บทที่ ๑ พาที
หนุ่มใหญ่ร่างสูง รูปร่างสมส่วน อยู่ในเครื่องแต่งกายที่เป็นทางการ ท่อนบนเป็นเสื้อสูทสีดำ สวมทับเสื้อเชิ้ตขาว ท่อนล่างสวมกางเกงสแลคสีเดียวกับเสื้อสูท สวมรองเท้าหนังสีดำ กำลังยืนโพสต์ท่าอยู่หน้าเซตที่ถูกออกแบบให้เป็นห้องทำงาน เขาถูกกำกับให้เปลี่ยนท่าโพสต์ไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ช่างภาพก็รัวชัตเตอร์ไม่ได้หยุด
“เดี๋ยวนะคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการทำงาน
“มีอะไรจีจี้” เสียงชายที่ทำหน้าที่เสมือนผู้คงบคุมงานเอ่ยถามขึ้น
“ปอยผมมันตกลงมาค่ะ ขอจีจี้เข้าไปจัดให้แป๊บนึง ขอซับหน้าคุณพาทีด้วยค่ะ”
ว่าแล้วช่างแต่งหน้าประจำกองถ่ายนิตยสารก็รีบวิ่งเข้าไปจัดการเสริมความหล่อให้กับนายแบบจำเป็นทันที ด้วยความเป็นมืออาชีพ ไม่นานหล่อนก็จัดการให้นายแบบกลับมาหล่อเนี้ยบได้ดังเดิม
“เรียบร้อยแล้วค่าทุกคน” เจ้าตัวคนพูดรีบวิ่งออกจาหน้าเซตมายืนอยู่ข้างผู้ควบคุมงาน
“โอเคนะครับทุกคน คุณพาทีโพสต์ท่าต่อได้เลยครับ” ผู้คงบคุมกองเอ่ยขึ้น แล้วนายแบบจำเป็นก็ทำหน้าที่โพสต์ท่าหล่อ ๆ หน้ากล้องต่อไปได้ราวกับตนเองเป็นนายแบบมืออาชีพ
“คุณพาทีนี่แกโพสต์ท่าเก่งอย่างกับนายแบบมืออาชีพเลยนะคะ คุณวศิน” ช่างแต่งหน้าประจำกองกล่าวชื่นชมนายแบบจำเป็นให้ผู้ควบคุมกองฟัง
“นั่นน่ะสิ โดยมากนักธุรกิจพวกนี้จะไม่ค่อยชินที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ต้องมีคนคอยบอก คอยกำกับท่าให้ แต่คุณพาทีจัดการตัวเองได้ แถมดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ ด้วย”
“เอาจริง ๆ แกเป็นนายแบบได้เลยนะคะ สูงตั้ง 185 เซน รูปร่างก็กำยำสมส่วน แถมหน้าตาก็หล่อเหลาแบบดาราหนังยุคคลาสสิก นี่ขนาดอายุ 45 เข้าไปแล้ว ยังสมบูรณ์แบบได้ขนาดนี้ วันหลัง GENT ชวนแกมาถ่ายแบบแบบเป็นจริงเป็นจังสักเซตสิคะบอส เอาแบบพวกชุดกีฬาโชว์หุ่นก็ไม่เลวนะคะ” จีจี้พูดไปหัวเราะไป มองหนุ่มใหญ่ร่างสูงที่กำลังโพสต์ท่าด้วยตาที่เป็นประกาย ไม่นานหลังจากนั้นผู้ทำหน้าที่ผู้ควบคุมกองก็สั่งหยุดการทำงาน ทีมงานเช็คความเรียบร้อยของงาน ขณะที่ตัวผู้กำกับกองเดินเข้าไปหานายแบบจำเป็นเพื่อกล่าวชื่นชมอีกฝ่าย
“ยอดเยี่ยมมากเลยครับ ผมไม่เคยถ่ายนักธุรกิจคนไหนได้ง่ายเหมือนคุณพาทีมาก่อนเลย โพสต์ท่าได้เป็นธรรมชาติ เหมือนทำงานกับนายแบบมืออาชีพเลย”
คนถูกชมหลุดเสียงหัวเราะน้อย ๆ ออกมาแล้วกล่าวตอบไปว่า
“ขอบคุณมากครับ คุณวศินก็ชมผมเกินไป ผมเป็นแค่นายแบบมือสมัครเล่นเท่านั้นเองครับ แต่ก็ยินดีมากนะครับที่นิตยสาร GENT แมกกาซีนผู้ชายอันดับหนึ่งของเมืองไทยให้เกียรติเชิญผมมาขึ้นปก”
“คุณพาทีเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตอนนี้ ใคร ๆ ก็รู้จักผลงานของ Ablaze Agency การที่คุณพาทีมาอยู่ตรงนี้ต่างหากครับ ที่ถือว่าเป็นเกียรติกับนิตยสาร GENT ของพวกเรา”
“อย่ายอกันไปยอกันมาอย่างนั้นสิครับ” ว่าแล้วทั้งคู่ก็หัวเราะพร้อมกัน ก่อนที่วศินจะกล่าวต่อว่า
“แต่ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวพักกองสักพัก ขอทีมงานปรับหน้าเซตสักครู่ แล้วจะเริ่มต้นการสัมภาษณ์คุณพาทีกัน”
หนุ่มใหญ่เข้าไปพักในพื้นที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ตรงมุมหนึ่งของกองถ่าย จีจี้ไม่รอช้ารีบเข้าไปทำหน้าที่ของตนทันที ขณะที่ทีมงานสองคนเข้ามาจัดการปรับหน้าเซตใหม่ตามคำสั่งของผู้ควบคุมกอง พอเรียบร้อยแล้ว ช่างภาพก็เดินเข้ามาจัดการดูเรื่องไฟต่อทันที
“คุณพายัพ ผมจะให้คุณพาทีนั่งที่เก้าอี้ตัวนี้นะ เพราะฉะนั้นคุณช่วยจัดไฟให้แสงตกตรงนี้ ทำเหมือนที่เราเคยทำ ถ่ายภาพขณะสัมภาษณ์ไว้เป็นภาพประกอบ แล้วเดี๋ยวพอสัมภาษณ์เสร็จค่อยถ่ายเพิ่มไว้ใช้เป็นภาพหลัก”
เมื่อทุกอย่างพร้อม พาทีก็ถูกพามาเข้าเซต เพื่อเริ่มต้นการสัมภาษณ์
“ผมพาที อัครินทร์ เป็น CEO ของ Ablaze Agency บริษัทธุรกิจสื่อโฆษณา เราเป็นองค์กรขนาดเล็กที่ก่อตั้งได้ไม่นาน ปีนี้ก็เข้าปีที่ 7 เท่านั้น ก่อนหน้าที่จะมาทำ Ablaze Agency ผมคลุกคลีอยู่ในวงการโฆษณามานาน เอาจริง ๆ ก็ตั้งแต่ตัวเองเรียนยังไม่จบด้วยซ้ำ งานแรกที่ผมทำก็คือการเป็นเด็กฝึกงานในแผนกครีเอทีฟ ความที่ผมเรียนรู้งานไว ไม่นานก็เขยิบฐานะจากผู้ช่วยมาเป็น Copy Writer แบบเต็มตัว ปีเดียวหลังจากนั้นงานของผมก็เป็นกระแสและได้รับรางวัล ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่นานผมก็ขึ้นมาคุมทีมครีเอทีฟ ผมทำงานอยู่ที่นั่นสิบปีเต็ม ก่อนที่จะได้รับการติดต่อจากเอเยนซี่ต่างประเทศ หลังจากที่เขาเห็นผลงานเราที่ไปได้รางวัลระดับนานาชาติ
การทำงานต่างบ้านต่างเมือง ต่างวัฒนธรรมมันลำบากมาก การที่จะเป็นที่ยอมรับในองค์กรระดับนั้นได้ผมต้องใช้ผลงานเข้าสู้ มันสมองมีเท่าไรระดมมันออกมาใช้ให้หมด แต่ยอมรับว่าการที่เราเป็นคนผมดำ ผิวเหลืองเพียงคนเดียวในทีมก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น ๆ ยิ่งยุคนั้นเขาไม่ได้ยอมรับเรื่องความหลากหลายแบบสมัยนี้ ผมล้มลุกคลุกคลานอยู่เกือบสามปี จนเกือบหมดสัญญาจ้างงาน กว่างานที่ผมทำจะได้รับการพูดถึง แต่พอมีผลงานที่ได้รับการยอมรับ ทุกอย่างหลังจากนั้นก็ไม่ยากแล้ว
ผมอยู่ที่สิงคโปร์ ทำงานบริษัทเอเยนซี่โฆษณาของอเมริกาที่มีสาขาที่นั่นอยู่นาน 5 ปี ตอนนั้นที่ตัดสินใจกลับเพราะคิดถึงครอบครัว ลูกชายผมกำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นพอดี ผมคิดว่ามันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตคน ๆ หนึ่ง ผมควรอยู่กับเขาให้มากที่สุด ผมเลยตัดสินใจกลับไทย และตอนนั้นเองที่ Ablaze Agency เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา
ผมติดต่อเพื่อนร่วมงานที่เคยทำงานด้วยกันสมัยก่อน หวังว่าเขาจะมาร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา สิ่งดี ๆ ก็คือ ผมได้รับการตอบรับที่ดีจากมิตรของผมทุกคน หลังเริ่มต้นได้ไม่นานงานของพวกเราก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ลูกค้าที่ผมเคยทำงานด้วย พอทราบว่าผมทำเอเยนซี่ของตัวเองแล้ว ก็เริ่มติดต่อ ส่งงานมาให้เราได้ลองลับฝีมือ พองานที่เราทำให้เขาไปเป็นกระแส ถูกพูดถึง ทำให้แบรนด์ของเขาได้รับความสนใจ ไม่นานงานก็ไหลมาเทมาเพราะการโฆษณาแบบปากต่อปาก
และจากจุดเริ่มต้นที่เป็นออฟฟิศเล็ก ๆ ที่มีคนทำงานประจำแค่ 5 คน เราก็ค่อย ๆ ขยายฐานการทำงาน จนตอนนี้เรามีพนักงานประจำร่วม ๆ 20 คนแล้ว”
“ได้ทราบว่าคุณพาทีให้ความสำคัญกับ Happy Workplace”
“ใช่ครับ เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของผม งานจะออกมาดีได้ สภาพแวดล้อมในที่ทำงานก็มีความสำคัญ สภาพแวดล้อมดี ส่งผลดีต่อจิตใจของคนทำงาน ไม่ใช่แค่สภาพแวดล้อมที่ดีเท่านั้น แต่คนทำงานต้องมีอิสระในการใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงาน เขาต้องได้เป็นตัวของตัวเอง และมีความสุขให้ได้มากที่สุดเมื่อเขาอยู่ในสถานที่ทำงาน ที่นี่เราไม่มีกฎข้อบังคับที่จุกจิกวุ่นวาย เราจะให้เขาเป็นตัวของตัวเองที่สุด นอกจากนั้นเรายังมีวันปาร์ตี้เดย์ในทุก ๆ เดือน เพื่อให้พนักงานได้รีแล็กซ์ ได้ผ่อนคลาย ได้มีวันพักจากการทำงาน ได้สนุกสนาน และมันเป็นวันเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างแผนก ที่ในเวลางานอาจจะไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กัน ทุกอย่างคือสิ่งที่เรากำลังค่อย ๆ สร้าง และตอนนี้เรากำลังจะมีบ้านหลังใหม่ เป็นโฮมออฟฟิศของเราเองที่มีอาณาเขตเพียงพอต่อจำนวนสมาชิกของเราที่จะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในอนาคต”
“รางวัลนักธุรกิจดีเด่นแห่งปี”
“เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกคอมพลีทในการทำงานระดับหนึ่ง แต่รางวัลนี้ไม่ใช่รางวัลที่ผมควรได้รับคนเดียว เพราะทีมงานที่ทำงานร่วมกับผม ที่คอยซัพพอร์ตผมทุก ๆ คน ก็เป็นส่วนหนึ่งของรางวัล พวกเขาควรได้ร่วมชื่นชมและยินดีกับรางวัลนี้ด้วยเช่นกัน”
“แล้วครอบครัวคุณพาที”
“ตอนนี้ลูกชายผมไปเรียนอยู่ที่อังกฤษครับ เขาสอบชิงทุนเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นั่นได้ ตอนนี้เขาอายุย่าง 20 ปี แล้ว แต่ถึงจะโตแล้วแต่คุณแม่เขาก็ยังห่วง ภรรยาผมเลยย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนลูกที่อังกฤษ เขาก็มีสังคมอยู่ที่นั่น แต่ไม่ใช่ว่าเราจะห่างกัน เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายดาย ผมก็คุยกับลูกชายเกือบทุกวัน และอย่างน้อยต้องบินไปหาเขาเดือนหรือสองเดือนครั้ง แต่จะอยู่นานแค่ไหนก็แล้วแต่เวลาช่วงนั้นจะอำนวย”
“คุณพาทีดูเหมือนจะ เวิร์ก ไลฟ์ บาลานซ์ ได้ดี คุณทำมันได้อย่างไร”
“ผมมีเวลาให้กับงานที่รัก คนที่รัก แต่ก็มีเวลาให้ตัวเองเช่นเดียวกัน ผมรักการออกกำลังกาย ผมจึงมีเวลาสำหรับการทำกิจกรรมที่ผมรัก ผมรักการวิ่ง การได้ว่ายน้ำ การได้ปั่นจักรยาน การได้ทำกิจกรรมสนุก ๆ ต่าง ๆ”
“มิน่า รูปร่างคุณถึงสมส่วนขนาดนี้ คุณทำให้คนวัยเดียวกันต้องอิจฉา”
พาทียิ้มกรุ้มกริ่มทันทีเมื่อได้รับคำชม
“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ ถ้ามีโอกาสผมหวังว่า GENT จะชวนผมมาร่วมงานด้วยอีก ผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
“GENT ก็ยินดีเช่นกันครับคุณพาที เป็นเกียรติมากที่ได้ร่วมงานกัน ขอบคุณสำหรับการสัมภาษณ์ที่เป็นประโยชน์ เดี๋ยวคุณพายัพช่างภาพจะขอถ่ายภาพคุณพาทีเพื่อใช้ประกอบคอลัมน์สัมภาษณ์อีกสักนิดนะครับ”
แล้ววศินก็เดินออกจากเซตไปเพื่อให้ทีมงานเข้ามาเก็บภาพของพาทีต่อ เขาเดินออกมายืนควบคุมงานที่เดิม มีจีจี้ยืนอยู่ข้าง ๆ ยืนส่งเสียงพึมพำมาเข้าหูเขาว่า
“เป็นผู้ชายที่เพอร์เฟคจริง ๆ อยากรู้ว้าเขาจะแอบมีซัมธิงอะไรซุกไว้บ้างไหมนะ”
วศินมองหนุ่มใหญ่ที่สุดแสนจะสมบูรณ์แบบที่กำลังโพสต์ท่าอยู่ตรงหน้า แล้วก็เกิดความสงสัยแบบเดียวกับช่างแต่งหน้าประจำกองขึ้นมาเหมือนกัน
ค่ำวันนั้น พาทีกลับมาถึงบ้าน หลังจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ เขาก็วีดิโอคอลหาลูกชายทันที นี่คือกิจวัตรที่พ่อ-ลูกทำด้วยกันเป็นประจำ และบางครั้งจะมีคนเป็นแม่มาร่วมด้วย
“ไง ไอ้เสือน้อย ทำอะไรอยู่”
“วันนี้พ่อโทรมาดึกเลยนะครับ ตอนนี้ที่ไทยน่าจะเกือบ ๆ 5 ทุ่มแล้ว”
“ใช่ พ่อเพิ่งจัดการทำอะไรเสร็จ วันนี้ยุ่งมาก แม่ทำอะไรอยู่”
“แม่ไม่อยู่ครับ ออกไป Waitrose กับน้าลินดา แต่ไปกันพักใหญ่ ๆ แล้ว ท่าทางจะชอปกันเพลิน ตอนนี้ท็อปอยู่บ้านคนเดียว แล้วพ่อล่ะครับ เรื่องย้ายออฟฟิศไปถึงไหนแล้ว”
“ก็คงอีกสักพักกว่าจะเรียบร้อย พ่อคงไม่ได้แวะไปหาท็อปช่วงนี้นะ น่าจะจัดการธุระทางนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ยังไงก็บอกแม่เขาด้วย”
“ได้ครับ ไม่มีปัญหา แต่ว่ายังไงก็อยากให้พ่อมาให้ทันการแข่งซีซันหน้านะครับ”
“ถ้าท็อปลงแข่ง ยังไงพ่อไม่พลาดแน่ ๆ หัวร้างข้างแตกยังไงก็จะไปดูไอ้เสือบุกให้ได้”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับพ่อ” พ่อ-ลูกหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข คุยหยอกล้อเรื่องสัพเพเหระกันต่อ แล้วอยู่ ๆ พาทีก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เออ ไอ้เสือ วันนี้พ่อได้ไปเป็นนายแบบมาด้วยนะ”
“หนังสือ Gent ที่พ่อเคยบอกใช่ไหมครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ” เสียงลูกชายมีอาการตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่มีคนเห็นแววว่าพ่อน่าพอเป็นนายแบบกับเขาได้ เลยติดต่อให้พ่อไปถ่ายแบบ ขึ้นปกนิตยสารเขา ก็เท่านั้น” ผู้เป็นพ่อเล่าเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ๆ
“โห ท็อปรู้แล้วครับว่าท็อปหล่อได้พ่อมานี่เอง” ลูกชายได้ทีเอ่ยปากแซวผู้เป็นพ่อและชงมาที่ตัวเองด้วย
“แหม เจ้าลูกชายพ่อ เชื้อไม่ทิ้งแถวกันจริง ๆ เอาเป็นว่าถ้าหนังสือเขาออกเมื่อไร พ่อจะหยิบติดมือไปอวดให้ลูกชายและคุณแม่ได้ชื่นชมยินดีกับว่าที่นายแบบชื่อดังคนใหม่ของเมืองไทยก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นไม่นานพ่อ-ลูกก็วางสาย พาทีปิดเครื่องมือสื่อสารลงเพียงเท่านั้น เขารู้สึกอิ่มใจที่ได้คุยกับลูกชาย แต่ก็อดรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เจอและทักทายภรรยาคนสวย เขาจึงส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์เพื่อกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเธอ
แล้วพาทีก็หลับไปเพราะความอ่อนเพลีย
---------------------------------
สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ปีใหม่แล้ว เริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ด้วยนิยายเรื่องใหม่ นิยายเก่าที่ยังแต่งไม่จบก็ขอติดค้างไว้ก่อน อย่าเพิ่งทวงนะ ถ้ามีเวลาจะมาต่อให้ครับ ขอบคุณทุก ๆ คนที่ติดตามและส่งข้อความมาทักทาย