"แล้ว... มีเพื่อนใหม่บ้างป่ะที่โรงเรียน?" เป็นครั้งแรกที่ผมกล้ามองหน้าของน้องแบบชัดๆ สังเกตุว่าหน้าน้องดูเรียวยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงความน่ารักไว้ไม่ต่างจากเดิม ต่างก็ตรงที่สีหน้าของน้องจะดูเศร้าๆ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนที่อยู่กับผมแล้ว
"ก็พอมีครับ... แต่ไม่ได้สนิทมาก" น้องยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา ตายังคงจ้องจอมือถืออยู่
"แล้วกาย... ยังโกรธพี่อยู่หรือเปล่าเหรอ?" ผมเริ่มเข้าเรื่องโดยไว แต่ก็เห็นน้องกายยังนั่งนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมา
"พี่ขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมานะ... พี่ยอมรับว่าพี่ผิดเองแหละ สมควรแล้วแหละที่กายจะโกรธพี่" ผมเริ่มน้ำตาคลอพยายามกลั้นไว้ไม่ให้ร้องไห้ และรวบรวมสติเรียบเรียงคำพูดที่อยากจะบอกกับน้อง
"กายจะโกรธพี่ต่อไปพี่ก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะบอกก่อนอ่ะ"
"เรื่องอะไรเหรอครับ?" น้องกายหันมาถามผม
"คือ... พี่เพิ่งรู้มาว่าจริงๆ แล้ว... กายกับพี่เป็นพี่น้องกัน และมีพ่อคนเดียวกันอ่ะ" ผมพูดจบจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง พยายามกลั้นยังไง ก็กลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
"เรื่องนั้นผมรู้นานแล้วครับ..." น้องยังคงหลบหน้าผม และหันไปดูจอมือถือต่อ
"จริงเหรอ? รู้ตั้งแต่ตอนไหนอ่ะ?" ผมยิ่งตกใจเมื่อได้ยินคำตอบ ไม่คิดมาก่อนว่าน้องจะรู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
"แม่เคยเล่าให้ผมฟัง หลายปีมาแล้วครับ..." น้องพูดจบสังเกตุเห็นเริ่มมีน้ำตาคลอเล็กน้อย ถึงว่าที่ผ่านมาน้องถึงได้รักผมมาก รักจนยอมให้ผมหมดทุกอย่างในตอนนั้น
"งั้น... พี่ไม่มีอะไรแล้วล่ะ... พี่ขอโทษจริงๆ นะ" ผมพยายามตัดจบ ไม่อยากทำให้น้องร้องไห้ออกมา เพราะอีกไม่นานน้ากิ่งก็คงเสร็จธุระกลับมาแล้ว รีบเช็ดน้ำตาตัวเองพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ จนไม่นานนักน้ากิ่งก็เดินมาขึ้นรถและหันมามองที่ผม ผมเลยยิ้มให้น้าเป็นการขอบคุณที่ให้ได้ผมได้พูดเคลียร์เรื่องที่คาใจกับน้องกายในวันนี้ ทำเอาผมโล่งเป็นอย่างมากที่ได้ระบายความในใจจากความอัดอั้นที่สะสมมานาน ส่วนน้องกายก็ยังคงนั่งเงียบไปตลอดทาง จนกระทั่งเรากลับไปถึงห้องพักของน้ากิ่งด้วยกัน
ผมกับน้องกายก็ยังไม่ได้มีโอกาศได้คุยกันอีกเลย ถึงแม้จะนอนห้องเดียวกันในห้องพัก ซึ่งน้องจะนอนบนเตียงกับน้ากิ่ง ส่วนผมก็ปูที่นอนด้านล่างเตียงกับแม่ ตรงที่ผมเคยแกล้งหลับตามแผนน้องกายในการให้น้องไปอมของน้าเติ้ลเพื่อให้ผมลบคลิปในมือถือ พอนึกย้อนกลับไปก็นึกโกรธตัวเองที่ดันยอมให้น้องชายผมไปทำอะไรแบบนั้น รวมถึงการที่พาน้องไปลองเสียวกับทั้งลุงป้องและลุงชัย เพื่อสนองตัณหาของตัวผมเอง
จนไม่กี่วันผมกับแม่ก็ได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดกัน ซึ่งผมก็ถามแม่เรื่องย้ายบ้านแล้วได้ความว่าน้ากิ่งไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอคุยปรึกษากับน้องกายก่อน ว่าจะเอายังไงเดี๋ยวจะโทรมาบอกอีกที ทำเอาผมใจชื้นไปอีกหนึ่งขั้น รอลุ้นข่าวดีที่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับน้องกายแล้วว่ายังจะอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผมต่ออีกหรือไม่
ในระหว่างรอคำตอบอยู่นั้น ผมก็เปิดคอมเล่นเฟสไปเรื่อย และมาสะดุดตากับการเห็นแจ้งเตือนขึ้นว่ามีคนรับแอดเป็นเพื่อนแล้ว เป็นรูปโปรไฟล์การ์ตูนสไปเดอร์แมน ชื่อเฟสก็เป็นชื่อนามสกุลจริงของน้องกายน้องชายของผมนั่นเอง แต่น้องนั้นยังใช้นามสกุลเดียวกันกับน้ากิ่งอยู่ ผมเลยไม่รอช้ารีบทักไปคุยกับน้องทันที
ผม: 'หวัดดีกาย นี่พี่มิกเองนะ นี่กายเล่นเฟสนี้เองเลยใช่มั้ย' ผมพิมพ์ไปไม่นานก็ขึ้นว่ามีคนอ่านแล้ว แสดงว่าน้องยังเปิดเฟสเล่นอยู่พอดี
น้องกาย: 'ใช่ครับ เล่นเอง'
ผม: 'ขอบคุณที่รับแอดพี่นะ นึกว่ากายไม่ได้เล่นเฟสแล้ว'
น้องกาย: 'ครับ'
ตอนนี้ผมดีใจเป็นอย่างมาก ที่น้องเริ่มยอมรับและคุยกับผมต่อ พยายามนึกคำพูดอยู่ว่าจะพิมพ์บอกน้องยังไงดีให้น้องยอมย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับผมที่กรุงเทพ
ผม: 'แล้วทำไรอยู่เหรอ'
น้องกาย: 'นอนเล่นอยู่ครับ'
ผม: 'ว่างคุยป่าวอ่ะ'
น้องกาย: 'ก็ว่างครับ ทำไมเหรอครับ'
ผม: 'แม่กายได้คุยเรื่องที่จะย้ายไปอยู่กับพี่ที่กรุงเทพยังเหรอ'
น้องกาย: 'คุยบ้างแล้วครับ'
ผม: 'แล้วกายล่ะ อยากย้ายมาอยู่ด้วยกันมั้ย'
ในแชทผมขึ้นว่าน้องอ่านข้อความแล้ว แต่เงียบไปไม่มีพิมพ์ตอบอะไรกลับมาทำเอาผมลุ้นเป็นอย่างมาก แต่การที่ได้พิมพ์คุยกับน้องกายแบบนี้นั้นง่ายกว่าคุยแบบต่อหน้าเยอะเลย ไม่เกร็งเท่าตอนวันที่เจอกันคราวก่อนแล้ว
ผม: 'พี่ยังอยากอยู่กับกายนะ พี่ขอโอกาสแก้ตัวได้มั้ยอ่ะ'
น้องกาย: 'พี่มิก'
ผม: 'อะไรเหรอกาย'
น้องกาย: 'ผมไม่อยากเสียใจอีกแล้วอ่ะ'
ผม: 'พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้กายเสียใจอีกแล้ว สัญญาว่าจะเป็นพี่ชายที่ดี มีอะไรก็จะบอกกายทุกเรื่องเลย พอรู้ว่ากายเป็นน้องชายพี่ก็ยิ่งรักกายมากกว่าเดิมอีกจริงๆ นะ'
น้องกาย: 'ผมขอถามไรได้มั้ย'
ผม: 'ได้สิ ถามอะไรเหรอ'
น้องกาย: 'ถ้าพี่ไม่รู้ว่าผมเป็นน้องชาย พี่ยังจะรักผมอยู่มั้ย' น้องเหมือนจะถามลองใจ ผมเลยพยายามไม่โกหก ลองตอบตามความรู้สึกจริงๆ โดยหวังว่าน้องคงจะเข้าใจ
ผม: 'ไม่ว่ากายจะเป็นใครพี่ก็รักกายหมดแหละ แต่หลังจากพี่รู้ว่ากายเป็นน้องแล้ว เลยรู้สึกผูกพันธ์มากกว่าเดิม อยากอยู่ใกล้ๆ จะได้คอยดูแลกายได้อ่ะ'
น้องกาย: 'ครับ งั้นผมไปกินข้าวก่อนนะครับ'
ผม: 'เคๆ งั้นไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ'
เราไม่ได้คุยอะไรกันต่อจากนั้นเลย ปล่อยให้น้องใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง ผมไม่อยากเซ้าซี้หรือบังคับอะไรน้องอีกแล้ว เพราะกลัวน้องจะรำคาญ
วันถัดมาผมก็ได้ยินเสียงแม่คุยโทรศัพท์กับน้ากิ่ง คงคุยกันเรื่องที่ผมกับแม่จะย้ายไปกรุงเทพ พอแม่วางสายผมเลยรีบตรงดิ่งไปถามแม่ด้วยความตื่นเต้น
"สรุปเขาตกลงยังอ่ะแม่? น้ากิ่งว่ายังไงบ้าง?" ผมถามด้วยความลุ้นแบบสุดขีด แต่ถึงผลสรุปจะเป็นยังไงก็ทำใจเอาไว้อยู่แล้ว
"น้าเขาบอกมาแล้ว ว่าเขากับน้องกายโอเคนะ เดี๋ยวเขาจะช่วยผ่อนบ้านด้วย และบอกให้แม่ประกาศขายบ้านที่นี่ได้เลย แล้วเดี๋ยวจะมาช่วยขนของย้ายไปกรุงเทพ" แม่ตอบและยิ้มให้ผม ทำเอาผมดีใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก และดีใจที่น้องกายยอมยกโทษให้ผมแล้ว
"จริงเหรอแม่? ขอบคุณมากนะครับ" ผมพูดจบรีบโอบกอดแม่ด้วยวามดีใจ
"แล้วแม่โอเคแล้วใช่มั้ย ถ้าจะขายบ้านหลังนี้อ่ะ?"
"อื้ม... แม่ตัดใจได้แล้วแหละ ดีเหมือนกันจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่สักที" แม่ยิ้มให้แบบน้ำตาคลอเบ้า คงจะเศร้านิดๆ เพราะบ้านหลังนี้ถือเป็นความทรงจำดีๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ระหว่างพ่อกับแม่
ผมเตรียมเก็บข้าวของในห้องนอน ตื่นเต้นดีใจที่จะได้ย้ายบ้านใหม่แล้ว แต่ยังมีเรื่องที่ต้องสะสางให้จบอยู่ นั่นก็คือน้องตังค์แฟนของผมที่ยังคงไม่รู้เรื่องนี้ ผมเลยตัดสินใจว่าจะไปพูดคุยกับน้องแบบตรงๆ
"ตังค์... อยู่บ้านป่าว?" ผมปั่นจักรยานมาตะโกนเรียกน้องอยู่หน้าบ้าน หิ้วเอาของฝากที่แม่ซื้อให้ตอนไปกรุงเทพมาด้วย
"อ่าวพี่ กลับมาแล้วเหรอ?" เสียงเด็กชายทักขึ้นพร้อมเดินมาเปิดประตูรั้วหน้าบ้าน เห็นน้องยิ้มแป้นดีใจที่ได้เห็นผม
"กลับมาสักพักแล้ว อ่ะนี่ของฝากแม่พี่ซื้อมาให้"
"ขอบคุณนะพี่" น้องตังค์รับของกำลังจะเดินเอาไปเก็บในบ้าน
"ตังค์ว่างป่ะ? ไปนั่งจักรยานเล่นด้วยกันหน่อยสิ"
"ได้พี่ เดี๋ยวเอาของไปให้แม่ก่อนนะ" น้องเดินเอาของไปเก็บ และกลับออกมาซ้อนท้ายจักรยานผม ทำผมตื่นเต้นอย่างมากไม่รู้จะบอกน้องยังไงไม่ให้เสียใจดี
"ตังค์... พี่มีเรื่องอยากจะบอกอ่ะ" ผมพูดขณะพาน้องปั่นจักรยานวนเล่นช้าๆ อยู่รอบหมู่บ้าน
"มีอะไรเหรอพี่?"
"คือ... อีกไม่กี่วันเดี๋ยวพี่จะย้ายบ้านแล้วนะ"
"จริงเหรอพี่? แบบย้ายถาวรเลยเหรอ?"
"อืมใช่... พี่เพิ่งรู้ว่าไอกายเป็นน้องแท้ๆ ของพี่อ่ะ เลยว่าจะชวนแม่พี่ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพ"
"อ่อ... แล้วอย่างงี้... เราก็ต้องเลิกกันอ่ะสิ?" น้องตังค์ดูเสียงอ่อยๆ จนผมเริ่มสงสารน้องขึ้นมาจับใจ
"คงต้องแบบนั้นอ่ะ... เพราะพี่คงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว... พี่ขอโทษนะตังค์..."
"ไม่เป็นไรพี่... ขอบคุณที่มาบอกผมนะ ดีแล้วที่พี่ไม่หายไปเฉยๆ อะครับ" น้องโอบกอดผมแน่นขณะซ้อนท้ายอยู่ และสัมผัสได้ว่าน้องเอาหน้าซบที่หลังของผมไปด้วย
"พี่ต้องบอกอยู่แล้ว... ขอบคุณเหมือนกันที่มาเป็นแฟนพี่นะ..." ผมเอามือข้างนึงมากุมมือน้องที่ตอนนี้โอบรัดรอบเอวผมอยู่ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ออกมาต่อหน้าน้องตังค์
"อิจฉาไอกายเนอะ... ที่มีพี่ชายแบบพี่อ่ะ" น้องพูดพร้อมยกหัวขึ้นจากที่ซบหลังผม
"ไม่ต้องอิจฉาหรอก เดี๋ยวตังค์ก็หาคนที่ดีกว่าพี่ได้อยู่ละ" ผมหันหน้าไปยิ้มให้กับน้อง เห็นน้องยิ้มตอบกลับมาก็ชื่นใจ
"ถ้าได้จริงก็ดีสิพี่ ฮ่าๆ" น้องยังคงขำได้เบาๆ ทำเอาผมเริ่มอุ่นใจเมื่อรู้ว่าน้องคงไม่เป็นไรมาก จากนั้นก็ปั่นไปส่งน้องที่หน้าบ้าน
"วันไหนถ้าพี่ขนของ อยากมาช่วยพี่ขนด้วยมั้ย? เผื่อเจอไอกายมันอาจจะมาด้วย"
"ได้พี่ ผมอยากเจอไอกายเหมือนกัน... งั้นผมเข้าบ้านแล้วนะ..." น้องยิ้มให้ผมอีกรอบก่อนจะปิดรั้วเดินเข้าบ้านไป ผมรู้สึกดีและโล่งใจที่เรายังจากกันด้วยดี น้องอาจจะยังเด็กคงไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น
ผมได้แต่ปั่นจักรยานกลับบ้านแบบเศร้าๆ รีบขึ้นบ้านถอดเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำ แต่ก็ต้องสะดุดตากับรอยเปื้อนบางอย่างที่เสื้อของผม คงเป็นคราบน้ำตาน้องตังค์ที่ตอนมาซบหลังผมแน่ๆ ทำเอาผมไม่รอดเหมือนกันกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ และทิ้งตัวนั่งร้องไห้ระบายความเศร้าออกมาอยู่บนพื้นห้องน้ำไปสักพัก นึกเสียดายเหมือนกันที่ต้องเลิกกับแฟนที่นิสัยดีแบบน้องตังค์ เพราะในตลอดเวลาที่คบกันมาแทบว่าไม่เคยมีเรื่องให้เราต้องทะเลาะกันรุนแรงเลย และถือว่าน้องเป็นแฟนผู้ชายคนแรกในชีวิตของผมอีกด้วย
ไม่กี่วันต่อมาก็ได้ข่าวจากน้ากิ่งว่าได้ทำเรื่องซื้อบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่น้ากับแม่ของผมได้ช่วยกันเลือกและส่งภาพบ้านมาให้ดู เป็นบ้านสองชั้นหลังไม่ใหญ่มากแบบทาวเฮาส์ มีสองห้องนอนพอสำหรับอยู่ด้วยกัน 4 คนแม่ลูก จากนั้นก็ขับรถพาน้องกายมาที่บ้านของผมเพื่อช่วยกันขนของ พร้อมกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่จ้างมา ผมเลยโทรชวนน้องตังค์มาด้วยตามที่บอกกับน้องไว้
"โหไอตังค์... ไม่เจอปีเดียวตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะมึง" เสียงเล็กๆ ของน้องกายลงมาจากรถพูดทักทายน้องตังค์ตามประสาเพื่อนเก่า
"แล้วมึงอ่ะ ทำไมยังเตี้ยเหมือนเดิมเลยวะ ฮ่าๆๆ"
"ปากหมาไม่เปลี่ยนเลยไอสัตว์นี่ ฮ่าๆ" น้องกายดูร่าเริงขึ้นจากคราวก่อนมาก ทำเอาผมชื่นใจที่ได้เห็นรอยยิ้มน้องอีกครั้ง
บรรยากาศการขนของก็ดูกระอักกระอ่วนนิดหน่อย เพราะผมกับน้องกายยังคงไม่กล้าคุยอะไรกันมากเท่าไหร่ ส่วนน้องตังค์ก็ยิ่งไม่กล้าคุยอะไรเพราะเพิ่งบอกเลิกกันมา แต่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดีใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ขนของขึ้นรถจนหมด ผมยังคงยืนลำลึกดูห้องนอนโล่งๆ ที่ไม่เหลือของใช้อะไรแล้ว เหลือไว้เพียงตู้เสื้อผ้ากับเตียงเก่าๆ ที่ผมเคยใช้นอนตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเป็นที่เคยได้ใช้ช่วงเวลาอันมีความสุขกับน้องกาย
"พี่มิก แม่ให้มาเรียกอะ... จะไปกันแล้ว" ผมหันไปตามเสียงเล็กๆ เห็นน้องกายเดินขึ้นชั้นสองมาเรียกผม ก่อนจะรีบกลับลงไปชั้นล่าง คงเพราะน้องอาจจะมีความทรงจำที่ไม่ดีกับห้องนี้ไปแล้ว ห้องที่ผมเคยได้ขืนใจน้องในคืนนั้น
พอผมลงไปถึงด้านล่างเห็นน้องกายกำลังยืนบอกลาเพื่อนเก่าที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ และยื่นมือถือให้น้องตังค์ดูเหมือนกำลังแลกเฟสเอาไว้คุยกัน นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นหน้าน้องตังค์แล้ว เลยกะว่าจะเดินไปบอกลาน้องเช่นกัน
"ตังค์... พี่ไปแล้วนะ มีอะไรก็ทักเฟสมาคุยได้นะ"
"ครับผม... โชคดีนะพี่..." น้องยืนสบตากับผมและยิ้มให้กันแบบเศร้าๆ เห็นน้องกายแอบมองทำหน้าสงสัยอยู่ ผมเลยรีบเปิดประตูขึ้นรถแก้เขิน สายตามองตามน้องตังค์ที่กำลังปั่นจักรยานออกจากซอยบ้านผมไป ทำเอาผมน้ำตาคลออีกครั้งเมื่อนึกถึงวันเก่าๆ แต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ พยายามทำตัวปกติเพื่อไม่ให้แม่กับน้องกายสังเกตุเห็นและสงสัยเอา
ผมนั่งหลับบนเบาะหลังกับน้องกายตลอดทางเพราะความเหนื่อยและเพลียจากการขนของ จนกระทั่งตื่นมาอีกทีก็เดินทางมาถึงบ้านหลังใหม่ของเรากันแล้ว เลยพาน้องกายเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้าน และเดินดูจับจองห้องนอนกัน
"พี่มิก อยากนอนห้องเดียวกับกายอีกป่ะ?"
"ได้เหรอ? อยากสิ" ผมหันไปยิ้มให้น้องแบบดีใจสุดขีด แสดงว่าน้องกายคงยอมให้อภัยผมแล้วจริงๆ
"ได้สิครับ ก็เราเป็นพี่น้องกันหนิ... งั้นเดี๋ยวกายบอกแม่ให้ไปนอนกับแม่พี่ละกัน" น้องกายยิ้มเขินจนหน้าเริ่มแดง ทำเอาผมเขินตามและโล่งใจไปด้วยในเวลาเดียวกัน ที่น้องกลับมาเรียกแทนตัวเองว่า 'กาย' ไม่ใช้คำว่า 'ผม' เหมือนตอนที่ยังโกรธกันอยู่แล้ว
วันนั้นเราต่างช่วยกันขนของลงและจัดบ้านกันถึงมืด ทำเอาผมเริ่มหมดแรงอยากจะนอนพักผ่อนคืนแรกในบ้านหลังใหม่นี้แล้ว เลยรีบอาบน้ำใส่ชุดนอน ปูผ้าสำหรับนอนบนพื้นชั่วคราวไปก่อน เพราะยังไม่ได้ซื้อเตียงใหม่เข้ามาเลย ส่วนน้องกายก็ปูที่นอนแยกข้างๆ ผมเหมือนกัน นอนกอดตุ๊กตาแพนด้าตัวโปรดที่น้องใช้กอดตอนนอนตั้งแต่ยังเด็กๆ ทำเอาผมดีใจที่ได้นอนในห้องเดียวกับน้องกายอีกครั้ง แต่เป็นแบบแยกผ้าห่มกันไม่ได้นอนติดกันเท่าไหร่นัก เพราะผมก็ยังคงแอบกลัวน้องกายอยู่ ทั้งที่ความจริงผมอยากจะเอื้อมมือไปกอดน้องให้เต็มที่ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องจะคิดยังไงกับผมแน่ หรือน้องอาจจะเลิกชอบผู้ชายแล้วก็เป็นได้
"พี่มิก... พี่เป็นแฟนกับไอตังค์เหรอ?" จู่ๆ น้องก็ถามขึ้นขณะกำลังนอนกันอยู่ในห้องนอนที่ปิดไฟมืดสลัวทั้งห้องแล้ว ทำเอาผมพูดไม่ออก แต่ก็สัญญากับน้องแล้วว่าจะเล่าความจริงทุกอย่างต่อจากนี้
"ใช่... แต่เพิ่งเลิกกันตอนจะย้ายมานี่แหละ"
"อ่าว... เลิกทำไมอ่ะพี่?"
"ก็ไม่ได้อยากเลิกหรอก แต่พี่ไม่ได้อยู่ใกล้กันแล้วไม่อยากรั้งมันไว้อ่ะ จะได้ให้มันไปเจอคนอื่นที่ดีกว่าพี่"
"อ่อ... คนดีจังเนอะ อิอิ" น้องกายขำแซวผมทำให้บรรยากาศตอนนี้ดูตึงเครียดน้อยลง
"แหม่... ให้พี่เป็นคนดีบ้างเถอะ เป็นคนชั่วมาเยอะละ ฮ่าๆ..." ผมพูดและขำตามน้องเพื่อสร้างความสนิทสนมกับน้องกายอีกครั้ง
"กายแซวเล่นเฉยๆ แต่ดีแล้วที่คบกับไอตังค์อ่ะ พี่จะได้ไม่เหงาตอนกายไม่อยู่" ประโยคนี้ทำเอาผมยิ่งปลื้มใจอย่างมาก ที่น้องยังคงเป็นห่วงผมด้วย
"อืมๆ... แล้วกายอ่ะมีแฟนบ้างเปล่าหนิ?"
"ไม่มีหรอกพี่ ผมขี้เกียจมีแฟนอ่ะ"
"โม้เปล่า? หล่อขนาดนี้ไม่มีคนมาจีบบ้างเลยเหรอ?"
"กายเนี่ยนะหล่อ? ออกจะเอ๋อมากกว่า"
"หล่อดิ... ได้เชื้อมาจากพี่เยอะไง อิอิ"
"เออๆ หล่อก็ได้... คนมาจีบก็มีแหละ แต่กายแค่ไม่สนใจเฉยๆ อ่ะพี่"
"นั่นสิ หล่อเลือกได้อ่ะเนอะ อิอิ..." ผมยังคงแซวน้องต่อ เพราะชอบเห็นเวลาน้องเขินแล้วน่ารักดี
"เห้ออ... นอนดีกว่า" น้องเขินจนตัวม้วนดึงผ้าห่มมาคลุมโปรงจะแกล้งทำเป็นหลับ
"รีบนอนไปไหน? ชวนพี่คุยก่อนสิ... นานๆ เราจะได้คุยกันที" ผมต้องเอื้อมมือไปดึงผ้าห่มน้องลงให้คุยกับผมต่อ
"แล้วพี่จะเรียนต่อ ม.4 ที่ไหนอ่ะ?" น้องกายยังชวนคุยต่อ โดยหันหน้ามาทางผมแบบนอนตะแคง
"ก็ว่าจะไปลองสอบโรงเรียนเดียวกับกายอ่ะ กายจะได้มีเพื่อนกลับบ้านไง... ดีป่ะ?"
"ก็ดีนะพี่ แต่จะสอบติดป่าวเหอะ โรงเรียนผมเข้ายากนะ"
"อย่าดูถูกพี่สิ เพื่อกายพี่ทำได้หมดแหละ... อิอิ" ผมพูดจบพยายามตั้งสติว่าตอนนี้ผมฝันไปอยู่ไหม ยังไม่เชื่อหูตัวเองว่าผมจะได้กลับมาคุยกับน้องกายแบบนี้อีก