แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย DomQwQ เมื่อ 2024-6-16 20:17
บทที่เก้า หลังจากที่พลอยตื่นแล้ว สาวงามก็ตั้งสติ ตั้งใจจะอาบน้ำแปรงฟันทำธุระให้เสร็จสรรพ หากแต่กุลสตรีที่ถูกเลี้ยงดูดั่งไข่ในหินก็ต้องหลับตาปี๋เมื่อตนราดน้ำเย็นเฉียบราดตัว แม้ตัวเองจะตื่นเต้นแปลกๆที่ได้อาบน้ำเหมือนอย่างละครย้อนยุคที่ตนเคยดูก็ตาม
ชีวิตสุดแสนธรรมดาของคนอื่น...สำหรับลูกคุณหนูอย่างเธอแล้วมันช่างเกินจริงเสียจนแทบจะเรียกว่านิยายเลยก็ว่าได้ เมื่อหญิงสาวเดินมายังอาคารหลักแล้ว ตนก็เจอรุ้งกำลังนั่งยองๆ ใช้กิ่งไม่เขี่ยพื้นไปมาอยู่ วัยรุ่นหน้าทะเล้นในวันนี้ดูหงอยเหงารุ้งใส่เสื้อยืดสีฟ้ามีภาพอนิเมะญี่ปุ่นเรื่องดังกับกางเกงขาสั้น ดูผ่านๆแล้วพลอยคิดว่ารุ้งน่ายังไม่ถึงสิบหกเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมรุ้งถึงไม่ไปโรงเรียน พลอยก็ไม่กล้าถาม... หล่อนเองก็คงไม่กล้าย่างเข้าบ้านตัวเองด้วยซ้ำหลังจากสิ่งที่ตนเจอเมื่อคืน
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะรุ้ง” สาวงามทักทายเด็กหนุ่มตามลักษณะคนอัธยาศัยดี “ครับ...” รุ้งพูดทักทายหน้าเก้อก่อนจะกลับไปก้มหน้าเขี่ยพื้นต่อด้วยท่าทางจ๋อยๆ “เป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะรุ้ง?” สาวงามถามเด็กหนุ่มแต่ก็โดนขัดเสียก่อน “ไม่ต้องไปสนใจไอ้เด็กนั่นหรอก” เสียงเรียบตัดคำของพลอย หนุ่มผมยาวเดินออกมาจากอาคารใหญ่ ผมยาวของเปรมรวบมัดอาจเพื่อการทำอาหารให้สะดวกขึ้น เปรมใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูแจ๋วลายดอกไม้น่ารักซ่อนเสื้อเชิ้ตลายเส้นขาวดำกับกางเกงสแล็ค หากแต่สายตาของคนใส่กลับมองเด็กหนุ่มเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าพายุหิมะ
“เตรียมอาหารไว้ให้แล้ว เธอมีแพ้อะไรรึเปล่า?” เปรมหันมาถามหล่อน “ไม่มีค่ะ” สาวร่างบางตอบกลับ เปรมที่ได้ยินก็พยักหน้าก่อนจะหันไปมอง ไอ้เด็กเวร “.....” เมื่อทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบงันอันหนักอึ้งสาวงามจึงขอปลีกตัวออกมาก่อน หลังจากเดินออกไปแล้วพลอยก็ได้ยินเสียงแว่วๆจากเปรม “มีอะไรจะพูดมั้ย?” หนุ่มร่างบางกอดอก “...รุ้งขอโทษ” เด็กหนุ่มตอบกลับ
“อ่าว หวัดดีน้องพลอย เป็นยังไงบ้างนอนสบายดีมั้ย?” หนุ่มร่างท้วมผมหยิกฟูฝอยยิ้มทักทาย พี่ด้ากำลังนั่งกินข้าวอยู่ในมือข้างหนึ่งมีช้อน อีกข้างมีโทรศัพท์เลื่อนดู หนุ่มร่างท้วมยังคงสวมเสื้อเชิ้ตฮาวายลายดอกไม้ทับเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นเหมือนเดิม แต่ต่างจากเมื่อคืนที่สีชมพูปนเหลือง วันนี้พี่ด้าสวมเสื้อสีเขียวทะเลปนฟ้าดูสดชื่นแทน รอยยิ้มของหนุ่มอารมณ์ดีทักทาย ความอบอุ่นแผ่มาทำให้พลอยเกือบคิดว่าพี่คนนี้ดูน่ารักตุ้ยนุ้ยใช้ได้
เกือบนะ..
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พลอยนอนหลับสบายดีค่ะ” สาวงามยิ้มรับก่อนจะลงนั่งลงโต๊ะอาหาร ไม่ทันได้สังเกตหนุ่มร่างท้วมที่คิ้วกระตุก... แกงจืด ผัดคะน้าหมูกรอบ กับแกงมัสมั่นที่อยู่บนโต๊ะส่งกลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่งนัก
สาวร่างบางกวาดตา นอกจากเธอและพี่ด้าแล้วเธอก็ไม่เห็นคนอื่นอีก “คนอื่นๆล่ะคะ?” สาวงามเอียงคอถาม “เปรมคงไปอาบน้ำก่อนน่ะ รุ้งคง.. เอ่อ..ช่วยเปรม ส่วนกล้ากับไอ้... อะแฮ่ม... อาแสน เข้าไปในเมืองซื้อของกันก่อนสองคน” พี่ด้าเกือบเผลอเรียกอาแสนว่า ไอ้อย่างนั้นหรือ? ไม่สิ พลอยคงคิดไปเอง สาวงามมัวแต่คิดเรื่องนั้นจนไม่ทันได้สังเกตว่ารุ้งจะไปช่วยเปรมอย่างไร “เอะ เข้าไปในเมือง...แต่ว่าในเมืองมีผู้ติดเชื้ออยู่ไม่ใช่หรือคะ?” “ถ้ากลางวันแสกๆพวกผู้ติดเชื้อไม่ค่อยก่อเรื่องหรอก อีกอย่างมีกล้าด้วย พลอยไม่ต้องห่วง” หนุ่มร่างท้วมยิ้มตอบ พลอยได้ยินก็ก้มลง “...” “...” หนุ่มอ้วนเห็นบรรยากาศเงียบงันไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่ยกน้ำจิบ “...ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจหรือนักข่าวล่ะคะ? กลุ่มคนที่แพร่เชื้อแบบนี้อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าพวกซอมบี้ในซีรี่ส์ ล็อคหิ้งเค้ก เสียอีก” พรุด พี่ด้าพุ่งน้ำในปากจนน้ำในแก้วกระเซ็น พลอยเห็นภาพตรงหน้าก็แอบกระเถิบหลบเล็กน้อย
“เอ่อ.. พี่ด้าเป็นอะไรรึเปล่าคะ?” สาวงามถามพลางยืนยื่นทิชชู่ให้หนุ่มร่างท้วม “อ.. อืม ไม่เป็นไร ขอบใจนะ..” พี่ด้ารับเอากระดาษทิชชู่เช็ดหน้า “ส่วนเรื่องทำไมเราถึงไม่แจ้งตำรวจหรือนักข่าว... พวกผู้ติดเชื้อน่ะควบคุมส่วนนั้นเกือบหมดแล้วล่ะ” พี่ด้าพูดเสียงเข้ม กำกระดาษทิชชู่ในมือแน่น “พวกตำรวจบางส่วนอาจจะไม่ได้ติดเชื้อแต่พวกตำแหน่งสูงๆที่ไม่ต้องออกจากเมืองน่ะ... พวกมันหมดเลย” หนุ่มร่างท้วมก้มมองข้าวในจานในหัวมีความกังวลนับล้าน
“พวกนักข่าวก็เหมือนกัน ไม่สิ...แทบทุกอย่างในเมืองนี้อยู่ในการควบคุมของพวกผู้ติดเชื้อหมดแล้วล่ะ ตั้งแต่แรกเลยมั้ง?” “นั่น... แย่มากเลยไม่ใช่หรอคะ? แต่ถ้าควบคุมได้ขนาดนี้ทำไมถึงไม่... แพร่เชื้อให้ทุกคนให้หมดเลยล่ะคะ?” “ไม่รู้สิ อาจเพราะมันจะทำให้ซ่อนผู้ติดเชื้อง่ายขึ้นรึเปล่าก็ไม่รู้ หรือเพราะยังต้องการคนออกนอกเมืองอยู่ก็เป็นได้” พี่ด้าขมวดคิ้ว “แต่ข้างนอกเมืองก็ไม่ได้... จะไม่แปลกเหมือนกัน” พลอยกลืนน้ำลาย โลกที่ตนเคยรู้จักทั้งชีวิตในตอนนี้เหมือนเป็นเพียงแค่ภาพมายา
พลอยถามออกมาด้วยความกลัว “...แปลก.. หรือคะ?” “รู้ใช่มั้ยว่าเมืองนี้อยู่ในไทย?”พี่ด้าเคาะนิ้วกับพื้นโต๊ะ คำถามนี้ทำพลอยฉงน “...ค่ะ” “ชื่อเมืองนี้ชื่ออะไร?” หนุ่มร่างท้วมสบตาตนคมกริบ เหมือนต่อหน้าชายคนนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถซ่อนเร้นพูดปดได้ “....” พลอยอ้าปากจะพูดแต่ทันใดนั้นก็รู้ว่าพี่ด้าหมายความว่ายังไง
เมืองที่พลอยอาศัยอยู่ทั้งชีวิต เมืองที่ตนก็เขียนที่อยู่ส่งของ คำเพียงไม่กี่พยางค์ง่ายๆที่ตนพูดได้ไวกว่าพูดชื่อจริงของกรุงเทพ...
ไม่มีคำใดโผล่เข้ามาในหัวเลย
สาวร่างบางขมวดคิ้ว มือล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงยีนส์ นิ้วเรียวสวยหยิบเอากระเป๋าตังค์ของตนออกมา เมื่อพลอยหยิบบัตรประชาชนออกมาก็เม้มปาก บัตรประชาชนที่ตนเก็บไว้เป็นอย่างดีมีเพียงส่วนเดียวที่ดูเหมือนสีลอกจนอ่านไม่ได้...
พี่ด้าพูดต่อ “เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นเพราะพลังพิเศษบางอย่างที่ทรงพลังถึงขั้น... เปลี่ยนความแปลงเป็นจริง” พี่ด้าหลับตาถอนหายใจ “ไม่มีใครเลยที่...สังเกตว่าเมืองนี้มันแปลกแค่ไหน ยกเว้นถ้าพี่ถาม...” “และเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่มีทุกอย่าง ทุกๆอย่างจริงๆ จนบางทีพี่ก็รู้สึกว่าเมืองนี้มัน... เพียบพร้อมไปหมด... เหมือนกับมันเป็น...” “กรงขัง” เสียงสากต่ำพูดข้างหลังพลอยทำให้หล่อนต้องหันไปดู
ไผ่ หนุ่มเข้มหน้านิ่งรุ่นราวคราวเดียวกับตนเดินมาพร้อมกับจานข้าวในมือ ตุ้มหูข้างเดียวของชายเสียงแหบส่งแสงสะท้อนวาบยามรุ่งอรุณ ไผ่ในวันนี้สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำทับเสื้อสีแดงดูดุดัน “ไม่ใช่กรงขังเสียหน่อย แต่เหมือน...ล่อไม่ให้ออกมากกว่า” หนุ่มท้วมแย้ง “...เหมือนกัน” หนุ่มเข้มส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะหันไปมองหญิงสาวคนเดียวที่นั่งอยู่อย่างสุภาพเรียบร้อย “กินแล้ว?” สาวงามได้ยินไผ่ถามก็กะพริบตาปริบๆ โต๊ะกินข้าวมีเพียงหญิงสาวคนเดียวที่นั่งโดยไม่มีจานข้าวตรงหน้า “เอ่อ... อ๋อ ยังไม่ได้กินค่ะ!” สาวงามตอบก่อนจะพรวดลุกขึ้น การเป็นลูกคุณหนูทำให้หล่อนนั่งรอจานอาหารจนเคยชิน
“ว่าแต่ ทุกคนเป็นผู้มีพลังพิเศษกันหมดเลยหรือคะ?” พลอยถามหนุ่มท้วมด้วยความสงสัย พี่ด้าส่ายหน้า “พี่ไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษนะ” ไผ่ที่ได้ยินก็กรอกตา “ไม่จริง..สักหน่อย...” เสียงอันแห้งสากแฝงด้วยความเบื่อหน่าย หนุ่มร่างท้วมได้ยินก็ยิ้มแห้ง “...แต่พี่ก็ไม่ต่างไปจากคนปกติสักหน่อย...” หนุ่มเข้มพ่นลมหายใจเหมือนจะเริ่มรำคาญที่ได้ยินข้ออ้างเดิมๆ “หมายความว่ายังไงหรือคะ?” สาวงามถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ...พี่จำชีวิตชาติก่อนได้หน่ะ..” หนุ่มร่างท้วมพูดพลางเกาหน้าแกรกๆเหมือนอาย “มันแทบจะไม่มีประโยชน์เลยด้วยซ้ำ แค่ความทรงจำน่ะ แตกต่างแค่... อืม... เป็นโลกคู่ขนานละมั้ง?” “คะ?” “มันคือโลกปัจจุบันแบบนี้นี่แหล่ะ แต่ไม่ได้มีพลังอะไรเหนือมนุษย์แบบนี้” พี่ด้ายิ้ม “ชื่อประเทศอะไรๆก็เหมือนเดิม แต่เหมือนเพราะมันไม่มีพลังพิเศษ เลยดูแล้วยังมีจุดที่แตกต่างอยู่หน่อยๆอ่ะนะ...” พี่ด้ายิ้มแห้งๆ
“แต่ก็นั่นแหล่ะ นอกเหนือจากความทรงจำชาติก่อน พี่ก็แค่คนธรรมดาคนนึง” พลอยได้แต่มองหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ โลกคู่ขนานมีจริงอย่างนั้นหรือเนี่ย!? “พูดเรื่องพี่มากไปเดี๋ยวจะเบื่อเอาเสียเปล่า เล่าเรื่องพลังไผ่ดีกว่า” ไผ่ที่นั่งเท้าคางอยู่ก็เบือนหน้า หนุ่มร่างท้วมแอบมองไผ่สายตาพี่ด้าแฝงด้วยอารมณ์หลากหลาย
“ไผ่.. สามารถควบคุมเสียงได้น่ะ” “อย่างเมื่อคืนที่พวกผู้ติดเชื้อเค้ากุมหูกันหรอคะ?” “ใช่แล้วล่ะ! ไผ่สามารถสร้างเสียงความถี่ที่สูงมากได้ และพวกผู้ติดเชื้อก็ดันประสาทหูดีเสียด้วย” “ถ้าไม่มีไผ่นี่พวกพี่อาจจะไม่สามารถช่วยพลอยได้เลยล่ะ ไผ่นี่โคตรคูลเลยใช่มั้ยล่า” หนุ่มผมทองที่ยามปกติดูดุดันก็เบือนหน้าเสียยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่อาจซ่อนแก้มแดงฉานจากสายตาของพลอยได้
สาวงามยิ้มบาง “นั่นน่ะสิคะ ถ้าไม่ได้ไผ่สุดจ้าบมาช่วยนี่พลอยคงแย่แน่เลย” หนุ่มท้วมยิ้มแสยะ “ยิ่งตอนที่พี่เห็นไผ่วิ่งพาพลอยมานะ โอ้โห อย่างกับอัศวินขี่ม้าขาวเลยล่ะ คนอะไรหล่อเฟี้ยวขนาดนี้” สองคนคุยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ปล่อยคำชมที่ชักจะเว่อร์วังอลังการมากขึ้นเรื่อยๆ หนุ่มหัวทองฟุบทาบโต๊ะส่งเสียงสากแห้งของตนออกมา “...พอแล้ว...”
สองจอมมารหัวเราะคิกคักก่อนที่พี่ด้าจะกระแอมตั้งสติ “เข้าเรื่องๆ อืม... เอาที่สำคัญที่สุดละกัน” หนุ่มร่างท้วมสบตาสาวร่างบางเขม่ง “จุดมุ่งหมายของพวกเราก็คือการต่อกรกับ ...มัน...” สาวงามคิ้วขมวด “...พี่หมายถึง... ความคิดส่วนกลางของผู้ติดเชื้อใช่มั้ยคะ?” พี่ด้าพยักหน้า
“จากการสืบเบาะแสต่างๆแล้ว พวกเราพบว่าพวกผู้ติดเชื้อจะกระจุกอยู่ในบริเวณบางแห่งมากเป็นพิเศษ...” พลอยฟังอย่างตั้งใจ “เท่าที่เราพบก็มีอยู่สามจุด” หนุ่มท้วมชี้ไปที่ผนังฝั่งนึงของอาคาร กระดานไม้ก๊อกแขวนขนาดใหญ่มีแผนที่ของเมืองอยู่ มีรอยหมึกของมาร์คเกอร์สีแดงวงสามจุดใหญ่พร้อมภาพถ่ายทั้งสามที่ที่โดนหมุกปักไว้
“มหาลัยของน้องพลอย...” “บริเวณหมู่บ้านขอบเมือง..” “และนี่...” พี่ด้าลุกขึ้นมาก่อนจะเดินไปยังแผนที่ใหญ่นิ้วเคาะจุดพาณิชย์ใจกลางเมือง
“เจ้าของบริษัทการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ ผู้ครอบครองตึกไพฑูรย์เทวา...” ไม่ว่าใครก็ตามถ้าหากอาศัยอยู่ในเมืองนี้แล้วย่อมต้องรู้จักตึกนี้
สถาปัตยกรรมสูงเสียดฟ้า รอบนอกประดับเพียงกระจกสีเขียวเข้ม ต่างจากสิ่งปลูกสร้างข้างเคียง ตึกนี้มีฐานเป็นวงกลม และนอกจากนี้ มุมกระจกที่ตัดกันยิ่งทำให้ดูเหมือนตึกนี้เป็นดั่งหอคอยอัญมณีที่ผ่านการเจียระไน
บริเวณชั้นสูงๆขึ้นไป มีการสร้างทางเดินลาดยาวโค้งรอบนอกตึก ทำให้เป็นอีกเส้นทางเพื่อขึ้นไปยังชั้นต่อไปได้ ต้นไม้ที่ถูกนำขึ้นไปปลูกประดับบนทางเดิน คอยช่วยรับแสงอาทิตย์และสร้างบรรยากาศร่มรื่น
ตึกที่แม้แต่พ่อของเธอก็ไม่อาจได้รับคำเชิญขึ้นไปเหยียบได้ง่ายๆ “คนที่พวกเราสงสัยว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกผู้ติดเชื้อ” “เจ้าของธุรกิจร้อยล้านที่เก็บตัวมิดชิด มีข่าวลือว่าคนคนนี้เกี่ยวข้องกับพวกทำงานผิดกฎหมาย บ้างว่าเป็นคนที่ไร้เมตตาถึงขั้นทำให้ลูกน้องทำงานจนสลบทรุดเลยทีเดียว” พี่ด้าหันมาจ้องตาพลอย หวังให้หล่อนซึมซับว่าคนที่พูดถึงนั้นน่ากลัวขนาดไหน “พลอย.. ชายคนนี้คือเป้าหมายของเรา เขาชื่อคุณกิจ”
ปิ้บๆๆๆ ปิ้บๆๆๆ
“อื้ม...” เสียงโทรศัพท์ตั้งนาฬิกาปลุกอันแสนน่ารำคาญดังขึ้น ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาจากนิทรา ผมกอดหลังแกร่งแน่น แอร์ที่ปล่อยไอเย็นยามเช้าอย่างร้ายกาจทำให้ผมเฟ้นหาความอบอุ่นที่แผ่มาจากตัวของพี่ชาย
ปิ้บๆๆๆ ปิ้บๆๆๆ
แม้ในใจอยากจะผล็อยหลับไปต่อแค่ไหน แต่เสียงแสบแก้วหูของโทรศัพท์ก็ยังคงดังต่อไปอย่างขยันขันแข็ง พูดถึงความแข็ง... ผมถูไถเอ็นแข็งกับก้นแน่นๆของพี่ชายที่เคยเข้าไปเมื่อคืน สูดดมหลังแกร่งของพี่ไกรทั้งเหงื่อและกลิ่นกามของพวกเรายังคงมีอยู่จางๆ แหงอยู่แล้ว เมื่อคืนเราเล่นจนสลบกันไปเลยนี่นา “โอย....” พี่ไกรที่เริ่มตื่นจากนิทราปล่อยโอดโอย “ตื่นแล้วหรือครับคนดี” ผมว่าพลางเอาขาพาดหนุ่มแกร่ง เอวผมยังคงกระเด้าถูไถก้นพี่ชายอยู่เบาๆ
ปิ้บๆๆๆ ปิ้บๆๆๆ “...ผมปวดเมื่อยทั้งตัวเลยครับกร...” หนุ่มเข้มร้องบอกอย่างน่าสงสาร หนุ่มเข้มเอื้อมไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงโอดโอย ผมเองได้ยินก็ยิ้ม “โทษทีครับ เมื่อคืนกรคงจะเล่นมากไปหน่อย” แต่มือซนของผมก็ยังกอดลูบไล้ร่างแกร่งแน่น กระบองอุ่นกระตุกดั่งต้องการเรียกร้องความสนใจจากพี่ชาย “ซนแต่เช้าเลยนะ” พี่ไกรหัวเราะ
ผมได้ยินก็ยิ้ม มือเลื่อนลงไปสัมผัสสิ่งที่ผมคืนให้พี่ไกร เป้าของพี่ชายที่เคยว่างเปล่าเพราะพลังของผม ณ ตอนนี้มีพยามังกรแกร่งเผยหัวสู้มือ หนุ่มเข้มที่โดนจับจุดลับก็ตัวเกร็ง ของที่พี่ไม่ได้รู้สึกมาเป็นอาทิตย์ ในยามนี้กลับร้อนเป็นไฟ ความเสียวที่ชายหนุ่มคิดถึง ในยามนี้จู่โจมเส้นประสาทจนพี่ไกรกัดริมฝีปากซี้ด ผมเข้ากระซิบข้างหูเบาๆ ลมเป่าทำเอาพี่ไกรขนลุกซู่ซ่า
“แต่ของพี่ก็ซนไม่น้อยหน้าเลยนะ” ว่าแล้วผมก็ลงจูบคอ มือชักเอ็นอุ่นของพี่ชายช้าๆ “อะ.. อื้อ...” หนุ่มแกร่งครางตัวบิด มือลูบหน้าอกตนเองก่อนจะเขี่ยเล่นหัวนมด้วยความกำหงัด เอวพี่ไกรโยกสวนสู้มือน้องตัวเองดั่งสัตว์ช่วงฤดูผสมพันธุ์ “เรา... วันนี้เราต้องรีบนะ..” พี่ไกรพูดออกมา ผมตอบรับ “รู้ครับคนดี... ถ้าอยากให้ไวๆก็ช่วยกรด้วยสิครับ” ผมกระเถิบตัวถอยให้หนุ่มเข้มนอนหงายหน้า พี่ไกรพยักหน้ารับก่อนจะเอื้อมมือจับเอ็นอุ่นของผม
สองพี่น้องในยามนี้ชักกระบองกามซึ่งกันและกันริมฝีปากประกบจูบอย่างรักใคร่ มือพี่ไกรชักอย่างไรผมก็ชักตามจังหวะ ความเสียวสนุกทำให้มือของสองพี่น้องเร่งระรัวขึ้นเรื่อยๆ “อื้อ.. ฮ่า... ฟู่ว...” พี่ไกรหายใจหอบ ผมเองก็ชักจะไม่ไหวแล้วเช่นกัน พวกเราจ้องตากันไม่กะพริบ น้ำหล่อลื่นที่กระจอกจากท่อนกามทำให้เสียงชักเปียกแฉะ หลังจากเกมกามเมื่อคืนแล้ว ผมกับพี่ไกรต่างก็รู้สึกผูกพันมากกว่าเดิม
สายตาที่จ้องมองผมดั่งเห็นส่วนที่เปราะบางที่สุดที่ผมเก็บไว้ในใจ “...พี่ไกรจะเป็นของผมใช่มั้ยครับ...” “ครับนายท่าน” “สัญญานะ?” “ครับ... ผมสัญญา” พี่ไกรเข้ามาจูบหน้าผากผมอย่างอ่อนโยน หัวใจของพวกเราฟูฟ่องด้วยความรัก และในที่สุดคนที่แพ้รอบนี้ก็คือผม
น้ำขาวข้นของผมพุ่งทะลักจนแปะหน้าตัวเอง “อ้า!!” ผมร้องออกมาด้วยความเสียว อาจจะมีบางส่วนที่ลงปากผมแต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ร่างของผมกระตุกเกร็ง พี่ไกรก็ชักรีดเค้นลูกๆของผมออกมาจนหมด “ฟู่ว... ฟู่ว...” ผมหอบเหนื่อยก่อนจะหันไปสนใจคนข้างกาย มือของผมชักเร่งต่อหวังให้พี่สำเร็จสุขคามือ ส่วนพี่ไกรก็กำลังลูบไล้กล้ามท้องและหน้าอกตนเอง พี่ไกรปล่อยเสียงครางหวานเสียวซี้ดพลางบิดหัวนมเล่น หนุ่มแกร่งกระเด้งเอวอย่างเมามันจนผมชักไม่ได้ จึงต้องกำแน่นให้พี่ชายสืบกามเองแทน
แต่สุดท้ายแล้วยกนี้ก็ต้องจบ นักมวยผู้ชนะเลิศแพ้ความเสียวจนต้องน็อคเอาท์ หนุ่มนักสู้คลั่งยกกระเด้งเอวท่าสวยจนคะแนนแตกกระจาย น้ำขาวขุ่นพุ่งออกมาปานน้ำพุฉีดเป็นทางพาดจากท้องยันอกแกร่ง ผมเองก็ชักพยามังกรของพี่ชายต่อไปหวังเค้นน้ำออกมาจนหมด พี่ไกรใช้นิ้วกวาดชีวสารของตนเข้าปากก่อนจะหันมาเลียหน้าผมที่เปื้อนน้ำกามจนชุ่ม ผมเองที่โดนเลียหน้าก็ขำคิกคัก “พี่ไกรทำตัวอย่างกับหมาเลยนะ” คำที่ถ้าหากพูดกับผู้อื่นคงจะทำให้ผู้ฟังโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก ในตอนนี้กลับทำให้พี่ไกรยิ้มร่า ส่ายก้นไปมาก่อนจะเห่าโฮ่งๆเล่นตาม เราจูบกันอย่างรักใคร่ก่อนลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำทำธุระแต่งตัวพร้อมกัน “เอ่อ...” “....” ผมกับพี่ไกรกำลังยืนขมวดคิ้วอยู่นอกบ้าน ...รถจักรยานยนต์ของพี่ไกรสตาร์ทไม่ติด มิหนำซ้ำพี่ยังทำกระเป๋าตังค์ตัวเองหายอีกต่างหาก... “มัน.. เอ่อแปลกจังเลยนะ พี่ก็เพิ่งใช้มันไม่นานนี้เอง..” “...เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะครับ... เราจะไปบริษัทพ่อได้ยังไง...” พี่ไกรเกาหัวแกรกๆมองรถของตนอย่างจนปัญญา “ก็คงต้อง-” “น้องๆจะไปไหนกันน่ะขึ้นรถพี่มั้ย?” เสียงสดใสร่าเริงทักข้างหลังเราทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง
พวกเราหันไปมองเห็นชายผิวกร้านแดด ยื่นหัวชโงกหน้ามาจากรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกลจากตัวบ้านของเรา หนุ่มแท็กซี่ตัดผมรองทรงยิ้มร่าแต่ผมไม่ยิ้มสนุกด้วย “ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเข้ามาทำไมครับ?” “ก.. กร!” พี่ไกรกระซิบเรียกผมแต่หนุ่มผิวกร้านแดดก็ยังคงยิ้มโชว์ฟันขาวเช่นเดิมก่อนจะว่าต่อ “แหม่ โทษทีน้อง พี่เพิ่งส่งคนแถวๆนี้แล้วกำลังจะหาที่กินข้าวน่ะ เห็นแถวนี้ต้นไม้ร่มเยอะดี” “อีกอย่างนึง..” หนุ่มผิวเข้มเอียงคอ รอยยิ้มที่ดูสดใสทะเล้นเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่ หนุ่มแท็กซี่หยิบกระเป๋าตังค์หนังที่ดูมีราคาออกมา กระเป๋าเงินที่ถูกประดิษฐ์ด้วยช่างฝีมือระดับโลก ไม่ผิดแน่ว่านี่คือกระเป๋าที่พ่อมอบให้เป็นของขวัญแก่พี่ไกรเมื่อพี่ไกรทำงานพิเศษร้านสะดวกซื้อตอนวัยรุ่น
“นี่ก็ดูแล้วราคาแพงอยู่นะ? เห็นมันตกอยู่ในรถพี่เมื่อวานหน่ะ” หนุ่มผิวเข้มแม้จะพูดเช่นนั้นแต่มือก็ส่ายกระเป๋าไปมาหาได้สนใจไม่ เขาอาจจะแค่คิดว่ามันคือกระเป๋าธรรมดาๆ แต่ราคาที่พ่อจ่ายกับของในมือหนุ่มคนนี้ น่าจะแพงเสียกว่ารถทั้งคันของเขาเสียอีก ...แต่พลังของผมสัมผัสว่าชายคนนี้อาจจะไม่สนใจเสียมากกว่า “เป็นของน้องคนนั้นใช่มั้ย? พี่จำได้ เมื่อวานน้องใช้บริการพี่นี่” พี่ไกรได้ยินก็ตัวสะดุ้งเหมือนน้ำร้อนลวก...
ผมกระเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์ “เป็นเหี้ยไร?” พี่ไกรหันมามองสีหน้าตกใจผมที่ถามพี่ไกรเสียงขุ่น “..ป.. เปล่าครับ” พี่ไกรหลบสายตา ความกังวลและความกลัวที่ปล่อยออกมายิ่งทำให้ผมอารมณ์เสียมากขึ้น “เห้ย น้องงงง สรุปจะติดรถพี่ไปป่าว? เวลาก็เป็นเงินเป็นทองนา...” หนุ่มแท็กซี่ยิ้มร่าแต่ในสายตาผมแล้ว มันเหมือนยิ้มเยาะเสียมากกว่า...
ปากผมจะปฏิเสธไปแต่พี่ไกรจูงมือผมเสียก่อน “เห้ย.. ไม่เอาหน่ากร ไหนๆก็มีรถแท็กซี่ส่งเราแล้ว นะครับ?” เพราะผมเห็นพี่ไกรแสดงสีหน้ากังวลผมจึงถอนหายใจ “ครับพี่...” ผมพยายามสงบสติอารมณ์ของตนเองก่อนจะเดินกระซิบพี่ไกร “มันไม่ใช่คนธรรมดา ระวังด้วย” พี่ไกรได้ยินก็หยุดชะงักหนึ่งก่อนเหลือบตามามองผม แต่สายตาของผมกำลังจ้องมองมัน แบบไม่ละสายตา
ความดำมืดข้นคลั่กที่ออกมาจากหนุ่มแท็กซี่ตรงหน้า ความอยากในกาม... ความหวงแหน... ความต้องการ... ความโกรธแค้น... ความรู้สึกดำมืดมากมายเกินกว่าที่จะเป็นของมนุษย์ปกติ...
ต่อให้เป็นคนชั่วช้าแค่ไหนความดำมืดก็เหมือนแค่ไอระเหยแผ่ออกมาเท่านั้น แต่นี่... มันเหมือนดั่งน้ำหมึกที่ทะลักเอ่อล้นออกมานอกกาย สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากคนตรงหน้าช่างสะอิดสะเอียนเสียจนน่าขนลุก...
“เอ้านี่!” หนุ่มผิวกร้านแดดโยนกระเป๋าเงินให้พี่ไกร “อ่า.. ครับขอบคุณครับพี่...” พี่ไกรพยักหน้า หนุ่มนักมวยเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ผมก็ขึ้นรถแท็กซี่มาก่อนแล้ว เห็นดังนั้น พี่ไกรจึงรีบขึ้นตามผมมา “ไปไหนน้อง?” หนุ่มผิวเข้มหันมาถาม พี่ไกรได้ยินก็เฉลือบมองผม แต่สายตาของผมยังคงจับจ้องมันอย่างต่อเนื่อง ผมไม่อยากพูดหรือทำอะไรทั้งนั้น...
แค่ต่อต้านความรู้สึกดำมืดที่รุนแรงขนาดนี้ ผมก็รู้สึกรำคาญมากแล้ว “..ไปตึกไพฑูรย์เทวาครับ” พี่ไกรตอบ หนุ่มแท็กซี่ยิ้มยิงฟันพยักหน้า อย่างกับรู้อยู่แล้วว่าเรากำลังจะไปไหน... พี่ไกรเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ... และรถแท็กซี่ก็ออกตัวไปยังตึกที่จะผูกชะตาของพวกเราทุกคน
--ช่วงคุยกะคนเขียน-- มาแล้วครับ เดี๋ยวผมจะลงตอนแถมไว้ให้ด้วยตอนนึง แต่เตือนไว้ก่อนนะครับ มันอาจจะปวดตับ? สักหน่อย แต่เรื่องราวจะดำเนินต่อไปแน่นอนครับ ปล แก้ช่องว่างแล้วครับ
|