ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 565|ตอบกลับ: 2

วันฟ้าหม่น

[คัดลอกลิงก์]

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
901
พลังน้ำใจ
19394
Zenny
105770
ออนไลน์
1750 ชั่วโมง

สมาชิกระดับแพลตตินั่มสมาชิกระดับไพลินสมาชิกระดับทับทิมสมาชิกระดับมรกตสมาชิกระดับเพชรสมาชิกระดับเพชรบริหารสมาชิกระดับตรีเพชรสมาชิกระดับมงกุฎสมาชิกระดับเพชรคู่สมาชิกจีโฟกาย 100%

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย konbannok เมื่อ 2011-7-6 14:31



เพื่อนๆหลายๆคนคงเคยพบหรืออาจจะกำลังประสบกับเหตุการณ์ที่ผมขอเรียกว่า


"วันฟ้าหม่น"


วันฟ้าหม่นเป็นวันที่เรามองไปทางใหนก็รู้สึกเศร้าหมอง ท้องฟ้ามันอึมครึม ไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้น
คนเราส่วนใหญ่ชอบวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส มันทำให้เรารู้สึกดี สดชื่นและมีพลัง


เหตุการณ์ต่างๆในชีวิตของเรา ย่อมมีทั้งวันที่สดใสและวันที่หม่นหมอง
โดยเฉพาะสำหรับเราๆวัยทำงาน เหตุการณ์หลายๆอย่าง สามารถเป็นวันฟ้าหม่นของเราได้เสมอ


"เมื่อไรฉันจะเรียนจบซักที นี่ก็ปีที่ 5 แล้วนะ"
"เมื่อไรฉันจะได้งานซักที เตะฝุ่นมานานจนเงินจะหมดแล้วนะ"
"เบื่อเจ้านายจัง สั่งงานอยู่ได้ ทำไมเพื่อนฉันนั่งเล่นเฟสบุ๊คทั้งวันไม่เห็นจะโดนสั่งเลย"
"อิจฉาเพื่อนจัง เงินเดือนเยอะกว่าเราตั้งเยอะ ทำไมเราได้แค่นี้เอง งานก็หนักกว่า"
"ทำไมฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่งซักที"
"ทำไมฉันไม่มีบ้าน มีรถ มีคอนโดหรูๆ อย่างใครๆเขาบ้าง"


ผมเองก็เช่นกัน เคยมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่เรียกได้ว่า "วันฟ้าหม่น"
มองอะไรไปก็รู้สึกแย่ไปหมด อึมครึม ไม่สดใส ไม่อยากทำอะไร ท้อแท้มาก
โดยช่วงชีวิตตอนนั้นของผม ผมได้เคยเล่าไปบ้างแล้วในกระทู้ก่อนหน้านี้เมื่อสองสามเดือนก่อน


เพื่อนๆส่วนใหญ่ๆของผม เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างดี บางคนมีรถราคาแพงกว่าบ้านผมเสียอีก
บางคนสามารถใช้จ่ายเงินที่ผมสามารถใช้ได้เป็นเดือนๆภายในหนึ่งวัน
บางคนมีครอบครัวที่อบอุ่นอย่างที่ผมเคยฝันหามาตลอดทั้งชีวิต


ผมเคยคิดถึงเรื่องเหล่านั้นเสียจนเป็นโรคที่หมอเขียนในใบตรวจว่า
"Anxiety of Depress" หรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า "โรคซึมเศร้า"
ผมใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นนานหลายปี ก่อนจะพบว่าผมเองนี่แหละที่ทำให้ตัวเองต้องอยู่ใน "วันฟ้าหม่น"


คำถามที่สำคัญของเรื่องที่เล่ามาคือ
"ผมทำตัวเองได้อย่างไร" และ "ผมหลุดพ้นมาได้อย่างไร"
นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง




ผมทำตัวเองได้อย่างไร


ในช่วงชีวิตวัยเด็กของผม เป็นช่วงชีวิตที่สุขสบายเป็นอย่างมาก


ผมเคยไปสิงค์โปร์กับคุณแม่ และกลับมาพร้อมกับของเล่นมูลค่าเก้าหมื่นกว่าบาท
ผมเคยเดินทางต่างประเทศจนพาสปอร์ตเล่มแรกในชีวิต เต็มภายในสิบเอ็ดเดือน
ผมมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องแรกตั้งแต่อายุเพียงสิบสองปี ด้วยราคาสูงถึงห้าหมื่นบาท
ผมอยากได้อะไร ก็มักจะได้เสมอ ไม่ว่ามันจะแพงหรือหายากเพียงใด


สิ่งต่างๆเหล่านั้นในวัยเด็ก ได้กัดกินจิตใจอันอ่อนแอในวัยเยาว์ของผมลงไปทีละน้อย
จนทำให้ผมกลายเป็นคนที่มีความเข้มแข็งทางจิตใจต่ำเป็นอย่างมาก


จนวันหนึ่งในช่วงปี 2540 ที่หลายๆคนรู้กันดีกว่าเป็นปีแห่ง "วิกฤติต้มยำกุ้ง"
สภาพครอบครัวของผมเปลี่ยนไปในเพียงเวลาหนึ่งสัปดาห์
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยทำได้และได้ทำ ไม่สามารถทำได้และได้ทำอีกต่อไป
แต่ผมไม่สามารถรับสภาพกับสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ จิตใจของผมอ่อนแอ
ผมเองไม่สามารถที่จะโทษสภาพแวดล้อมหรือบุคคลอื่นได้ นอกเสียจากตัวเองเท่านั้น


ช่วงชีวิตหลังจากนั้นของผม ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพยายามทำให้ตัวเองมีชีวิตแบบเดิม
ชีวิตแบบนั้นเป็นชีวิตที่เกินพอดีสำหรับผมในขณะนั้น จนมันทำให้ผมเกิดความอิจฉาหลายๆอย่าง
ความอิจฉาได้นำมาซึ่งความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของตนเอง
จนสุดท้ายผมได้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และทุกๆวันของผมก็กลายเป็น "วันฟ้าหม่น"


ผมหลุดพ้นมาได้อย่างไร


วันหนึ่งที่ผมหลุดพ้นมา เพราะผมได้พบบุคคลหนึ่งที่เป็นครูแห่งชีวิต
ผมได้พบกับท่านเพราะผมติด F วิชาของอาจารย์เขา
อาจารย์เสนอให้ผมเป็น TA ในเทอมถัดไป เพื่อแลกกับโอกาสการแก้ตัวสำหรับ F ดังกล่าว
ตลอดเวลา 4 เดือนในเทอมสุดท้ายในรั้วมหาวิทยาลัยของผม ผมได้เรียนรู้อะไรจากท่านเยอะมาก


อาจารย์ท่านนี้บวชเรียนเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 8 ขวบ
ท่านลาสิกขาจากการครองเพศบรรพชิตเมื่ออายุได้ 27 ปี
หลังจากนั้นท่านได้ใช้เวลาต่อจากนั้นในการเป็นอาจารย์
ท่านสอนผมและลูกศิษย์ทุกคนทั้งวิชาชีวิตและวิชาชีพ
ท่านใช้ชีวิตทั้ง 7 วันในแต่ละสัปดาห์ในการสอนหนังสือ
ท่านไม่แต่งงานโดยให้เหตุผลว่าท่านมีลูกศิษย์เยอะขนาดนี้ก็ปวดหัวแล้ว
และต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้มาจากอาจารย์ท่านนี้


ความพอดี


วันหนึ่งก่อนที่ผมจะจบการศึกษา ผมเซ็นสัญญาทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง
โดยได้รับเงินเดือนสูงมากกว่าที่ผมหวังไว้เป็นจำนวนถึง 25000 บาท
วันจันทร์ถัดไปผมกลับไปช่วยงานอาจารย์พร้อมกับแจ้งข่าวดีนี้ให้กับท่าน
ท่านบอกกับผมว่าท่านทำงานมา 15 ปี ได้เงินเดือนอยู่ที่ 19750 บาท
พร้อมกับบอกผมว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด


นั่นคือครั้งแรกที่ผมแปลกใจมากเพราะผมคิดว่าท่านจะได้รับเงินเดือนมากกว่านั้น
เพราะในทุกๆวันที่ผมช่วยงานอาจารย์ ท่านจะเลี้ยงข้าวกลางวันและเย็นผม
เพราะท่านรู้ว่าสถานะทางการเงินของครอบครัวผมในตอนนั้นไม่ดีเอามากๆ
นอกจากผมแล้ว นิสิตคนอื่นที่ช่วยงานท่าน ท่านก็ยังเลี้ยงข้าวและขนมเป็นประจำ
หนำซ้ำท่านยังมีคอนโดใกล้ๆมหาวิทยาลัยอีกสองแห่งที่ปล่อยให้นิสิตเช่าในราคาถูก
และท่านยังมีเงินเหลือเก็บในทุกๆเดือน
ถึงแม้ผมจะรู้ว่าอาจารย์มหาวิทยาลัย มีรายได้ทางอื่นเช่นค่าออกข้อสอบ การตีพิมพ์งานวิจัย ฯลฯ
แต่ผมก็คิดว่าท่านมีเงินเดือนมากกว่านี้


ผมจึงถามอาจารย์ไปว่าแล้วอาจารย์ใช้เงินพอได้อย่างไร
"ชีวิต คนเรามีความพอดีที่ไม่เหมือนกัน คนที่ไม่พอดีให้มีงานการใหญ่โต เงินทองมั่งคั่ง ก็จะไม่รู้สึกมีความสุข แต่คนที่พอดี แม้จะมีน้อยเพียงใด ก็สุขได้เสมอ"


สิ่งนี้เป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ผมหลุดพ้นมาจาก "วันฟ้าหม่น" ได้
ผมใช้เวลาอยู่ซักพักจนหาความพอดีของตัวเองให้เจอ แล้วใช้ชีวิตในแบบนั้น


ทุกวันนี้ผมมีรายรับอยู่เดือนนึงมากกว่าสี่หมื่นบาท
แต่ความพอดีของผมอยู่ที่แปดพันบาท ผมพอดีที่เท่านี้จริงๆ
เงินที่เหลือผมไม่ได้ทำอะไรกับมัน นอกจากเอาให้คุณพ่อคุณแม่ไปใช้ และเก็บออมไว้


ปัจจุบันผมทำงาน 3 อย่างพร้อมๆกัน ใช้เวลาไปกับการทำงานวันละ 10-12 ชั่วโมง
ผมมีความพอดีกับงาน ผมทำงานไม่มากเกินกว่าที่ตัวเองต้องการ และไม่น้อยจนรู้สึกว่าง
ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการทำงาน แต่ก็ไม่ลืมที่จะพักผ่อนให้เพียงพอ
สิ่งต่างๆเหล่านั้นคือความพอดีของผม


แล้วคุณล่ะครับ เจอความพอดีของคุณหรือยัง


ทัศนคติ


การได้ใช้เวลาอยู่ช่วยงานอาจารย์ท่านนี้ ได้ทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปมาก
ก่อนหน้าที่ผมจะได้เจออาจารย์ ผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้ายมากๆ
ผมอยากได้สิ่งที่คนอื่นมี อยากเป็นอย่างที่คนอื่นเป็น อยากทำในสิ่งที่คนอื่นทำ


แต่เหมือนอาจารย์ท่านจะมองออก ท่านพยายามสอนผมอยู่ตลอดเวลา
อาจจะเป็นเพราะท่านเคยบวชเรียนมานาน คำสอนของท่านมักจะสอดแทรกธรรมะเสมอ
ท่านได้เปลี่ยนทัศนคติของผมในการมองสิ่งต่างๆไปอย่างสิ้นเชิง
จนทำให้ผมกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะรอบคอบ


ผมเองเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นพ๊อกเก็ตบุ๊คเชิงปรัชญาของนักเขียนชาวญี่ปุ่น
บทหนึ่งที่น่าสนใจมาก โดยผู้เขียนกล่าวถึงทัศนคติในรูปแบบของสมการเชิงเส้น


"Y = AX + C"


ผมเองก็จำเนื้อหาของบทนั้นได้ไม่ละเอียดนัก แต่เนื้อหาคร่าวๆคือว่าทัศนคติเปรียบเหมือน A
ถ้าหากมันติดลบ มันจะทำให้ค่าของสมการนี้ออกมาต่ำหรือเป็นลบ
แต่ถ้าหากมันเป็นบวก มันจะทำให้ค่าของสมการนี้ออกมาสูงหรือเป็นบวก
ผมชอบวิธีการเปรียบเทียบของผู้เขียนท่านนี้มาก แม้มันอาจจะเข้าใจยากสำหรับผู้อ่านบางท่าน
แต่มันสื่อความหมายได้ชัดเจนมาก


แฟนผมชอบปรึกษาผมอยู่บ่อยๆว่า เขาได้งานเยอะกว่าเพื่อนข้างๆ
เจ้านายของเธอชอบเอางานมาฝากให้เธอช่วยทำให้เป็นประจำ
เค้าเองรู้สึกอึดอัดและรู้สึกถูกเอาเปรียบ ทั้งๆที่ตำแหน่งเดียวกัน แต่งานเยอะกว่าคนอื่น


ผมจึงบอกกับแฟนให้ลองคิดว่า
"เรา ได้งานเยอะกว่า นั่นคือเราได้ฝึกฝนมากกว่าเขา ในอนาคตเราจะชำนาญมากกว่าเขา และที่สำคัญที่สุด เธอก็เข้างานพร้อมๆเขาและเลิกงานพร้อมๆเขา และได้เงินเดือนเท่าๆกัน เธอไม่ได้โดนเอาเปรียบหรอก ถ้าเธอได้งานแล้วต้องเลิก 5 ทุ่ม ทำวันเสาร์ แถมเงินเดือนน้อยกว่า นั่นแหละเธอถึงจะโดนเอาเปรียบ"
เธอเก็บความคิดนั้นไปลองดูอยู่อาทิตย์นึง แล้วก็มาบอกผมว่าดีเหมือนกันที่คิดแบบนั้น
เพราะมันช่วยให้เธอสบายใจมากขึ้น


แม้ในความเป็นจริงแล้ว เธอยังต้องทำงานมากกว่าเพื่อนหรือไม่ ใช่ เธอยังต้องทำงานมากกว่า
แต่มันจะสำคัญหรือ ถ้าหากทัศนคติช่วยให้เราทำงานอย่างมีความสุขได้


แล้วคุณล่ะครับ ทัศนคติของคุณเป็นอย่างไร


-- ความสุขที่แท้จริง --


ตอนที่ผมเรียนกับอาจารย์ ท่านเคยถามผมว่าคนที่มีไอโฟน มีความสุขหรือไม่
ผมตอบว่าก็น่าจะมีนะครับ ได้มีโทรศัพท์ดีๆใช้ คนรอบกายมองว่ามีฐานะ
แต่อาจารย์ผมตอบว่าผิดถนัด เขาเข้าใจว่าเขามีความสุข แต่เขาไม่มีความสุขหรอก
อาจารย์อธิบายให้ผมฟังโดยยกตัวอย่างชาดกเรื่องหนึ่ง


มีชาวนาคนหนึ่งมีชีวิตธรรมดาๆ หาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ แต่มีความสุขกับชีวิต
วันหนึ่งมีเศรษฐีเดินทางผ่านมาพบก็เกิดความรู้สึกสงสาร จึงได้ให้เงินทองกับชาวนา
ชาวนารับเงินทองไว้และนำไปเก็บไว้ในบ้าน จนเกิดความทุกข์
เพราะชาวนาหวาดระแวงว่าเพื่อนบ้านจะอิจฉาริษยาและนินทา
ชาวนายังหวาดกลัวโจรที่อาจจะมาปล้นเงินทองดังกล่าและทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ
ด้วยความรู้สึกที่เป็นทุกข์เหล่านั้น ชาวนาจึงนำเงินทองไปคืนเศรษฐีในที่สุด


เช่นเดียวกัน เมื่อเราซื้อหาวัตถุราคาแพงมาใช้และครอบครอง
บางครั้งเราก็เกิดความรู้สึกหวาดระแวงว่าจะทำหายหรือไม่
จะบุบสลายหรือไม่ จะถูกโจรปล้นชิงไปหรือไม่ จะมีใครอิจฉานำไปนินทาหรือไม่
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ควรจะมอบความสุขให้กับเรา กลับนำมาซึ่งความทุกข์ที่เราไม่ต้องการ


ดังเรื่องราวที่กล่าวไปตอนแรก เมื่อก่อนผมเองจะมีความสุขกับวัตถุเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่หลังจากการใช้เวลาอยู่กับอาจารย์ผมจึงได้รู้ว่าจริงๆแล้วความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร


ทุกวันนี้ผมมีความสุขได้เสมอในแต่ละวัน (ด้วยความช่วยเหลือของทัศนคติเช่นกัน)
ผมมีความสุขเมื่อได้เดินทางกลับบ้านด้วย BRT ที่มีอากาศเย็นสบาย และมีความสุขมากขึ้นเมื่อได้ที่นั่ง
ผมมีความสุขเมื่อเจอกับเพื่อนและทานอาหารร่วมกัน สอบถามทุกข์สุขกันและกัน
ผมมีความสุขเมื่อได้ทำงานที่ผมรักและมีความถนัด
ผมมีความสุขเมื่อลุกให้ผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุนั่งบนรถเมล์


สำหรับผมแล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ข้างในจิตใจ
มันมาพร้อมกับความรู้สึกดี ที่ไม่มีความทุกข์ตามมาในภายหลัง


แล้วคุณละครับ มีความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร


บทสรุป


ทุกวันนี้ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าผมมีความสุขกับชีวิตเป็นส่วนใหญ่
และมีจิตใจที่เข้มแข็ง อดทนต่อปัญหาที่ผ่านพบในชีวิตได้
โดยอาศัยความพอดีของตนเอง การมีทัศนคติที่ดี และการรู้จักความสุขที่แท้จริง
ผมเชื่อว่าหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเรา สามารถใช้สิ่งเหล่านี้นำทางผ่านไปได้
ชีวิตของเราทุกๆคนมีดีกว่าที่เราคิดเยอะ จนหลายๆคนอาจจะลืมไปแล้ว
มีคนอีกหลายๆคนที่ลำบากกว่าเรามาก และก็มีคนอีกหลายๆคนที่สบายกว่าเรา
แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็มีชีวิตของเรา เราเองต่างหากที่มีชีวิตนี้เป็นของเรา
ถ้าหากเราไม่มีความพอดี เราจะไม่มีวันพอ แม้เราจะมีเงินทองทรัพย์สินมากเท่าไร มันก็จะไม่พอ
และเราต้องมีความทัศนคติที่ดีในการมองปัญหาและเหตุการณ์ต่างๆ
เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีแล้ว หนทางแก้ไขมันย่อมปรากฎขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น
เพราะทัศนคติที่ดีช่วยให้เรารู้สึกสบายใจมากขึ้น
ความสบายใจจะทำให้เรามองปัญหาได้ดีขึ้น
อันนำมาซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสม
ผมอยากให้เพื่อนๆไม่ท้อแท้ อดทน และมีกำลังใจในการก้าวผ่านปัญหาของแต่ละคนไป



นอกจากความพอดีและทัศนคติแล้ว เราเองก็ต้องรู้จักความสุขที่แท้จริง
ความสุขที่แท้จริงเป็นเหมือนการมองสิ่งต่างๆให้ละเอียดลึกลงไปมากกว่าเพียงเปลือก
ดังเช่นทุเรียนที่มีหนามแหลมและมีผลไม่สวยงามน่าดู กลับมีรสชาติหวานมันถูกใจใครหลายๆคน
ถ้าหากเราตัดสินเพียงเปลือกว่ามันน่าจะเป็นความทุกข์ เราคงไม่รู้ถึงความสุขที่อยู่ข้างใน
บางครั้งเราอาจจะรู้สึกว่าเราทำงานเหนื่อยมาก
แต่อย่างน้อยเราก็ยังสามารถรู้สึกมีความสุขได้ เพราะเรามีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งในสังคม
เราไม่ได้เป็นใครที่ไม่ได้เป็นที่ต้องการ มีคนที่หวังพึ่งเราและเราหวังพึ่งเขา
นั่นคือเรามีคุณค่าในตนเอง ถ้าเรามีคุณค่าในตนเอง ทำไมเราจะไม่มีความสุขล่ะครับ



สุดท้ายนี้ ผมหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆได้บ้าง
ให้เพื่อนๆได้ก้าวข้ามผ่าน "วันฟ้าหม่น" ของแต่ละคนไปได้ ด้วยจิตใจที่มั่นคงเข้มแข็ง
และพร้อมที่จะเผชิญปัญหาใหม่ๆได้อยู่ตลอดเวลา



"Without bitter, sweet ain't as sweet"
ถ้าหากไม่มีความขม เราคงไม่รู้ถึงคุณค่าของความหวาน


ขอขอบคุณ คุณ Zieg-Hart @ Pantip
ที่แบ่งปันเรื่องดีๆ ข้อคิดดีๆนี้

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +50 Zenny +800 ย่อ เหตุผล
yellow2550 + 50 + 800 กระทู้นี้ยอดเยี่ยม!.

ดูบันทึกคะแนน

ไม่เคยเสียใจสักครังกับคำว่ารัก...ถึงแม้เราไม่เคยได้เป็นแฟนใคร???
 นักศึกษาภาคพิเศษ (M.D.A)
ปริญญากิตติมศักดิ์
โพสต์ 2011-7-6 18:36:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แล้วเมื่อไรแฟนจะบอกเลิกสักที..555+ ได้ลองของใหม่มั้ง...อิอิอิ{:4_107:}ขอบคณครับ

แสดงความคิดเห็น

คราบฟ๋ม ขอบคุนนะคราบ  โพสต์ 2011-7-6 19:44
คิดถึงคนไกล นานนักรู้ไหมที่ไกลห่าง หัวใจดวงนี้ช่างอ้างว้าง รอคอยอย่า
 นักศึกษาภาคพิเศษ (M.D.A)
ปริญญากิตติมศักดิ์

สมาชิกจีโฟกาย 100%สมาชิกระดับเพชรคู่สมาชิกระดับแพลตตินั่มสมาชิกระดับทับทิมสมาชิกระดับไพลินสมาชิกระดับมรกตสมาชิกระดับเพชรสมาชิกระดับเพชรบริหารสมาชิกระดับตรีเพชรสมาชิกระดับมงกุฎ

โพสต์ 2011-7-7 19:37:27 | ดูโพสต์ทั้งหมด
"ชีวิต คนเรามีความพอดีที่ไม่เหมือนกัน คนที่ไม่พอดีให้มีงานการใหญ่โต เงินทองมั่งคั่ง ก็จะไม่รู้สึกมีความสุข แต่คนที่พอดี แม้จะมีน้อยเพียงใด ก็สุขได้เสมอ


ชอบมากครับ
ถ้าทุกคนตั้งอยู่ในความพอดี และความพอเพียง
สังคมคงดีกว่าที่เป็นอยู่แน่ครับ

แสดงความคิดเห็น

ขอบคุนมากๆเรยนะคราบฟ๋ม น่ารักจิงๆคับฟ๋ม อิอิ  โพสต์ 2011-7-7 22:45
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-12-22 20:29 , Processed in 0.131976 second(s), 32 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้