แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jokecup เมื่อ 2023-1-6 09:16
บทที่ ๕ ปาร์ตี้เดย์
ปาร์ตี้เดย์เวียนมาถึงอีกครั้งในวันศุกร์สุดท้ายของเดือน ตามข้อตกลงที่กำหนดกันวันนี้จะไม่มีการลงบันทึกเวลาการเข้าและออกงานแต่จะเป็นการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยความสมัครใจ ปาร์ตี้เดย์จะจัดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 11.00 – 14.00 น.ซึ่งความตั้งใจของกิจกรรมนี้คือเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงานและเป็นโอกาสในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแผนกต่าง ๆที่โดยปกติอาจไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่าวันนี้เป็นวันพิเศษที่ไม่นับเป็นวันทำงาน แต่ส่วนใหญ่พนักงานก็มักมาร่วมงานไม่ขาด และถึงแม้จะเปิดโอกาสให้พนักงานแต่งตัวได้อิสระแต่ส่วนใหญ่ทุกคนก็มักจะแต่งกายเหมือนกับในวันทำงานแต่ในงานปาร์ตี้เดย์ของเดือนนี้มีสิ่งที่แตกต่างออกไปพนักงานทุกคนได้รับอีเมล์ที่แจ้งล่วงหน้าว่า ให้ทุกคนแต่งกายในธีม ‘It’ sMe’ แต่เมื่อถึงเวลาจริงเกือบทุกคนก็แต่งกายมาเหมือนกับที่แต่งในวันทำงานแม้กระทั่งน้อยโหน่งที่คราวที่แล้วแต่งตัวแตกต่างจากที่เคยแต่งเวลาทำงานก็เลือกที่จะเซฟตัวเองด้วยการแต่งกายในชุดทำงานแบบสุภาพมีไม่กี่คนที่แต่งกายแตกต่างออกไปและคนที่แต่งกายมาตามธีมก็กลายเป็นกลุ่มคนที่ถูกล้อเลียนและถูกแซว
สิ่งที่ดูจะแปลกไปกว่าวันอื่นๆ ก็คือ แม้จะเริ่มงานมานานจนใกล้เวลาเที่ยงแล้ว ก็ยังไม่มีใครเห็นพาทีเจ้าของบริษัทเลยสักคน ทั้งที่ปกติพาทีจะมากล่าวเปิดงานทุกครั้งเพราะเหตุนี้หนุ่มใหญ่จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาของพนักงานในบริษัทจากการที่เขายังไม่ปรากฏกายในงานไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่ม ๆ แผนกครีเอทีฟ
“มึงว่าบอสจะแต่งชุดอะไรมาวะ”เอื้อเปิดประเด็นกับกลุ่มเพื่อน ๆ ร่วมแผนก
“แต่งอะไรก็แต่งเหอะแต่แต่งมาตามธีมก็พอ กูจะได้มีเพื่อน เขินไปหมดแล้วตอนนี้”ต้าร์ที่ใส่ชุดนักฟุตบอลสโมสรดังมาอย่างเต็มยศบอก
“แหมก็มึงเล่นจัดเต็มเหลือเกินนี่ดีนะที่ยังมีคุณประจักษ์แต่งชุดนักกอล์ฟมาเป็นเพื่อนมึง”เอื้อบุ้ยใบ้ไปทางประจักษ์ที่จัดเต็มในชุดเครื่องแต่งกายนักกอล์ฟแล้วทุกคนก็หัวเราะเฮฮาขำขันกัน
“แต่ว่าอย่างบอสนี่ไม่แน่นะมึงเห็นหล่อ ๆ มาดเนี้ยบแบบนั้น จริง ๆ แกอาจจะชอบใส่ชุดเสื้อกล้ามย้วย ๆ กับผ้าขาวม้าแบบที่อาแป๊ะแก่ๆ ชอบใส่กันก็ได้” บอมอดนึกสนุกเอ่ยปากแซวเจ้านายตัวเองไม่ได้เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนสมาชิกในกลุ่มได้อย่างต่อเนื่องมีเพียงเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาที่ยืนเลยมาด้านหลังที่ไม่ได้ขำตามไปด้วยเขากำลังยืนสังเกตการณ์สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในงานอยู่
ตอนนั้นเองที่ประตูของห้องประชุมถูกเปิดออกแล้วชายหนุ่มร่างล่ำสันสูงโปร่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับชุดที่สวมใส่ที่ทำให้ใครต่อใครต้องอ้าปากค้าง
“ขอโทษทีที่มาช้าไม่เคยแต่งชุดนี้ออกจากบ้านก็เลยรู้สึกเขิน ๆ แต่ก็ตั้งใจแต่งมาตามธีมที่แจ้งเลยนะ”
พาทีกล่าวติดตลกแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ขำด้วยทุกคนยังมีอาการตกใจที่ได้เห็นหนุ่มใหญ่ที่เป็นประธานบริษัทสวมใส่ชุดแบบนี้มาร่วมงาน
“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะคุณพาที”
ประจักษ์รีบเดินเข้ามาใกล้แล้วส่งเสียงเอ่ยถามใบหน้าแสดงความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด
“ผมก็แต่งตัวตามธีมไงครับ”
การแต่งกายที่พาทีเลือกใส่มาร่วมงานวันนี้คือชุดเดรสสั้นสำหรับผู้หญิงแบบเดียวกับที่น้อยโหน่งสวมใส่มาเมื่องานปาร์ตี้เดย์เมื่อเดือนก่อน
“มันตามธีมยังไงนี่ไม่ใช่ชุดที่คุณแต่งแบบปกติแน่ ๆ นี่มันวิปริตบ้าบอไปกันใหญ่แล้ว”ประจักษ์ยังไม่ยอมรับแม้ว่าพาทีจะพูดออกมาจากปากของเขาเองก็ตาม
“มันวิปริตยังไงครับคุณประจักษ์การแต่งกายแบบนี้มันทำให้ความสามารถในการทำงานของผมลดลงเหรอครับในทางกลับกันถ้าผมแต่งกายแบบนี้มาทำงานแล้วผมรู้สึกมีความสุขฟูลฟีลความรู้สึกของตัวเองได้มันไม่ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของผมดีขึ้นหรอกเหรอครับหรือการแต่งกายของผมแบบนี้มันแสลงตาใครจนไปทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงหรือเปล่าเราถึงต้องมากีดกันหรือคอยวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องการแต่งกายของคนอื่นกัน”
พาทีพูดประโยคนั้นจบเขาก็หันไปมองสบตาน้อยโหน่งแววตานั้นตอนแรกเบิกโพลงด้วยความตกใจเธอคิดว่าเจ้านายแต่งกายแบบนั้นมาเพื่อล้อเลียนเธอแต่พอได้ฟังสิ่งที่พาทีพูดน้อยโหน่งก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เจ้านายแต่งกายแบบนั้นขึ้นมาทันทีมันก็ทำให้น้อยโหน่งรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา น้ำตาเริ่มคลอ ๆ ที่เบ้าตา
“เอาเถอะถ้าคุณไม่อายพวกลูกน้องของคุณเองก็ตามใจ” ประจักษ์ยังคงหัวเสียไม่หายเขาผลุนผลันเดินออกจากห้องประชุมไปโดยไม่สนใจใครเลย
พาทีทำเป็นไม่สนใจเขาเดินไปยกแก้วเครื่องดื่มที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วบอกกับพนักงานทุกคนว่า
“สนุกกันต่อนะทุกคนผมอยากให้ทุกคนทำงานที่นี่อย่างมีความสุข และจงใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ”
สมาชิกของAblazeAgency ต่างชูแก้วเครื่องดื่มและส่งเสียงเชียร์ให้กับบอสของเขาแล้วความตื่นตกใจในสภาพของบอสหนุ่มใหญ่ก็หมดไปบรรยากาศงานกลับสู่ความสนุกครึกครื้นอีกครั้ง ทุกคนมารวมตัวกันถ่ายรูปหมู่ร่วมกันแต่พาทีที่มีอาการเขินอายชุดที่สวมใส่อยู่เขาจึงเลือกที่จะยืนอยู่ด้านหลังให้มีคนบังเพื่อไม่ให้เห็นชุดที่เขาสวมใส่
พอถ่ายรูปร่วมกันเสร็จน้อยโหน่งเดินไปหาพาที เธอกล่าวด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาซึม “ขอบคุณนะคะบอสแต่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกน้อยโหน่งผมดีใจนะที่มีส่วนช่วยให้คุณมีกำลังใจที่ดีขึ้นและหวังว่าต่อจากนี้คุณจะเป็นตัวของตัวเองและมีความสุขในการทำงาน”
พาทีรู้สึกโล่งอกที่แผนการแรกของเขาสำเร็จลุล่วงและได้ผลดีดังที่คาดการณ์ไว้มันสร้างความเชื่อมั่นในแผนการของเด็กหนุ่มที่เป็นพนักงานฝึกงานให้เพิ่มมากขึ้นแต่ลึก ๆ แล้วเขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับแผนการที่ 2 อยู่ดีแต่ความอยากรู้อยากเห็น อยากค้นหาคำตอบด้วยตัวเองก็ทำให้เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาหนุ่ม ๆในแผนกครีเอทีฟที่กำลังจับกลุ่มสรวลเสเฮฮากันอยู่ใกล้ ๆ โต๊ะเครื่องดื่ม
พอพาทีเดินเข้าไปร่วมในกลุ่มสิ่งแรกที่เขาเจอเลยก็คือหนุ่ม ๆกลุ่มนั้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซวการแต่งกายของเขาย้งที่สนิทกับพาทีที่สุดอดเอ่ยปากถามไม่ได้“นี่คุณแต่งแบบนี้ออกมาจากบ้านเลยเหรอคุณพาที”
“แหมใครจะไปทำได้ขนาดนั้น ผมเพิ่งมาแต่งที่ออฟฟิศนี่เอง”
“ผมก็ว่าอยู่”
พอเห็นย้งเปิดประเด็นนี้ได้หนุ่ม ๆ ในกลุ่มที่เหลือจึงเปิดฉากแซวเจ้านายตัวเองบ้าง
“บอสยังขาดแต่งหน้าทาปากกับใส่ส้นสูงนะครับ”เอื้อเริ่มเป็นคนแรก
“เดี๋ยวอาจจะต้องให้น้อยโหน่งช่วยสอนแต่งหน้าแต่ส้นสูงผมไม่ไหวจริง ๆ ผมลองใส่แล้วมันเดินต่อไม่ได้ แต่ผมก็แก้ตัวด้วยอย่างอื่นอยู่นะ”
พาทีหันซ้ายแลขวาพอเห็นว่าไม่มีคนอื่นๆ ในห้องมองมาที่เขากับกลุ่มครีเอทีฟ เจ้าตัวจึงค่อย ๆดึงคอเสื้อด้านหนึ่งให้เลื่อนลงมาที่ไหล่เผยให้เห็นสายเสื้อชั้นในที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่ เสียงหนุ่ม ๆ ในกลุ่มร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัวจนทำให้สมาชิกคนอื่นๆ ในงานหันมาดู พาทีขึงรีบดึงคอเสื้อกลับขึ้นมาในตำแหน่งเดิมทันที
“เห้ยบอส จัดเต็มที่สุดเลยครับ” ต้าร์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังตื่นตกใจอยู่ไม่หาย
“เหมือนผมจะเห็นเป็นลายลูกไม้ด้วยนะ”ย้งกล่าวเสริมเสียงกลั้วหัวเราะ
“ผมไม่ได้เอาของเมียมาใส่นะนี่ซื้อมาจากในอินเทอร์เนต เขาขายเป็นเซตคู่กัน” พาทีเริ่มพาหนุ่ม ๆแผนกครีเอทีฟเข้าสู่แผนการที่ 2 ตามที่ทีฆายุนำได้บอกกับเขาเอาไว้
“หืมคู่กัน หมายถึงคู่กับกางเกงชั้นในด้วยเหรอ”
พาทีหัวเราะเขินๆ ตอบออกไปว่า “ใช่”
ต้าร์กลืนน้ำลายลงคือทันที่พอได้ยินประโยคนั้นเขาถามผู้เป็นเจ้านายต่อทันที
“แล้ววันนี้บอสใส่กางเกงชั้นในมาด้วยหรือเปล่าครับ”
“ซื้อมาแล้วก็ต้องใส่สิแล้วมันใส่ได้พอดีตัวด้วยนะ ไม่อึดอัดเลย”
“โหผมอยากเห็นเลยครับว่าผู้ชายแมน ๆ หุ่นกำยำแบบบอสนี่ เวลาใส่ชั้นในผู้หญิงแล้วจะออกมาเป็นยังไง”ต้าร์ส่งเสียงร้องขอออกมาอย่างลืมตัว ทำเอาเพื่อน ๆ ในแผนกหันมามองที่เขากันหมดพาทีนึกย้อนไปถึงคำพูดของทีฆายุที่เคยบอกกับเขาเอาไว้
“ถ้าคุณพาทีเปิดประเด็นอย่างที่ผมบอกกับผู้ชายธรรมดาทั่วๆ ไป อย่างมากเขาก็อาจจะแค่แซวคุณพาทีไม่กี่คำแล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปแต่ถ้าผลมันเกิดเป็นตรงกันข้าม มีใครทำให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านั้นผมว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาแน่ ๆและเราอาจจะได้ข้อพิสูจน์จากข้อสันนิษฐานนี้ก็เป็นได้นะครับ”
“แต่เดี๋ยวนะผมเป็นผู้ชาย คนในแผนกครีเอทีฟก็เป็นผู้ชาย การเอาตัวผมเป็นตัวล่อนี่มันจะได้ผลจริงๆ อย่างนั้นเหรอ”
“ก็ในใบคำร้องที่คุณพาทีให้ผมดูมันก็บอกไม่ใช่เหรอครับว่าไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่เคยถูกคุกคามทางเพศมันไม่เสียหายหรอกครับถ้าเราจะลองเสียงดู”
ตอนนั้นพาทีไม่ค่อยแน่ใจในการเสี่ยงครั้งนี้ยิ่งมันต้องเสี่ยงโดยการใช้เขาเป็นเหยื่อล่อ แต่ตอนนี้พาทีรู้สึกว่าเขากำลังได้เห็นด้านมืดของใครบางคนเข้าให้แล้วแต่พาทีก็ยังไม่กระโตกกระตากหรือทำอะไรเพื่อชี้นำเขาปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนนำเกมตามที่ทีฆายุได้เตี๊ยมกับเขาเอาไว้แล้วตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นสมาชิกคนอื่น ๆ กระโจนเข้าร่วมสถานการณ์นี้
“มึงจะให้คุณพาทีเขาถกชุดให้มึงดูเขาใส่กางเกงชั้นในตรงนี้เหรอวะ”ย้งเอ่ยถามด้วยความตกใจ
“แหะๆ พี่ แต่ผมก็อยากเห็นนะ อยากจะเห็นว่าผู้ชายแมน ๆ แบบคุณพาทีใส่ชั้นในผู้หญิงมันจะเป็นอย่างไร” เอื้อส่งเสียงสนับสนุนอีกเสียง
“เอาแล้วไงคุณพาทีคุณเล่นมาเปิดประเด็นให้พวกลูกน้องผมมันอยากเห็นแบบนี้ คุณจะจัดการอย่างไร”ย้งหันไปรุกเร้าพาทีอีกคน แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบอะไร เอื้อก็เสนอขึ้นมาว่า
“ถ้าบอสไม่สะดวกใจที่จะเปิดโชว์ตรงนี้ก็ไปที่ห้องพวกเราไหมครับอยู่ในห้องปิดจะได้ไม่ต้องกลัวคนอื่นเห็น คราวนี้บอสจะได้สะดวกใจที่จะให้พวกเราเห็นทั้งหมดเลยว่าชุดชั้นในบอสเป็นแบบไหน”
ทุกสายตาในที่นั้นหันไปมองที่พาทีเป็นตาเดียวเพื่อรอคำตอบจากเขาพาทีรู้สึกใจสั่น ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับการตอบกลับแบบนี้ ความตะขิดตะขวงใจจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขารู้สึกถึงความสุ่มเสี่ยงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจัวเขาแต่ขณะเดียวกันมันอาจจะนำพาเขาไปสู่คำตอบที่เขาสงสัยถึงตัวการในการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ทุกอย่างมันวิ่งวนในหัวทำให้เขาเกิดอาการสองจิตสองใจว่าเขาควรไปต่อหรือหยุดทุกอย่างไว้เพียงแค่นี้ขณะที่พาทีกำลังชั่งใจหยุดคิดเอื้อก็เสนอไอเดีย
“ถ้าคุณพาทีกลัวว่าคนจะสงสัยผมเสนอว่าเราค่อย ๆออกกันไปทีละคน ดีไหมครับ”
ต้าร์ไม่รอการตัดสินใจจากพาที เขารีบบอกทุกคนก่อนเลยว่า
“งั้นผมออกไปเป็นคนแรกนะครับ”
แล้วต้าร์ก็ออกจากห้องประชุมไปก่อนคนอื่น ๆสักพักหนุ่ม ๆ ในกลุ่มที่เหลือก็ค่อย ๆ ทยอยเดินตามออกไปทีละคนจนเหลือพาทีที่อยู่เป็นคนสุดท้าย เขารอเวลาสักพัก เมื่อมองดูว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของ Ablaze Agency ต่างสนุกสนานกับงานปาร์ตี้โดยไม่ได้มาสนใจที่ตัวเขาแล้วพาทีก็ค่อย ๆ ก้าวออกจากห้องประชุมตามคนอื่น ๆ ในแผนกครีเอทีฟไป
พาทีเดินไปที่ห้องทำงานของแผนกครีเอทีฟอย่างช้า ๆ ความรู้สึกต่อต้านเกิดขึ้นอยู่ในจิตใจใจหนึ่งเขารู้สึกว่าไม่ควรให้เรื่องราวเลยเถิดด้วยการเดินเข้าไปในนั้น และคิดว่าเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอรู้คำตอบแล้วแต่อีกใจก็ด้านมืดของคนแผนกครีเอทีฟว่าเป็นอย่างไร
พาทีสองจิตสองใจคิดวนไปวนมา ก่อนที่จะตัดสินใจเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิดประตู
---------------------------------
|