนรุ่น 13”
คำตอบของอรรถวิทย์ทำเอาใบหน้าของเขตต์อรัญเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นความยินดีที่ได้มีโอกาสเจอรุ่นน้องร่วมสถาบัน ทั้งคู่ยืนคุยรำลึกความหลังกันตรงลานจอดรถอยู่พักใหญ่ก่อนที่อรรถวิทย์จะขอตัวลากลับเนื่องจากบรรยากาศรอบข้างเริ่มคล้อยเย็นแล้ว
“นานแล้วไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องสมัยเรียนเลยพอได้พูดเรื่องนึงก็เลยลากยาวเลย เอาไว้ว่าง ๆ ก็ติดต่อมาได้พี่จะพาเราชมป่าไม้ที่นี่ มีที่ที่น่าสนใจมากมายเลย”
“ได้ครับพี่เขตต์ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ”
อรรถวิทย์ขึ้นรถแล้วขับมันออกไปจากตรงนั้นนายตำรวจหนุ่มมองจากกระจกส่องหลัง เขายังเห็นเขตต์อรัญยืนมองเขาอยู่ เรื่องราวความหลังสมัยเรียนผุดกลับขึ้นมาในหัวของอรรถวิทย์อีกครั้งนายตำรวจหนุ่มคิดว่าเขาต้องมีโอกาสได้รื้อฟื้นมันกับรุ่นพี่ของเขาอีกอย่างแน่นอน
[โปรดติดตามตอนต่อไป]
|