บทที่ ๒ Ablaze Agency
หลังย้ายออฟฟิศจากห้องเช่าในอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งมาที่โฮมออฟฟิศสุดหรูได้สองสัปดาห์ ก็ถึงวันปาร์ตี้เดย์แรกในที่ทำงานใหม่พนักงานทุกคนของ Ablaze Agency ดูมีความสุข สนุกสนานต่างวนเวียนเดินไปมาที่โต๊ะอาหาร เครื่องดื่ม และทักทายกันความคึกคักดูจะเพิ่มขึ้นมาทันทีเมื่อพาทีเดินขึ้นไปยังเวทีหน้าห้องประชุมพร้อมกับที่มือข้างหนึ่งถือขวดแชมเปญขึ้นมาด้วยพนักงานหลายคนเห็นดังนั้นต่างก็คว้าแก้วเครื่องดื่มกรูกันเข้าไปที่หน้าเวทีแล้วพาทีก็กล่าวกับทุกคนที่นั่นว่า
“สวัสดีทีมงาน Ablaze Agency ทุก ๆคน ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ทำให้เรามีวันนี้วันที่บริษัทของเราเติบโตก้าวหน้าจนสามารถมีโฮมออฟฟิศเป็นของเราเองได้ขอบคุณที่ทำให้ Ablaze Agency ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าจนทำให้เรามีลูกค้าประจำที่เหนียวแน่นทำให้บริษัทของเรามีความมั่นคง มีผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีแบบก้าวกระโดดทำให้เราติดอันดับบริษัทธุรกิจสื่อที่น่าจับตามองมากที่สุดในปีนี้ และทำให้ผมนายพาที อัครินทร์ ได้รับตำแหน่งนักธุรกิจดีเด่นประจำปีซึ่งทุกอย่างที่ผมกล่าวมานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าผมไม่ได้รับความร่วมมือจากพวกเราทุกคน ผมขอมอบรางวัลนี้ให้เป็นของพวกเราทุกคนและขอมอบสิ่งนี้ให้เป็นของขวัญที่พิเศษแก่พวกเรา”
พอกล่าวจบพาทีก็ส่งไมโครโฟนที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่งให้คนด้านล่างเวทีก่อนจะเอาขวดแชมเปญที่ถืออยู่ที่มืออีกข้างขึ้นมาเขย่าแรง ๆส่งผลให้ของเหลวด้านในนั้นพวยพุ่งออกมาทันทีที่เขาเปิดจุกขวดมันออก ผู้ที่ยืนล้อมหน้าเวทีรีบกรูกันเอาแก้วที่ถืออยู่ในมือไปรองรับมวลน้ำที่สาดกระจายทันทีเสียงโห่ร้องด้วยความสนุกเริ่มขึ้นหลังจากนั้น
“โอเค สนุกกันให้เต็มที่นะ”
พาทีส่งขวดแชมเปญนั้นต่อให้กับหนุ่มร่างใหญ่อีกคนซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนที่ถูกห้อมล้อมแทนพาทีไปเสียแล้ว เสียงร้องเซ็งแซ่ดังขึ้นรอบตัวชายร่างใหญ่เป็นที่สนุกสนาน
“คุณประจักษ์ ๆ ขอด้วย”
ขณะที่พาทีเมื่อเดินลงจากเวทีเขาก็เดินตรงไปที่มุมห้องด้านหนึ่งที่มีโต๊ะสำหรับวางอาหารและของว่างตั้งอยู่รอบโต๊ะนั้นมีพนักงานหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่พวกเขาเป็นพนักงานฝ่ายการตลาด ทำงานกันเป็นทีม 4 คนทั้งหมดเป็นชายหนุ่มที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันเป็นคนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานได้ไม่นานทันทีที่พวกเขาเห็นพาทีเดินเข้ามาก็ลดเสียงเซ็งแซ่ก็ลงทันทีพอพาทีเห็นดังนั้นก็ส่งยิ้มให้ทุกคนแล้วบอกว่า
“ตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจเชิญทุกคนสนุกกันให้เต็มที่เลย”
พนักงานกลุ่มนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่แค่แวบเดียวพวกเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วชายหนุ่มในกลุ่มคนหนึ่งก็ส่งเสียงทำลายความเงียบขึ้นมา
“วันนี้น้อยโหน่งสวยไหมครับคุณพาที”คำถามนั้นทำให้ทุกสายตาพุ่งไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเอ่ยชื่อถึงชายหนุ่มคนดังกล่าวเหมือนจะมีอะไรผิดแผกแตกต่างไปจากเพื่อนสมาชิกในกลุ่มเพราะเขาสวมใส่ชุดที่ตรงข้ามกับเพศสภาพของตนเอง
คราแรกชายหนุ่มคนดังกล่าวก็ดูมั่นใจในชุดที่สวมใส่อยู่แต่เมื่อเห็นทุกสายตาจับจ้องมาที่ตนโดยเฉพาะสายตาของเจ้านายหนุ่มใหญ่มันก็ทำให้เขาอดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้เจ้าตัวยิ้มเก้อ เขินพยายามหลบตาทุกคนพาทีเห็นท่าทีนั้นก็เอ่ยอะไรบางอย่างออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายขึ้น
“สวยครับแล้วก็รู้สึกว่าจะดูแปลกตากว่าทุกวัน”พาทีกล่าวตอบออกไปหลังจากเพ่งมองอีกฝ่ายิย่างพินิจพิจารณาทำให้คนที่ถูกจ้องมองยิ่งรู้สึกประหม่าเพิ่มขึ้นไปอีกวันนี้การแต่งกายของน้อยโหน่งดูแปลกกว่าทุกวันจริง ๆเพราะปกติเขาจะสวมใส่ชุดทำงานแบบทะมัดทะแมงและเป็นทางการ
“ปกติโหน่งไม่ได้แต่งตัวแบบนี้มาทำงานนะคะแต่เห็นว่าปาร์ตี้เดย์ครั้งนี้พิเศษตรงเป็นวันฉลองการขึ้นบ้านใหม่ก็เลยจัดเต็มไปหน่อย” เจ้าตัวรีบพูดแก้ตัวจนลิ้นพันกันชุดที่เจ้าตัวใส่วันนี้เป็นเดรสสั้นที่มีความยาวปิดเลยช่วงกลางลำตัวเพียงแค่คืบเดียวเท่านั้นและนี่เป็นครั้งแรกที่น้อยโหน่งแต่งกายด้วยชุดผู้หญิงมาทำงานพอรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้องมองจากคนทั้งกลุ่มเจ้าตัวจึงอดไม่ได้ที่จะเผลอเอามือดึงชายของชุดให้ร่นลงมาแต่ยิ่งทำก็ยิ่งดูประเจิดประเจ้อมากยิ่งขึ้น จนเพื่อนร่วมแผนกหลุดขำออกมาไม่ได้
น้อยโหน่งนั้นเข้ามาทำงานที่นี่ครั้งแรกเมื่อปีกว่าๆ ในคราบบุรุษเพศ แต่ทุกคนก็รู้กันว่าเขานั้นมีจิตใจแบบหญิงสาว ตลอดระยะเวลาปีกว่าๆ เจ้าตัวไม่ได้ทำตัวเองให้โดดเด่นหรือแตกต่างจากพนักงานคนอื่น ๆยังคงแต่งตัวมาทำงานในชุดเครื่องแต่งกายชายแต่สิ่งที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในระยะหลัง ๆ คือน้อยโหน่งเริ่มมีการแต่งหน้าแต่งตาจัดขึ้นเรื่อย ๆผมที่เคยซอยสั้นก็เริ่มยาวลงมาประที่บ่า เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูฟิตกระชับเข้ารูปเผยให้เห็นเรือนร่างที่แบบบางแบบผู้หญิงแล้วคำพูดลงท้ายประโยคก็เปลี่ยนจากครับเป็นค่ะแต่พัฒนาการเหล่านี้ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างปุบปับ มันค่อย ๆ ปรับ ค่อย ๆ เปลี่ยนจึงทำให้ทุกคนรู้สึกเคยชิน จนไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งวันนี้ที่เจ้าตัวเปลี่ยนการแต่งกายจากที่คุ้นเคยจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดที่พาทีเองยังอดรู้สึกแปลกใจจนอดหลุดปากแซวไม่ได้
“น้อยโหน่งอาจจะต้องระวังนิดนึงนะดูนั่นสิ ผู้ชายแผนกครีเอทีฟเขามองจ้องมาทางนี้กันใหญ่แล้ว”พาทีพยักเพยิดไปที่โต๊ะเครื่องดื่มที่มีชายหนุ่ม 4 คนกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่เมื่อน้อยโหน่งมองตามก็เห็นพวกหนุ่ม ๆ กลุ่มนั้นมองมาทางที่พวกตนอยู่จริง ๆเจ้าจึงอดรู้สึกเขินไม่ได้ พาทีมองขัน ๆ ก่อนจะขอตัวออกจากกลุ่มนั้นไปพอเห็นว่าพาทีเดินออกไปพ้นรัศมีที่จะได้ยินน้อยโหน่งก็หันไปแวดใส่เพื่อนในกลุ่มทันที
“เดี๋ยวเหอะไอ้นัทเอากูมาขายให้บอส”
“แต่คุณน้อยโหน่งคนสวยก็ชอบไม่ใช่เหรอครับวันก่อนเห็นคุณน้อยโหน่งไปเหมาหนังสือที่บอสขึ้นแกเอากลับไปหนุนนอนแทนหมอนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”นัทยังแซวไม่เลิก โดยมีเตเพื่อในกลุ่มอีกคนรีบผสมโรง
“แต่เมื่อกี๊กูเห็นคุณพาทีเขามองขาอ่อนมึงตาไม่กะพริบเลยนะ”
“นั่นสิกูเห็นพี่ย้งก็มองมึงด้วย นั่นอ่ะ ๆ” โอมเพื่อนร่วมแผนกอีกคนบุ้ยใบ้ไปทางกลุ่มหนุ่ม ๆแผนกครีเอทีฟที่กำลังสรวลเสกันอยู่รอบโต๊ะเครื่องดื่มพอทุกคนหันไปมองก็เห็นจริงดังนั้น หนุ่ม ๆแผนกครีเอทีฟนั้นเป็นที่รับรู้กันในสำนักงานว่าไม่ใช่เก่งแค่คิดคำโฆษณาเท่านั้นแต่ยังขึ้นชื่อในเรื่องการจิกกัดและออกปากแซวเพื่อนร่วมสำนักงานและชอบคุยโวในเรื่องสัปดี้สัปดนอีกด้วย
ประจวบเหมาะพอดีที่พาทีเดินไปถึงกลุ่มนั้นน้อยโหน่งเห็นเจ้านายหนุ่มใหญ่พูดคุยอะไรบางอย่างกับคนกลุ่มนั้นสักพักคนทั้งกลุ่มกันหันมองมาที่กลุ่มของพวกเขาเป็นตาเดียว แล้วหลังจากนั้นหนุ่ม ๆกลุ่มนั้นก็หัวเราะคิกคักกันยกใหญ่ มันยิ่งทำให้น้อยโหน่งหน้าเสียลงไปอีก
“เวรแล้วกูบอสเอากูไปขายแน่ ๆ เลย ทำไมบอสทำแบบนี้”
“อ้าว ก็มึงอยากขายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไม่อย่างนั้นมึงจะใส่ชุดนี้มาทำไม บอสเขาก็แค่ช่วยอนุเคราะห์” โอมยิ่งพูดยิ่งทำให้น้อยโหน่งยิ่งหน้าจ๋อยลงไปอีก
อีกฟากหนึ่งพาทีคุยหัวร่อกับกลุ่มหนุ่ม ๆ แผนกครีเอทีฟ ด้วยความสนุกสนานตามประสาผู้ชาย หนุ่มๆ ในแผนกนี้มีด้วยกันทั้งหมด 4 คนทุกคนทำงานมานานจนสนิทสนมคุ้นเคยกับพาทีมากกว่าแผนกอื่น สมาชิกในกลุ่มประกอบด้วยย้ง พี่ใหญ่ของกลุ่ม เขามีตำแหน่ง CreativeDirector ผู้ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเอื้อ กับ ต้าร์ ที่เป็น Copy Writer และบอม ที่เป็น ArtDirector
ย้งนั้นวัยของเขาอ่อนกว่าพาทีไม่กี่ปีทั้งคู่สนิทสนมทำงานด้วยกันมานาน ตั้งแต่พาทีนั้นยังไม่เริ่มจับธุรกิจของตนเองทั้งสองต่างนับถือกันทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวพอพาทีเริ่มต้นมาจับงานทำธุรกิจสื่อของตนเองคนแรกที่เขานึกถึงและทาบทามให้มาร่วมงานก็คือ ย้ง และย้งเองก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะตัดสินใจมาร่วมงานกับพาทีตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ฝ่าฟันร่วมกันมา ความสำเร็จส่วนใหญ่ของ Ablaze Agency ก็มีย้งเป็นส่วนสำคัญ
พาทีใช้เวลาคุยเล่นกับกลุ่มนี้นานเป็นพิเศษกว่าจะผละออกจากกลุ่มไปหนุ่มใหญ่ยังเดินวนไปทั่วห้อง ทักทายพนักงานแผนกต่าง ๆ อย่างเป็นกันเอง ก่อนจะไปทักทายกับหนุ่มร่างใหญ่ประจักษ์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของบริษัทประจักษ์ปีนี้อายุปาเข้าไปใกล้เกษียณแล้ว เขาไม่ได้ทำงานเต็มเวลามาออฟฟิศบ้างเมื่อมีการประชุมหรือมีวาระที่สำคัญและปาร์ตี้เดย์เป็นงานที่เขาไม่เคยขาดเลย แม้จะไม่ได้ประจำที่สำนักงาน แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นหัวหอกสำคัญของบริษัทเมื่อพาทีต้องการคู่คิดในการตัดสินใจประจักษ์จะให้สิ่งนั้นได้ ความที่เขาคร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจสื่อสารมานานเขาจึงรู้และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์จนบริษัทผ่านพ้นช่วงล้มลุกคลุกคลานมาได้อย่างสวยงาม
แล้วพาทีก็เดินมาจนถึงสุดมุมห้องประชุมนั้นสายตาของหนุ่มใหญ่มองไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนหันหลังมองอะไรบางอย่างอยู่เพียงลำพังเขาอยู่ตรงหน้าตู้ไม้สำหรับวางสิ่งของที่ใช้โชว์แขกพาทีเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นทันที
“นั่นเจ้าท็อปลูกชายของผมเอง” พาทีพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองแนะนำคนในรูปภาพที่สายตาของเด็กหนุ่มจ้องมองอยู่เด็กหนุ่มร่างบางหันไปมองตามเสียงเขาเห็นพาทีกำลังมองภาพ ๆ เดียวกับเขาอยู่ภาพนั้นเป็นภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่หน้าป้ายมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ แววตาของพาทีที่มองภาพนั้นเป็นประกายด้วยความภูมิใจไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าตัวมีความสุขที่ได้พูดถึงคนในภาพ
“ไม่ใช่ที่ไทยใช่ไหมครับ”ชายหนุ่มที่อ่อนอาวุโสกว่าเอ่ยถามออกไปทั้งที่ดูจากสภาพแวดล้อมในภาพก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว
“ใช่ นั่นที่อังกฤษลูกชายผมสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่นั่นได้ก็ไม่ใช่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่โด่งดังอะไรมากมายหรอกแต่ก็มีคนไทยได้ไปเรียนที่นั่นแค่ไม่กี่คนในรอบสิบปีนี้ ถึงตอนไปนั่นเขาก็อายุ 18แล้ว แต่อารามเป็นห่วงแม่เขาก็เลยไม่ยอมปล่อยให้ไปอยู่ที่นั่นคนเดียวก็เลยตามลูกชายไปอยู่ที่นั่นด้วย นี่ก็ 2 ปีกว่า ๆ แล้วที่พวกเขาไปอยู่ที่นั่นกันผมก็เลยต้องเทียวมาเทียวไปเพื่อไปเยี่ยมพวกเขาให้ได้บ่อย ๆ”
“คุณพาทีเลยต้องอยู่ที่นี่คนเดียวสิครับ”ท่าทีของเด็กหนุ่มที่ยืนสนทนากับผู้สูงวัยและมีตำแหน่งเป็นเจ้านายนั้นกูเป็นธรรมชาติไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวหรือประหม่าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เลย
“ช่วยไม่ได้นี่ชีวิตเราเลือกในสิ่งที่ต้องการไม่ได้ทุกเรื่องหรอก” พูดถึงตรงนี้พาทีหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เห็นสายตาที่มองเขาอยู่ก่อนแล้วเด็กหนุ่มตรงหน้าตัวเล็กกว่าเขาอยู่ไม่น้อย มองคร่าว ๆ น่าจะสูงประมาณ 175เซนติเมตร น่าจะสูงพอ ๆ กับลูกชายของเขา แถมน่าจะมีวัยไล่เลี่ยกันด้วยเขารู้สึกสนใจเด็กหนุ่มตรงหน้าจากลักษณะท่าทางการพูดจาที่ดูฉะฉานดีเลยเปลี่ยนมาลองเป็นฝ่ายถามข้อมูลของอีกฝ่ายดูบ้าง
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะงานที่นี่คุณ...”
“สวัสดีครับผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะครับ ผม ทีฆายุ ชื่อเล่น เกมเป็นนักศึกษาฝึกงานสหกิจศึกษา แผนก Creativeทำงานตำแหน่ง Copy Writer ครับเพิ่งเข้ามาทำงานที่ได้ 2 เดือน ขอฝากตัวด้วยนะครับ”
การแนะนำตัวของทีฆายุทำให้เจ้าของบริษัทอดรู้สึกทึ่งไม่ได้จริงอยู่ที่นักศึกษาฝึกงานในบริษัทเอเยนซี่โฆษณาส่วนใหญ่จะมีความมั่นใจในตัวเองและกล้าคิดกล้าพูดกันอยู่แล้วแต่เด็กคนนี้ดูแตกต่างจากคนอื่น เขาดูสุขุมมากกว่าเด็กวัยเดียวกันและเขาไม่เห็นท่าทีประหม่าใด ๆ จากเด็กคนนี้เหมือนที่เคยเห็นบ้างจากเด็กคนอื่น ๆเวลาที่ได้สนทนากับเขาตัวต่อตัว เขาตอบเด็กหนุ่มออกไปว่า
“ยินดีต้อนรับนะคุณทีฆายุผมหวังว่าที่นี่จะได้ช่วยพัฒนาศักยภาพการทำงานของคุณและช่วยให้คุณเติบโตในสายอาชีพนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เชิญตามสบายนะสนุกให้เต็มที่ แล้วคงมีโอกาสได้คุยกันอีก ผมขอตัวก่อน”
เด็กหนุ่มมองภาพหนุ่มใหญ่ที่เดินผละจากเขาไปด้วยใบหน้าเรียบเฉยในเรียบเฉยจนไม่สามารถคาดเดาถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจเขาได้สักพักเด็กหนุ่มก็หันกลับไปมองที่ภาพในกรอบรูปนั้นอีกครั้งแต่ใบหน้าที่เรียบเฉยเปลี่ยนเป็นมีแววตาที่ดุดันและมีความอาฆาตมาดร้ายแฝงออกมาให้เห็นแวบหนึ่งแต่ชั่วแวบเดียวแววตานั้นก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อยจนจบงาน
พาทีกลับมาถึงที่พักหลังเวลาเที่ยงคืนไปแล้วเล็กน้อยหนุ่มใหญ่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย วันนี้เป็นวันปาร์ตี้เดย์สำหรับเขาจริง ๆหลังกิจกรรมวันปาร์ตี้เดย์ที่สำนักงานช่วงเย็นเข้าไปสังสรรค์กับเพื่อนสนิทอีกกลุ่มหนึ่งต่อ เพราะไม่ได้เจอกันนานจึงกิน-ดื่ม-รำลึกความหลังกันจนติดลมรู้ตัวอีกทีก็เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วพาทีประคองตัวเองกลับมาที่พักได้อย่างทุลักทุเลเพราะเหตุนี้เมื่อมาถึงเขาจึงเลือกล้มตัวลงนอนพักที่โซฟาในห้องนั่งเล่นเลยหนุ่มใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กดูว่ามีใครส่งข้อความอะไรมาถึงบ้างและเห็นว่า นรี ภรรยาคนสวยของเขาส่งข้อความมาหาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง
‘รู้ไหมว่าพ่อเสือน้อยของคุณเขาพาสาวมากินมื้อเย็นที่บ้าน’
หนุ่มใหญ่อ่านประโยคนั้นทวนอยู่สองสามรอบนี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับเขามาก ได้แต่คิดว่าเจ้าลูกชายเพิ่งมีอายุพ้นเยาวชนมาได้ไม่นานนี้เองไม่สิ เจ้าเสือน้อยของเขามันเป็นหนุ่มแล้ว หนุ่มใหญ่นึกย้อนไปสมัยตอนเขาเองอายุ 20ปี ตอนนั้นเขาเป็นอย่างไร คิดไปก็ยิ้มกรุ้มกริ่มตาเป็นประกายพาทีตอบข้อความภรรยากลับไป
‘เชื้อพ่อมันแรงจริง ๆ
คิดถึงคุณนะพรุ่งนี้ผมโทรหา’
พาทีปิดมือถือลงเอามันมาแนบไว้ที่อก เหมือนมีคนรักอยู่ใกล้ ๆ เขาค่อย ๆ หลับตาลงเพียงไม่นานความรู้สึกเหนื่อยล้าและฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็ทำให้เขาผล็อยหลับไป
---------------------------------
|