แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jokecup เมื่อ 2023-1-19 00:42
บทที่ ๙ เหตุการณ์ดำเนินต่อไป
หลังงานปาร์ตี้เดย์ บรรยากาศในออฟฟิศดีขึ้นมากน้อยโหน่งสีหน้าและแววตาดูเบิกบานมีความสุข กลับมาแต่งตัวในแบบที่เจ้าตัวชอบอีกครั้งนอกจากนั้นมิตรภาพระหว่างเขากับทีฆายุก็ดูจะพัฒนาดีขึ้นเรื่อย ๆเนื่องจากอายุของทั้งคู่ไม่ได้ห่างกันมากมายนัก พอพูดคุยสื่อสารกันได้ไม่นานทั้งคู่ก็เริ่มสนิทสนมกัน และมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย ๆโดยเฉพาะช่วงพักทานอาหารกลางวัน
วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
“พี่โหน่งทำอะไรมาทานครับวันนี้”คนที่เด็กกว่าเอ่ยถามตอนที่เขาเดินถือกล่องอาหารกลางวันของตนมาที่โต๊ะอาหารภายในสำนักงาน
“วันนี้ตื่นสาย ไม่ได้ทำอะไรมาแวะซื้อข้าวมันไก่ร้านพี่พรมากิน เราล่ะทำอะไรมา”
“แม่ทำข้าวผัดแหนมให้ครับ ว่าแต่วันนี้คนอื่น ๆไปไหนกันหมด”
“ออกไปกินข้าวข้างนอกกันหมดเงินเดือนเพิ่งออกก็แบบนี้” น้อยโหน่งพูดไปหัวเราะไป แลดูมีความสุข
“ช่วงนี้พี่โหน่งดูอารมณ์ดีนะครับ”
ฝ่ายตรงข้ามหยุดช้อนที่กำลังตักอาหารอยู่แล้วจ้องหน้าคนที่นั่งตรงกันข้ามตาเขาเป็นประกายบ่งบอกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นไม่ผิด
“คนเราเวลาได้ทำในสิ่งที่อยากทำโดยไม่ต้องกลัวอะไรมันก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละเอาจริง ๆ ตอนแรกพี่เกือบถอดใจลาออกจากที่นี่แล้วนะ แต่สิ่งที่บอสทำวันนั้นมันทำให้พี่มีกำลังใจจากที่รู้สึกโดดเดี่ยวกลับรู้สึกดีขึ้นมา ทำให้พี่ตัดสินใจอยู่ต่ออยากทำงานกับบอสไปเรื่อย ๆ รู้สึกติดหนี้บุญคุณบอส ไม่รู้ว่าควรจะตอบแทนอย่างไรดี”
“ให้ผมช่วยคิดไหมครับ ผมคิดว่าผมพอมีไอเดีย”
“ยังไงเหรอ” น้อยโหน่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายเสนอตัวทีฆายุทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ผมคิดเหมือนกันว่าสิ่งที่บอสทำเป็นสิ่งที่ดีเพราะฉะนั้นเราต้องทำให้สิ่งที่บอสทำเป็นที่รับรู้ของคนในวงกว้างให้ได้ครับเพียงแต่ถ้าเราเป็นคนสื่อสารเองอาจจะไม่เกิดอิมแพคมากพอ เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่มีชื่อเสียงหรือน่าเชื่อถือแถมอาจจถูกมองว่าทำเพื่อโปรโมทองค์กรของเราเองผลที่ควรจะดีจะกลายเป็นเสียไปเปล่า ๆแต่ถ้าเราใช้ตัวช่วยผลที่ออกมาน่าจะดีกว่า”
“ใช้ตัวช่วยอย่างไรดีล่ะ”
ทีฆายุทำท่านิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนที่จะบอกอีกฝ่ายไปว่า
“จำตอนที่บอสลงหนังสือ Gent ได้ไหมครับ ผลตอบรับดีมาก ๆเห็นว่านอกจากหนังสือจะขายดีแล้ว ยังมีการแชร์กันในโลกออนไลน์ ติดแฮชแท็กบอสหล่อบอกต่อด้วย ถ้าเราจะให้หนังสือ Gent เป็นกระบอกเสียงนำเสนอเรื่องของบอสในมุมนี้ก็น่าสนใจนะครับ”
น้อยโหน่งนิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย
“ผมว่าเราลองส่งเรื่องไปที่กอง บ.ก. หนังสือ Gent ดีไหมครับแต่ไม่ต้องออกตัวว่าเราเป็นใคร แค่เปิดประเด็นเพื่อให้เขามาช่วยทำเนื้อหาต่อเองตอนนี้ประเด็นเรื่อง Gender Equality กับ HappyWorkplace กำลังมาแรงผมว่านิตยสารที่มีวิสัยทัศน์ดี ๆ ยังไงเขาก็ต้องซื้อเรื่องนี้แน่ ๆ ครับ”
“ก็ดี น่าสนใจนะ”
“งั้นเดี๋ยวผมเป็นคนติดต่อส่งเรื่องไปทางนิตยสารให้ดีไหมครับ”
“ดีสิดี แต่พี่ติดอยู่เรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือครับ”
“บอสจะว่าอะไรไหมถ้าเราเอาเรื่องนั้นของบอสไปเล่าให้คนนอกฟัง”
“เรื่องที่บอสใส่ชุดเดรสเหรอครับ”
น้อยโหน่งพยักหน้าแทนคำตอบ
“ไม่ต้องห่วงครับพี่โหน่ง ผมว่าจะเขียนไปกลาง ๆ ไม่ลงรายละเอียดเรื่องนั้นดีไหมครับ"
น้อยโหน่งพยักหน้า ขยิบตาให้อีกฝ่ายแสดงการตอบรับ
ไม่กี่วันหลังจากนั้น พาทีก็ได้รับการติดต่อจากวศินบรรณาธิการบริหารของนิตยสาร Gent
“ว่าอย่างไรครับคุณวศิน สบายดีนะครับมีอะไรให้ผมรับใช้”
“แหม อย่าพูดอย่างนั้นสิครับคุณพาทีผมต่างหากที่มีเรื่องต้องรบกวนคุณพาที”
“ไม่รบกวนครับ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงผมยินดีช่วยทุกอย่างครับตอบแทนที่คุณวศินช่วยทำให้ผมและ Ablaze Agency เป็นที่รู้จัก”
“คุณพาทีก็ยกยอเกินไปครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเพราะคุณพาทีต่างหากที่ช่วยทำให้ Gent ฉบับนั้นกลายเป็น Talkof the Town”
พาทีหัวเราะร่วนก่อนจะตอบอีกฝ่ายไปว่า
“เอาเป็นว่าเราอย่ามัวยอกันเองเลยครับคุณวศินมีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
“คือทางกอง บ.ก. Gentสนใจประเด็นเรื่อง Happy Workplace ที่คุณพาทีได้พูดเกริ่นๆ ไว้ในบทสัมภาษณ์ครั้งก่อนรู้สึกว่านี่เป็นประเด็นที่สังคมวงกว้างกำลังให้ความสนใจ ผมเลยตั้งใจว่าอยากจะทำสกู๊ปในประเด็นนี้กับหลายๆ องค์กรที่มีนโยบายและมีการปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และผมมองว่า 1ในองค์กรที่เราอยากนำเสนอมาก ๆ ก็คือ AblazeAgency ครับ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับว่าแต่คุณวศินมีไอเดียที่จะนำเสนอประเด็นนี้แบบไหนครับ”
“ผมตั้งใจไว้ว่า อยากได้สัมภาษณ์ผู้บริหารและนำเสนอกรณีตัวอย่างสักเรื่องครับ ว่าเรื่องไหนที่ทำให้เกิด Happy Workplace ได้จริงๆ ผมอยากได้เคสที่สร้างอิมแพคได้จริง ๆ เพื่อให้เห็นว่า Ablaze Agency จริงจังกับเรื่องนี้คุณพาทีพอมีเคสที่น่าสนใจไหมครับ”
พาทีไม่ต้องคิดนาน เขานึกถึงเรื่องของน้อยโหน่งขึ้นมาทันที
“ก็มีอยู่นะครับแต่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพนักงานของเราซึ่งผมคงต้องขอความยินยอมจากเจ้าตัวก่อนว่าเขาสะดวกใจให้เผยแพร่เรื่องของเขาต่อสาธารณะไหม”
“งั้นผมต้องขอฝากให้คุณพาทีช่วยประสานเรื่องนี้และให้คำตอบผมด้วยนะครับ ถ้าไม่ติดอะไร ทางผมจะได้เข้าไปเพื่อทำเนื้อหากัน”
“ได้ครับ ผมจะรีบดำเนินการและตอบกลับโดยเร็วนะครับ”
ผ่านไปเพียงไม่นานวศินก็ได้รับคำตอบรับจากพาทีว่าทาง AblazeAgency พร้อมให้ความร่วมมือในการทำเนื้อหาวศินจึงได้ประชุมทีมงานเพื่อเตรียมความพร้อมการทำงานต่อทันที
พาทีรู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้ลงทุนทำไปตามที่ทีฆายุแนะนำนั้นได้รับผลตอบแทนที่ดีเกินคาดตอนนี้บรรยากาศการทำงานภายในสำนักงานที่ดีขึ้นมาก หากจะมีสิ่งที่เขายังกังวลก็น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายห้องทำงานของแผนกครีเอทีฟดีที่หลังจากวันนั้น ไม่มีใครในแผนกครีเอทีฟที่มีอะไรผิดแปลกไปพาทีจึงคิดว่าทุกคนรักษาสัญญาที่ให้ไว้ในห้องและเหตุการณ์ในวันนั้นจะเป็นความลับตลอดไปหลังจากท่าทีรับปากที่จะไม่ดำเนินการอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน
แต่เพื่อเป็นการกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจหรือสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้พาทีจึงคิดว่าวันที่นิตยสาร Gent จะมาทำรายงานในเรื่องนี้เขาอาจจะต้องกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปให้หมด โดยเฉพาะคนจากแผนกครีเอทีฟและอาจจะต้องตกลงกับน้อยโหน่งไว้แต่เนิ่น ๆ ว่าจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการแต่งกายในปาร์ตี้เดย์ของเขาให้ทีมงาน Gent ได้รับรู้
ขณะที่พาทีมีเรื่องที่ยังกังวลใจเจ้าตัวไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็กำลังกระวนกระวายใจ ไม่แพ้กัน เพราะภาพถ่ายที่ผู้เป็นพ่อส่งมาให้เขามีสิ่งหนึ่งที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่ ท็อปรู้ดีว่าการที่คน ๆนั้นไปปรากฏตัวที่ออฟฟิศของพ่อเขามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ คน ๆนั้นตั้งใจจะไปหาพ่อของเขา ด้วยเหตุผลเพราะต้องการที่จะ เอาคืน!!!
ท็อปพยายามหาทางติดต่อคน ๆ นั้นให้ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถค้นเจอคนๆ นั้นได้ เมื่อนึกอะไรไม่ออก เพื่อน ๆ กลุ่ม ‘แก๊งเปรต ศ.ต.อ. รุ่น 64’จึงเป็นความหวังสุดท้ายของเขา ท็อปจึงส่งข้อความเข้ากลุ่มไลน์เพื่อถามเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ของเขา
ท็อป: พวกมึงยังจำ เจษฎา กันได้ไหมวะ
ซัน: เจษฎาไหนวะ
เติร์ก: ไอ้ซัน ยังไม่แก่เลยมึงนี่ความจำเลอะเลือนแล้วเหรอวะก็เจษฎาที่มันเป็นคู่แข่งสอบชิงทุนไปเรียนที่อังกฤษกับไอ้ท็อปไง
ท็อป: เออ ใช่ ๆ พวกมึงมีใครมีที่ติดต่อมันได้บ้างไหมวะ
เติร์ก: พวกกูจะไปมีที่ติดต่อมันได้อย่างไร เพื่อนก็ไม่ใช่แถมอยู่กันคนละโรงเรียนอีก ขนาดเพื่อนเรียนห้องเดียวกันตอนนี้กูยังไม่มีที่ติดต่อไม่ถึงสิบคนเลย
ซัน: แต่กูมีนะ ถ้ามันคือเจษฎาเดียวกันกับที่มึงบอกกูมีไลน์มัน ขอกูหาก่อน
ซันหายไปพักใหญ่ ๆ ก่อนจะส่งไลน์ของทีฆายุลงมาในไลน์กลุ่ม
เติร์ก: อ้าว ทำไมมึงมีไลน์มันได้วะ
ซัน: เออ นั่นน่ะสิ กูก็ลืม ๆ แล้วว่าทำไมกูมีไลน์มัน อ้อใช่ ๆ มันตามพ่อมันมาส่งน้ำแข็งที่ร้านพ่อกู กูก็เอาไลน์มันไว้สั่งน้ำแข็งนั่นแหล่ะไม่รู้มันเอาเงินมาจากไหน ถึงได้ถอยรถส่งน้ำแข็งออกมาได้
ท็อปรู้ดีว่าเงินนั้นมาจากไหน
ซัน: ว่าแต่ใช่เจษฎาเดียวกับที่มึงถามไหม ชื่อไลน์มันก็ใช้ชื่อเล่นกูเลยไม่แน่ใจ
ท็อป: ใช่ ๆ ขอบใจมากไอ้ซัน
ซัน: มึงจะติดต่ออะไรมันวะไอ้ท็อป เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว
ท็อป: ไว้กูจะเล่าให้ฟัง แต่กูขอเคลียร์เรื่องนี้กับมันก่อน
ขณะที่ทีฆายุกำลังเดินทางกลับไปทำงานด้วยรถไฟฟ้าอยู่ ๆ ก็มีแจ้งเตือนจากไลน์ขึ้นมาว่ามีข้อความใหม่ส่งมาถึงเขาเด็กหนุ่มกดเข้าไปดู พบว่ามันถูกส่งมาจากไลน์ของเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยติดต่อกันมาก่อนแต่แค่เห็นชื่อไลน์และรูปโปรไฟล์ เขาก็จำได้ดีว่าคน ๆ นั้นคือใคร
‘มาเร็วดีนี่’ เด็กหนุ่มนึกอยู่ในใจเขากดเข้าไปอ่านข้อความในไลน์นั้นทันที
ท็อป: สวัสดี เรา พีรวัส ไม่รู้ว่านายจำเราได้หรือเปล่า
เด็กหนุ่มอ่านข้อความจบลง เขาแสยะยิ้มน้อย ๆในใจคิดว่า
‘ผู้เล่นครบแล้ว เริ่มเกมได้แล้วสินะ’
ทีฆายุไม่รอช้า เขาตอบกลับข้อความอีกฝ่ายไปทันที
---------------------------------
|