แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย jokecup เมื่อ 2023-11-4 01:23
ขุนศึกเชลยทาส บทที่ ๑๓
ที่ประตูเมืองนายชายหนุ่มที่เดินทางมาจากเมืองแมนกำลังรอคอยการตอบรับจากคนของเมืองนายอยู่ ไอ้เพชรตอนนี้นั่งก้นระบมอยู่บนหลังม้ามีไอ้ทิ้งยืนถือสายจูงม้าอยู่เคียงข้าง ห่างออกไปเล็กน้อยทาสเรืองที่ตอนนี้กลับมาแต่งชุดขุนศึกเต็มยศยืนอยู่โดยมีนายดำถือสายจูงที่มัดติดกับมือของเขา สายตาของพวกเขาทั้งหมดกำลังมองตรงไปที่นายทหารของเมืองนายกำลังควบม้ามาหาพวกเขา
“ยินดีต้อนรับคนจากเมืองแมนข้าคือขุนศรียศ รับตำแหน่งนายทหารผู้นำทัพคนใหม่ของเมืองนาย”
ขุนศึกหนุ่มเอ่ยแนะนำตัวกับไอ้เพชรเนื่องจากเห็นว่าเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่บนหลังม้า น่าจะเป็นคนที่คอยคุมการเดินทางในครั้งนี้แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คำตอบจากไอ้เพชร สายตาของขุนศึกหนุ่มหุ่นกำยำก็หันไปสบกับสายตาที่จ้องมองมาของทาสเรืองที่ยืนอยู่เบื้องล่าง
“ไอ้นี่ล่ะสิคือขุนศึกเชลยทาส ได้ยินกิตติศัพท์ความเก่งกาจของมันมานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้ประลองฝีมือกันสักที ไม่นึกเลยวันนี้ชะตาชีวิตของมึงจะตกต่ำน่าอดสูต้องกลายมาเป็นทาสของเมืองกู”
ขุนศรียศหันมาพูดกับขุนเรืองไกรที่ตอนนี้กลายเป็นทาสเรืองแล้ว
“เชิญท่านนำตัวไอ้เชลยทาสตามข้าเข้าเมืองมาได้เลย”
ว่าแล้วขุนศึกหนุ่มก็ควบม้านำหน้ากลุ่มของไอ้เพชรตรงไปยังทางเข้าประตูเมืองตอนนี้ทาสเรืองยืนมองประตูเมืองที่อยู่ไม่ไกลนั่นหมายความว่าชีวิตของเขากำลังจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เขาเดินตามแรงกระตุกจากเชือกที่ถูกลากจูงโดยนายดำ เดินตามอยู่ท้ายขบวนการเดินทางเมื่อทั้งหมดเดินมาถึงประตูเมือง ขุนศรียศก็หันมาสั่งกับทาสเรือง
“ไอ้ทาสเชลยเมื่อเข้าสู่ประตูเมืองนี้ มึงจักกลายเป็นเชลยของเมืองนายอย่างสมบูรณ์แบบต่อจากนี้มึงต้องรับคำสั่งจากคนของเมืองนายเท่านั้น เพราะฉะนั้นตอนนี้กูขอสั่งให้มึงปลดเชือกที่มือของตัวเองมึงออก แล้วเดินมาหากูที่นี่”
เมื่อทาสเรืองไม่เห็นการโต้ตอบใด ๆ จากไอ้เพชร จึงเป็นสัญญาณว่าไอ้เพชรได้ทำหน้าที่ของมันจบลงโดยสมบูรณ์แล้วเขาจึงตัดสินใจทำตามคำสั่งของขุนศรียศ เขายกมือที่ถูกมัดด้วยเชือกขึ้นมาแล้วใช้ปากในกัดเพื่อคลายปมเชือก ขุนศึกหนุ่มดูมีความชำนิชำนาญในการทำมาก ทำให้ไม่นานเชือกนั้นก็หลุดออกจากมือเขาทาสเรืองเป็นอิสระจากการจองจำของเมืองแมนและเดินเข้าสู่การถูกจองจำโดยเมืองนายอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
"ต่อไปนี้กูขอสั่งให้มึงคลานสี่ขาเดินตามกูมา”
ขุนศรียศพูดจบทาสเรืองก็ทรุดตัวลงไปนั่งหมอบในท่าคลานสี่ขา แล้วออกเดินตามนายทหารม้าไปโดยมีไอ้เพชร ไอ้ทิ้ง และนายดำยืนมองตามไม่นานชายหนุ่มจากเมืองแมนทั้งสามก็ถูกนำตัวไปแยกไปยังที่พักรอระหว่างการดำเนินการกับทาสเชลยทันทีที่ทาสเรืองคลานผ่านประตูเมืองเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจนทำให้อดีตขุนศึกหนุ่มที่ก้มหน้าก้มตาคลานสี่ขาต้องเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเขาก็เห็นว่าสองข้างทางเดินเพื่อไปสู่เวทีพิธีการนั้น เต็มไปด้วยกองทัพนายทหารของเมืองนายนับร้อยนับพันคนและแน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ต่างเคยออกรบต่อสู้กับทหารที่เขาเคยเป็นคนนำทัพมาแล้ว และคนพวกนี้ที่ต้องปราชัยพ่ายแพ้อย่างยับเยินมาทุกครั้ง
หากแต่ความรู้สึกของพวกมันในครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อน ๆ พวกมันต่างรู้สึกฮึกเหิมเหมือนได้รับชัยชนะ เมื่อได้เห็นอดีตขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ผู้นำทัพที่นำพามาซึ่งความพ่ายแพ้ของพวกมัน ต้องยอมก้มหัว คลานสี่ขา มีสภาพไม่ต่างจากหมาเข้าเมืองของพวกมันในฐานะเชลยทาสเสียงโห่ร้อง เยาะเย้ยถากถาง ดูหมิ่นเหยียดหยาม และหัวเราะขบขัน ดังเข้าหูอดีตขุนศึกผู้เกรียงไกรตลอดทางที่เขาต้องคลานเท้าไปตามทางเดิน
แล้วขุนศรียศก็สั่งม้าให้หยุดเดินแล้วก้าวลงจากหลังม้าแล้วก้าวขึ้นไปยังเวทีที่จัดทำขึ้นเพื่องานนี้โดยเฉพาะเขาเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ว่างที่จัดวางไว้ โดยที่เก้าอี้ข้าง ๆ นั้นมีชายหนุ่มสองคนนั่งรออยู่ก่อนแล้วเมื่อมีผู้นั่งเก้าอี้จนครบแล้ว ชายที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งจึงลุกขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้นำในกระบวนการรับตัวขุนศึกเชลยทาส
“สวัสดีพี่น้องกองทัพนายทหารจากเมืองนายทุกคนพวกเราเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง เกรียงไกร ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครใช่มั้ย”
เสียงนายทหารผู้นำเปล่งเสียงอันหนักแน่นปลุกใจทหารหาญผู้มารวมตัวกันเป็นพยานในพิธีการอันสำคัญนี้ทุกคนต่างพร้อมใจส่งเสียงดังตอบรับ
“ใช่เราคือกองกำลังที่ยิ่งใหญ่”
“เราไม่เคยพ่ายแพ้ใครในการออกรบแต่เพื่อนทหารที่รักของข้าทุกคนพวกเราต่างรู้ดีว่าเราไม่เคยเอาชนะกองทหารจากเมืองแมนได้เลยสักครั้ง ซึ่งหากการพ่ายแพ้นั้นมันเกิดจากความอ่อนแอหรือฝีมือที่ไม่อาจเทียบชั้นกับนายทหารจากเมืองแมนได้นั้นพวกเราก็จักยอมรับแต่โดยดี”
เสียงทหารที่ฮึกเหิมนั้นดูจะเงียบเบาลงไปทันทีเมื่อผู้นำกล่าวถึงประโยคนี้
“หากแต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นการพ่ายแพ้ของพวกเรามันไม่ได้เกิดจากสิ่งที่ข้าได้เพิ่งกล่าวไปพวกเราพี่น้องนายทหารหาญของเมืองนาย วันนี้พวกเจ้าจะได้รับรู้ความจริง และจะได้ปลดเปลื้องความรู้สึกเศร้าเสียใจที่มีต่อความพ่ายแพ้ในการรบกับเมืองแมนในครั้งที่ผ่านๆ มา ข้าขอเบิกตัวไอ้หนอนบ่อนไส้ ลากมันขึ้นมาบนเวทีนี้ที”
นายทหารของเมืองนายลากชายหนุ่มสามคนขึ้นมาบนเวทีพวกมันทั้งสามแต่งกายในชุดเสื้อผ้าเดียวกันกับทหารคนอื่น ๆ ของเมืองนาย
“ไอ้มั่น ไอ้ขวัญ ไอ้เดช สามนายทหารที่ถูกจับได้ว่าเป็นไส้ศึกให้กับเมืองแมน พวกมันเป็นคนวางยาในแม่น้ำสายหลักที่พวกเราต้องดื่มต้องใช้ตอนที่ออกรบใช้คุณไสยเล่นงานเราในทางลับ ซึ่งทั้งหมดนี้กระทำผ่านการซื้อคนของเราโดยทหารเมืองแมน”
เสียงโห่ร้องของนายหารดังกึกก้องขึ้นด้วยความไม่พอใจแต่อยู่ ๆ เสียงนั้นก็ถูกขัดจังหวะโดยเสียงชายคนหนึ่ง
“เดี๋ยวก่อน”
ทาสเรืองเอ่ยปากประโยคแรกหลังทนฟังมานานเขาลุกขึ้นเปลี่ยนจากท่าหมอบคลานมายืนตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผยแผ่บารมีที่น่าเกรงขามต่อบรรดานายทหารฝ่ายตรงข้าม
“ข้าขุนเรืองไกรผู้นำทัพเมืองแมนเข้าต่อสู้กับกองกำลังจากเมืองนายได้ฟังที่เจ้าพูดออกมาโดยการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อยข้าขอยืนยันว่าการรบที่นายทหารจากเมืองแมนได้รับชัยชนะนั้นได้กระทำอย่างขาวสะอาดบริสุทธิ์ทุกประการ เพราะฉะนั้นข้าจักยอมให้เจ้า ที่เป็นแค่นายทหารอ่อนหัดที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาพูดกล่าวหากองกำลังของข้าไม่ได้”
“โอหังนักไอ้ทาสเชลย”
เสียงของขุนศรียศแข็งกร้าวขึ้น เขาลุกขึ้นจากที่นั่งมายืนชี้หน้าอดีตขุนศึกหนุ่มด้วยความรู้สึกที่กำลังคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“มึงลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าตัวมึงตอนนี้ยืนอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร”
“ขุนศรียศท่านจะเล่นเล่ห์เพื่อให้ข้าต้องยอมมาเป็นทาสของพวกท่าน ข้านั้นไม่หวั่นไหว แต่การโยนความผิดมาให้กองกำลังของข้าว่าเล่นตุกติกจึงทำให้กองทหารของท่านต้องได้รับความพ่ายแพ้นั้น ข้าไม่อาจยอมรับได้”
“แม้จะมีหลักฐานสำคัญอย่างนั้นรึ”
สีหน้าและน้ำเสียงของขุนศรียศเจือด้วยความเจ้าเล่ห์
“ไอ้มั่น ไอ้ขวัญ ไอ้เดชพวกมึงมีโอกาสที่จะทำความดีเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว เพียงแต่พวกมึงต้องลุกไปชี้หน้าไอ้คนที่เป็นตัวการสั่งการให้พวกมึงเอายาไปแพร่ในน้ำดื่มและเอาคุณไสยไปใส่ไว้ในค่ายทหารของพวกเรา”
นายทหารทั้งสามนั้นต่างค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงเวทีเดินผ่านขุนเรืองไกรตรงไปยังที่พักของกลุ่มผู้เดินทางจากเมืองแมน แล้วจัดการชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของนายดำอย่างพร้อมเพรียงกัน
ขุนเรื่องไกรตกตะลึงเพราะไม่คาดคิดว่านายทหารคนสนิทจะกระทำการอย่างนี้ได้ นายดำพอโดนเปิดโปงพฤติกรรมชั่วร้ายมันก็รีบลงนั่งคุกเข้าแล้วเปล่งคำขอโทษออกมาอย่างไม่สิ้นสุด อดีตขุนศึกหนุ่มโมโหหน้าแดงทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าวสารภาพของลูกน้องคนสนิทพูดเขาปรี่ตรงไปที่ตัวนายดำแล้วง้างหมัดหมายจะชกใบหน้าแต่เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ทุกคนหันไปมองตามเสียงแล้วจึงเห็นชายหนุ่มอีกคนบนเวทีที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ลุกยืนขึ้นมาชายคนนี้ดูร่างบอบบางกว่าทุกคนจนอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นชายชาตินักรบเหมือนคนอื่น ๆ ได้อย่างไร หากแต่เมื่อเขาลุกขึ้นและเปล่งน้ำเสียงที่เด็ดขาดแข็งกร้าว พร้อมท่าทางที่เหมือนมีพลังแสนยานุภาพอะไรบางอย่างแผ่รัศมีออกมาทำให้ทุกคนต้องยอมสยบอยู่ในความเงียบตามคำสั่งนั้น
“ท่านขุนเรืองการที่ท่านยอมเดินทางมาที่เมืองนายนั้นไม่ใช่ว่าท่านยอมรับที่จะเป็นเชลยทาสแล้วอย่างนั้นหรือ” ชายคนดังกล่าวเอ่ยปากถาม
“ข้ายอมรับหากแต่การยอมรับนั้นมาจากการที่พวกท่านไปขอความช่วยเหลือจากเมืองสองโดยเอาเรื่องที่กล่าวเท็จนี้ไปแจ้งต่อเมืองสอง จนเมืองสองข่มขู่ว่าจะเข้าโจมตีเมืองของพวกเราจนทำให้ชาวเมืองหวาดกลัวกันไปหมด และทำให้ข้าต้องยอมเสียสละตนมาเป็นเชลยเพื่อไม่ให้ชาวเมืองของข้าต้องลำบาก”
“แต่ขุนเรืองเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกกุขึ้นนะ เพราะหลวงหาญเองก็รู้เรื่องนี้และยอมรับกับเหนือหัวเมืองสองว่ามีการเล่นตุกติกเกิดขึ้นจริง ตอนนั้นข้าก็อยู่ด้วยเพราะฉะนั้นท่านในฐานะแม่ทัพนายกอง จะปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างไรได้”
ขุนศึกหนุ่มมองไปทางนายดำที่คุกเข่าลงทำหน้าแสดงความสำนึกผิดเสียใจก่อนจะหันไปหาไอ้เพชรและไอ้ทิ้งที่แสดงท่าทีหวาดกลัวก่อนจะมองนายทหารของเมืองศัตรูที่จ้องเขาด้วยแววตาอาฆาตมาตรร้ายเขารู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเลือก และต้องพร้อมยอมรับชะตากรรมของการเป็นทาส เพื่อให้คนในชาติครอบครัว และคนที่เขารักอยู่รอดปลอดภัย
“ได้ชีวิตข้าชีวิตเดียว แลกกับคนทั้งชาติ ข้าไม่เสียดายอำนาจอยู่ในมือพวกเจ้าที่จะเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์แล้วนี่ เชิญได้เลย”
|