แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jokecup เมื่อ 2023-1-4 07:47
บทที่ ๔ ที่ปรึกษาคนพิเศษ
หลังการประชุมสำนักงานผ่านไป 2 วัน อยู่ ๆทีฆายุก็ถูกเรียกตัวให้เข้าไปพบพาทีเป็นการส่วนตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานได้เข้ามาในห้องทำงานของเจ้าของบริษัทตอนที่เดินเข้าห้องไปเด็กหนุ่มเห็นผู้เป็นเจ้าของห้องกำลังยืนอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่งสายตาของเขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่ที่ทีฆายุรู้สึกว่าเจ้าของห้องเหมือนยังไม่รู้การมาถึงของเขา จึงส่งเสียงทำลายความเงียบร้องทักออกไป “คุณพาทีเรียกพบผมเหรอครับ”
พาทีเหมือนตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงนั้น เขาหันหน้ามามองอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะเดินกลับมาที่โตณะทำงานของตนเอง
“นั่งก่อนสิคุณทีฆายุ”เขาบอกอีกฝ่ายแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ทำงานของตนเองก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายปฏิบัติตามพอทีฆายุนั่งลงเจ้าของห้องก็เลื่อนแฟ้ม ๆ หนึ่งมาตรงหน้าเขาและบอกให้เขาเปิดมันออกดู
ทีฆายุทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เขาเปิดแฟ้มนั้นดูเห็นเอกสารกระดาษจำนวนหนึ่งแทรกอยู่ในนั้น หัวกระดาษพิมพ์ว่า ‘ใบคำร้อง’ยังไม่ทันได้อ่านข้อความในนั้น พาทีก็รวบรัดอธิบายสรุปให้ฟังเสียก่อนว่า
“นี่เป็นข้อมูลที่เอชอาร์รวบรวมมาให้ใบคำร้องที่เกี่ยวกับการถูกเลือกปฏิบัติและคุกคามทางเพศในช่วงสามปีหลังมานี้มีตั้งแต่เรื่องพื้นฐาน การถูกจ้องมอง ใช้คำพูดแซวรูปร่างหน้าตาหรือการแต่งกายไปจนถึงการทำเรื่องลามกอนาจารในพื้นที่ทำงาน”
ทีฆายุอ่านรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในใบคำร้องเร็วๆ เห็นการรายงานเรื่องการเปิดคลิปโป๊ดูที่โต๊ะทำงาน ไปจนถึงการพูดลามก อนาจารรวมถึงมีกรณีรุนแรงถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว หรือชวนไปทำอนาจารและเมื่ออ่านใบคำร้องหลาย ๆ ใบก็พบสิ่งเหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือบุคคลที่ถูกร้องเรียนในเรื่องนี้มากที่สุด คือ กลุ่มคนในแผนก ‘ครีเอทีฟ’ นั่นเอง
“ที่คุณพาทีเรียกผมมานี่เพื่อต้องการถามผมเรื่องในแผนกครีเอทีฟหรือครับ”
“นั่นก็ด้วยส่วนหนึ่งผมอยากรู้ว่าคุณเคยเจอกับตัวเองบ้างไหมตอนที่ทำงานอยู่ในแผนก”
“แต่ผมเป็นผู้ชายนะครับ พี่ ๆ เขาจะมาคุกคามผมทำไมกัน”
“แต่คุณก็เห็นข้อมูลจากใบคำร้องแล้วนี่ว่าไม่ได้มีแต่ผู้หญิงที่ถูกคุกคามแต่เอาจริง ๆผมก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าคนในแผนกครีเอทีฟจะทำเรื่องแบบที่ถูกร้องเรียนได้ ผมรู้จักพวกเขามานานหลายคนก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท น่าเสียดายที่คนให้ข้อมูลเหล่านี้ลาออกไปกันเกือบหมดทั้งที่ยังไม่ได้มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงอะไรในเรื่องนี้เลยคงต้องโทษความหละหลวมของแผนกเอชอาร์ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการอะไรต่อในเรื่องนี้ได้เลย”
“แล้วคุณพาทีเองล่ะครับ เคยโดนกับตัวเองบ้างไหม”พาทีนิ่งอึ้งไปทันทีที่โดนถามคำถามนี้ เขาพยายามคิดตามที่ทีฆายุถามว่าเขาเคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้บ้างไหมแต่เขาก็ยังนึกไม่ออก เขาเลยตอบเด็กหนุ่มออกไปว่า
“พวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามแบบนั้นกับผมหรอก”
“ก็เป็นตามทฤษฎีว่าคนที่ทำส่วนมากมัดกระทำกับคนที่มีอำนาจน้อยกว่าตนคุณพาทีเลยคิดว่าผมอาจจะเคยโดนและจะช่วยให้ข้อมูลอะไรได้ใช่ไหมครับ”
พาทีเว้นจังหวะแบบที่เขาชอบทำอีกครั้งก่อนจะกล่าวตอบทีฆายุว่า
“นั่นก็ด้วยส่วนหนึ่งอย่างที่ผมบอกแต่ผมมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอความคิดเห็นจากคุณวันนั้นที่คุณออกความคิดเห็นในที่ประชุม ผมสนใจความคิดของคุณมากนะสิ่งที่คุณเปิดประเด็น ความคิดแบบเด็กรุ่นใหม่ที่มองอะไรต่างจากสิ่งที่คนรุ่นผมมองผมคิดว่าคุณเป็นคนละเอียดอ่อน และใส่ใจคนอื่น เลยคิดว่าคุณน่าจะมีแนวคิดดี ๆสำหรับเรื่องนี้ คุณสนใจไหม ถ้าผมจะชวนคุณมาเป็นผู้ช่วยผมในเรื่องนี้”
สีหน้าของทีฆายุที่ดูนิ่งเฉยมาตลอดแสดงความรู้สึกให้เห็นเป็นครั้งแรกมันคงชัดเจนจนสังเกตได้ พาทีจึงต้องรีบอธิบายเพิ่มว่า
“ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณมาทำงานให้ผมโดยตรงคุณยังทำงานขึ้นกับคุณย้งเหมือนเดิม และยังเป็นพนักงานฝึกงานแผนกครีเอทีฟในตำแหน่งCopy Writer ตามเดิม เพียงแต่ผมอาจจะเชิญคุณมาพบแบบนี้ เพื่อช่วยคิดช่วยกันวางแผนเป็นระยะ บอกตรง ๆ ว่าผมทำงานมาหลายสิบปีแต่การรับมือเรื่องการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในที่ทำงานเป็นของใหม่สำหรับผมคุณก็เห็นแล้วว่าปฏิกิริยาในห้องประชุมวันนั้นเป็นอย่างไรมันจะมีวิธีไหนไหมที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เกิดขึ้นในสำนักงานของเราและทำให้ออฟฟิศเราเป็น Happy Workplace สำหรับทุกคนได้จริง ๆ”
พาทีร่ายยาวจนเด็กหนุ่มไม่รู้จะขัดหรือแทรกตรงไหนกว่าอีกฝ่ายจะพูดจบ ทีฆายุก็คิดว่าเขาคงไม่มีโอกาสปฏิเสธข้อเสนอของอีกฝ่าย เอาจริงๆ พาทีไม่น่าใช้คำว่า ขอความคิดเห็น แต่น่าจะเป็น ขอความร่วมมือ มากกว่า สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงต้องตอบออกไปว่า
“ผมต้องขอออกตัวก่อนนะครับคุณพาทีว่าผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้แต่ผมเคยทำงานในกองกิจการนักศึกษาและเคยผลักดันประเด็นเรื่องการคุกคามทางเพศในพื้นที่มหาวิทยาลัยให้เป็นหนึ่งวาระสำคัญที่ทางมหาวิทยาลัยต้องเร่งดำเนินการซึ่งถ้าผมจะได้นำประสบการณ์ที่เคยทำงานนั้นมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อที่นี่ผมก็ยินดีครับ”
พาทีได้ยินดังนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจ หนุ่มใหญ่ไม่รอช้เขารีบนัดหมายกับทีฆายุเพื่อให้มาช่วยงานเขาทันทีแล้วหลังจากวันนั้น ทีฆายุก็เหมือนจะเป็นแขกประจำห้องทำงานของพาที เขามักจะถูกเรียกตัวไปพบวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงอยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่สังเกตของคนในออฟฟิศโดยเฉพาะกับคนในแผนกครีเอทีฟที่รู้สึกผิดสังเกตในเรื่องนี้ สองหนุ่มต่างวัยมักจะขลุกกันอยู่ในห้องทำงนของพาทีและแลกเปลี่ยนไอเดียจนได้ข้อสรุปในการทำงานเรื่องนี้
“ออฟฟิศควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยในการทำงานเพราะนั่นคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่พนักงานทุกคนควรจะได้รับ
ต้องทำให้เกิดการรับรู้ของพนักงานทุกฝ่ายและทุกคนตั้งแต่ระดับล่างสุดไปจนถึงระดับบนสุด อาจจะมีการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้รู้ว่ารูปแบบการคุกคามทางเพศมีอะไรบ้าง
ต้องมีนโยบายเกี่ยวกับ Sexual Harassment ที่ชัดเจน
ฝ่ายเอชอาร์ต้องเปิดช่องทางการร้องเรียนที่ง่ายสะดวกสบาย ปลอดภัย และต้องมีการตรวจสอบและสืบสวนข้อเรียกร้องอย่างจริงจังไม่ปล่อยผ่านเหมือนที่ผ่าน ๆ มา”
หลังจากนั้นพาทีเริ่มทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทีฆายุรู้สึกว่าเป็นหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ในการหารือกันในวันหนึ่งเด็กหนุ่มจึงบอกกับพาทีว่า
“สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าเราต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่บรรยากาศของการทำงานที่มีความสุขกับทุกคนคือ การทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจในการใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการหลังจากวันประชุมครั้งก่อน ผมคิดว่าพี่น้อยโหน่งแกดูซึมลงไปเยอะแกรู้สึกว่าการที่แกถูกคุกคามและถูกเลือกปฏิบัติเป็นความผิดจากการแต่งกายของตัวแกเองทั้งที่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เราทุกคนควรมีสิทธิที่จะแต่งกายในแบบที่เราชอบ”
“เราจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่ว่าได้อย่างไรคุณมีไอเดียใช่ไหม”
“ต้องมีต้นแบบครับทุกการเปลี่ยนแปลงมันต้องเริ่มที่ผู้นำ”
“แบบไหน”
“งานนี้คุณพาทีเท่านั้นที่จะช่วยได้”
พาทีรู้สึกงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่าย ทีฆายุขยายความต่อว่า
“สิ่งที่ผมจะเสนอต่อไปนี้มันสำคัญมากการจะเปลี่ยนความคิดและทัศนคติคนไม่ได้เปลี่ยนได้แค่ด้วยคำพูด แต่มันต้องทำให้เห็นจริงครับ
คุณพาทีมีอิทธิพลกับพวกเราทุกคนที่นี่ การกระทำของคุณพาทีจะช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สิ่งที่ผมจะเสนอนี้ แม้มันจะดูแปลก ๆ หรือทำให้คุณพาทีถูกมองด้วยความเคลือบแคลงสงสัย แต่ถ้าคุณพาทีมีความกล้าพอที่จะทำมันผมรับรองว่าปลายทางมันมีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่รออยู่”
พาทีเห็นความมุ่งมั่นของอีกฝ่ายพร้อมคำพูดที่ชวนปลุกใจก็ทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มคนนี้อย่างเต็มที่และคิดว่าตนเองตัดสินใจไม่ผิดที่ให้เด็กคนนี้มาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวในเรื่องนี้
“แล้วคุณจะให้ผมทำอะไร”
“ผมอยากให้วันปาร์ตี้เดย์ครั้งต่อไปเป็นวันดีเดย์ในเรื่องนี้ครับและถ้าคุณพาทีอยากจะรู้ว่าแผนกครีเอทีฟเป็นตัวการในใบคำร้องจริงอย่างที่เห็นหรือไม่ผมก็มีแผนการในเรื่องนี้ด้วย เราอาจจะยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกถึงสองตัวพร้อมกันแต่ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ว่าคุณพาทีจะกล้าพอที่จะทำตามที่ผมบอกไหม”
“แผนการของคุณคืออะไร” พาทีอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ทีฆายุจึงร่ายแผนการของเขาให้หนุ่มใหญ่ได้ฟังพอพาทีได้ฟังก็รู้สึกตกใจในสิ่งที่เขาจะต้องกระทำ สีหน้าของเขาดูสับสน ไม่เชื่อมั่นซึ่งดูเหมือนคนที่อ่อนอาวุโสกว่าจะดูออกจึงรีบสำทับเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับอีกฝ่าย
“ถ้าคุณพาทีตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ให้เกิดผลเร็วที่สุดผมรับรองว่าแผนการที่ผมเสนอคือสิ่งที่ตอบโจทย์นั้นได้”
ทีฆายุออกจากห้องไปได้สักพักใหญ่แล้วแต่พาทียังคิดไม่ตกกับไอเดียที่เด็กหนุ่มนักศึกษาฝึกงานเสนอให้เขาทำหนุ่มใหญ่รู้สึกสองจิตสองใจคิดไม่ตกว่าเขาควรทำตามไอเดียนั้นดีหรือไม่เขานึกไปถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่าเขากับทีฆายุ
“ไหนคุณบอกว่าคนกระทำจะกระทำกับคนที่มีอำนาจน้อยกว่าแต่แผนการนี้คุณจะให้ผมเป็นตัวล่อ มันจะได้ผลเหรอ”
“ผู้กระทำส่วนใหญ่ทำเพราะความย่ามใจครับ คนพวกนี้แค่มีจังหวะเพียงนิดเดียวเขาไม่มีทางปล่อยโอกาสให้หลุดไปหรอกครับแผนการนี้เราจะได้เห็นตัวตนจริง ๆ ของคนในแผนกครีเอทีฟ เมื่อคุณพาทีวางเหยื่อล่อแล้วเขาพวกเขาจะตะครุบเหยื่อไหมตอนนั้นเราจะได้คำตองบของความจริงทั้งหมดในเรื่องนี้ครับ”
คำพูดนั้นของทีฆายุทำให้พาทีตัดสินใจเปิดหน้าเว็บไซต์ชอปปิ้งออนไลน์แล้วใช้เวลาค้นหาอะไรบางอย่างก่อนจะตัดสินใจกดสั่งซื้อสินค้านั้นมา
ค่ำวันนั้น พาทีวิดีโอคอลกับลูกชายเหมือนเช่นทุกวันทั้งคู่คุยเรื่องสัพเพเหระกันไปตามเรื่องราวหนุ่มใหญ่อดแซวลูกชายไม่ได้เรื่องที่เขาพาสาวเข้ามาทานมื้อเย็นที่บ้านซึ่งลูกชายก็เอ่ยปากยอมรับตรง ๆ ว่ากำลังเริ่มต้นคบหาดูใจกับสาวที่ว่านี้จริง ๆและคิดสานสัมพันธ์จริงจังถึงขึ้นที่ว่าเขาอาจจะหางานทำที่นี่หลังเรียนจบด้วยซ้ำพาทีรู้สึกตกใจไม่น้อยกับความคิดของลูกชายแต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรไปเพราะคิดว่าลูกชายยังมีเวลาตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกนาน
“แล้วงานพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ” อยู่ ๆลูกชายก็เอ่ยถามผู้เป็นพ่อบ้าง ไม่รู้ทำไมพอโดนถามคำถามนี้พาทีกลับคิดเรื่องไอเดียของทีฆายุขึ้นมาในหัวทันทีพอรู้สึกตัวหนุ่มใหญ่รีบสลัดความคิดนั้นออกจากหัว แล้วตอบกลับลูกชายไปว่า
“ส่วนใหญ่ก็โอเคนะแต่ก็มีเรื่องการบริหารจัดการบางอย่างที่ทำให้พ่อรู้สึกหนักใจอยู่บ้างแต่คิดว่าคงแก้มันไปได้แหละ เพราะพ่อมีที่ปรึกษาพิเศษในเรื่องนี้”
“ที่ปรึกษา ใครครับ ลุงประจักษ์เหรอ”
“ไม่ใช่ เขาเป็นแค่เด็กฝึกงานแต่พ่อเห็นแววว่าเขามีความคิดที่น่าสนใจในบางเรื่องพ่อเลยจะลองเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างตามวิธีการที่เขาแนะนำดูเผื่อมันจะช่วยทำให้บรรยากาศการทำงานในออฟฟิศดีขึ้นบ้าง”
“น่าสนใจนะครับ พ่อพูดแบบนี้ทำให้ผมอยากรู้จักเขาเลยถ้าเป็นเด็กฝึกงานก็น่าจะอายุไล่ ๆ กับผมใช่ไหมครับ”
“ใช่ เขาน่าจะอายุเท่าเรานั่นแหละไว้มีโอกาสพ่อจะแนะนำให้ท็อปรู้จักเด็กคนนี้”
แล้วพ่อ-ลูกก็คุยเรื่องอื่นต่อจากนั้นโดยมีผู้เป็นแม่เข้ามาสมทบด้วย มันช่างเป็นภาพครอบครัวที่แสนสุขสันต์ที่ใครเห็นก็ต้องอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
---------------------------------
|