ขุนมาทำงานตามปกติของตน โดยอยู่ที่ทำงาน เขาทำเมินคู่ปรับที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันมาก ดูทีอีกฝ่ายจะเอาอกเอาใจคนในแผนกเสียเหลือเกิน มันดูง่ายจนออกนอกหน้านอกตา สงสัยอยากจะเป็นผู้จัดการจนตัวสั่น9 W- b' C1 ~! j
ขุนนิ่วหน้าขมวดคิ้วมองแรงอีกฝ่าย พออีกฝ่ายหันมายิ้มให้ก็รีบเบือนหน้าหนีทำเป็นไม่สนใจสนอีกฝ่ายหน้าเสีย แต่ขุนไม่ได้สนใจอะไรนัก "เอาล่ะ อาทิตย์หน้าจะมีงานเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามา ท่านประธานเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะใช้งานนี้พิสูจน์ฝีมือของพวกคุณ" พี่แววอธิบายหลังเรียกขุนและคู่แข่งเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ขุนตั้งใจฟังในขณะที่อีกฝ่ายมองพี่แววสีหน้าประหม่า "แล้วจะพิสูจน์ยังไงครับพี่"ขุนเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ถูกเรียกมาในวันนี้ เพื่อจะวางแผนจัดการในภายภาคหน้า "ท่านประธานเสนอมา ว่าในงานนี้ หากใครหาคนมาสมัครสมาชิกกับตัวเองได้มากที่สุด ก็จะได้รับตำแหน่งนี้ โดยไม่ต้องรอถึงเดือนหน้า คิดว่าแฟร์ดีไหมขุน"ขุนฟังจบก็ยิ้มกริ่ม ถ้าเรื่องการหาลูกค้า เขาพอมีเส้นสายหรือคนที่มีข้อมูลอยู่บ้าง ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร จะยากก็แต่คนมาใหม่ที่นั่งเกร็งอยู่ด้านข้าง "ผมไม่รู้ว่าแฟร์หรือไม่ แต่ผมคิดว่าผมทำได้ดีแน่นอนครับ" ขุนตอบด้วยความมั่นใจ แถมยังหันไปยิ้มเยอะอีกฝ่ายโดยไม่สนใจ พี่แววพยักหน้าตอบรับและเชิญทั้งสองไปทำงานของตนเอง เมื่อกลับมาถึงโต๊ะทำงาน ขุนก็หยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์พนักงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อขอข้อมูลลูกค้าเพื่อเตรียมติดต่อขายสินค้า หลังวางสายก็ไม่วายหันไปวางมาดใส่โต๊ะด้านข้าง แต่เมื่อขุนเห็นสายตาอีกฝ่ายวาวใสสะท้อนแสงก็แปลกใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ หลังเลิกงาน ก่อนที่จะกลับ เขาก็ตรวจเช็คออฟฟิศเนื่องจากเขาออกเป็นคนสุดท้ายตามปกติ แต่คราวนี้เขากลับได้ยินเสียงสะอื้นเอ่ยจนคิดในใจว่าคงไม่ใช่แบบนั้นมั๊ง เขาทำใจดีสู้เสือเดินไปยังต้นเสียงจนพบว่ามันดังมาจากห้องประชุม ขุนใช้มือผลักประตูดันเข้าไปแล้วชะเง้อมองภายในห้องก็ไม่พบกับใคร แต่ขณะที่กำลังจะปิดประตูคืน กลับมีมือเย็น ๆ มาจับเข้าที่ข้อมือของเขาจนขุนสะดุ้งตัวหนี ขุนวิ่งออกจากออฟฟิศโยไม่คิดชีวิตจนกระทั่งมาอยู่ที่หน้าลิฟต์ยืนหอบแฮกสูดอากาศเข้าปอด ฟู่วววววว พอได้สติ ขุนก็พยายามนึกถึงสิ่งที่เจอ เมื่อคิดด้วยสติก็นึกได้ว่าสิ่งที่เขาเจอนั้นไม่ใช่สิ่งลี้ลับอะไรหากแต่เป็นคน ไม่นานสิ่งที่สงสัยก็กระจ่าง เมื่อมีเงาตะคุ่มเดินออกมาจากทางที่เขาหนี และเมื่อเจอแสงไฟหน้าลิฟต์ก็ทำให้หายสงสัย เพราะนั่นเป็นคน คนที่เขาจำไว้ว่าเป็นคู่ปรับ ใบหน้าที่โทรมตาแดงก่ำราวกับคนพึ่งร้องไห้ ขุนมองหน้าอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้สนใจขุนและเดินเข้าลิฟต์ด้วยอาการเนือย ๆ ลิฟต์เลื่อนลงไปยังชั้นล่างด้วยความเงียบงัน ทำให้ขุนแปลกใจกับคนข้างกาย ในตอนทำงานเขาดูยิ้มแย้มเเจ่มใส หากแต่บัดนี้กลับสีหน้าอมทุกข์ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ บนใบหน้าขาว ติ๊ง เมื่อลิฟต์เปิด ขุนละความสนใจคนด้านข้างแล้วมุ่งตรงไปยังลานจอดรถ ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินแม่บ้านจับกลุ่มนินทา "เป็นไง จริงใช่ไหมล่ะ"เสียงสูงของแม่บ้านอาวุโสเอ่ยถามกับเพื่อนร่วมอาชีพอย่างมั่นใจ "ใช่พี่ แบบที่พี่พูดเป๊ะเลย หนูก็ว่าพุ่งมาทำงานดันได้ตำแหน่งสูง ไอ้เราก็คิดว่าเรียนจบนอกมาสูง ที่ไหนได้ ลูกเมียน้อยท่านประธาน" แม่บ้านอีกคนพูดตอบด้วยท่าทีระริกระรี้ ขุนก้าวขาช้าลงเดินเนิบ ๆ หูก็ผึ่งรับข่าวสารไปด้วย "แต่ก็น่าสงสารนะคะ แม่เสีย ไม่มีญาติที่ไหน พ่อก็เป็นคนมีหน้ามีตา"แม่บ้านอีกคนพูดน้ำเสียงสลด กลุ่มแม่บ้านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่คนอาวุโสสุดจะพูดต่อ "ไอ้สงสารก็สงสาร แต่เอาลูกเมียน้อยมาชิงตำแหน่งผู้จัดการเลยมันก็เกินไป ฉันคุยกับคุณแววมาคุณแววยังตกใจเลยตอนที่รับเข้ามาทำงานน่ะ" ขุนหยุดเท้านิ่งเมื่อได้ยินชื่อพี่แวว เหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่เขาคิดหรือเปล่านะ? ตอนนั้นเองที่หนึ่งในกลุ่มแม่บ้านหันมาเห็นเขาเข้าพอดี ขุนเลยยกมือยิ้มทักทาย ป้าแม่บ้านต่างยิ้มเจื่อนแล้วพากันแยกย้ายกันไป ขุนเก็บสิ่งที่ได้ยินมาคิดหนัก พอคิดว่าหากคู่ปรับเขาเป็นคนในข่าวลือนั้นจริง ก็น่าเห็นใจไม่น้อยเลย ขณะที่รถเคลื่อนตัวอยู่นั้นเอง สายตาขุนหันไปเห็นบางอย่างจนต้องหยุดรถเอาไว้ เอี๊ยดดดดดด รถขุนอยู่อยู่ริมฟุตบาทข้างทาง เขาเองก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำแบบนี้เพราะอะไร เมื่อกี้เหมือนเขาเห็นคู่ปรับกำลังเดินบนทางเท้า เขาจอดรถนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง อีกฝ่ายก็เดินเนิบผ่านรถเขาไป ขุนมองดูอีกฝ่ายพร้อมนึกถึงคำพูดของแม่บ้าน หากนั่นเป็นเรื่องจริง คนตรงหน้ายิ่งหน้าสงสารเข้าไปใหญ่ คนที่เกิดมาไม่มีพ่อไม่มีแม่ กับคนที่เกิดมาเป็นลูกเมียน้อย แล้วแม่เสีย ส่วนพ่อก็ไม่ยอมรับ คนไหนชีวิตรันทดกว่ากัน ขุนคิดในใจ พร้อมขับรถเลียบทางช้า ๆ ตามอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว กริ๊งงง กริ๊งงง ขุนจอดรถกอีกครั้งหลังเสียงมือถือของตนดังขึ้น "ขุน จะกลับหรือยังครับ"เสียงคนรักของเขาทักถามขึ้นหลังกดรับสาย "กำลังจะกลับแล้ว อินมีอะไรหรือเปล่า"ขุนตอบอินตาของเขายังคงจ้องคนที่เดินอยู่บนทางเท้าไม่ละสายตา "เปล่า คือวันนี้พี่เต เอ่อ คนรับเหมาเขาเลี้ยงทีมงานแล้วชวนอินด้วย อินเลยจะบอกว่าให้ขุนซื้ออาหารขากลับด้วยเลยนะ อินไม่ได้ทำไว้"อินอธิบายเหตุผลความจำเป็น "อ๋อ โอเค แล้วจะกลับกี่โมง ให้ขุนไปรับไหม"ขุนถามพร้อมเสนอตัวตามปกติ อินคิดครู่หนึ่งก็ตอบกลับมา "ยังไม่รู้เลย เอาไว้เดี๋ยวใกล้ ๆ แล้วอินโทรบอกนะ" หลังอินวางสาย แวบเดียวคนที่ขุนตามมาตลอดทางก็หายไป ขุนชะเง้อหน้ามองหาแต่ก็ไม่พบ เขาสะบัดหัวสลัดความคิดออกแล้วขับรถไปยังร้านอาหารเพื่อจะซื้อกลับไปกินที่คอนโด แต่ขณะนั้นเอง ตอนที่ขับผ่านซอกตึกแห่งหนึ่ง สายตาแวบเดียวของเขาปะทะเข้ากับภาพคนที่เขาตามมาก่อนหน้า เขาหยุดรถกระทันหันอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูเดินลงไปยังซอกตึกแห่งนั้น ขุนเห็นผู้ชายสามคนท่าทางนักเลงกำลังรุมล้อมชายตัวขาวอยู่ ขุนปรี่เข้าไปหาอย่างเอาเรื่อง "มีอะไรหรือเปล่า"ขุนจับคนที่ก้มหน้าตัวสั่น ถามด้วยความเป็นห่วง อีกฝ่ายืนนิ่ง ขุนจึงเบนหน้าหันไปหากลุ่มนักเลง "มึงทำอะไรห๊ะ!"ขุนตะคอกอย่างเอาเรื่อง ตอนนั้นคนที่เดินผ่านได้ยินเสียงดังก็เริ่มจ้องมอง คนที่ตัวใหญ่สุดคิดว่าน่าจะเป็นหัวโจกเคี้ยวหมากฝรั่งยิ้มร่า "ไม่มีไรฮะพี่ คนรู้จักพี่หรอ"ขุนหันไปมองคนตัวขาวที่ถูกดึงมาไว้ด้านหลังของตน ก่อนจะหันไปบอกกับนักเลง "เออ พวกมึงจะทำไม"ขุนตอบอย่างดุดันแต่ลดเสียงลงกว่าก่อน "งั้น ผมขอค่าของด้วยฮะ"หัวโจกพูดตลิดตลกยกมือแบมาทางเขา ขุนงุนงงถามย้ำด้วยความสงสัย "ของ?"หัวโจกไม่พูดตอบพร้อมยักไหล่ทำหน้านิ่ง ขุนไม่อยากมีเรื่องจึงรีบควักเงินจ่ายพอดีจำนวนให้พวกมันไป พอได้เงินพวกมันก็รีบเดินลึกเข้าไปด้านใน ขุนจับตัวคนด้านหลังที่ตอนนี้ตัวสั่นเกร็ง เขาคว้าข้อมืออีกฝ่ายเดินตามไปขึ้นรถทันที "นี่ เป็นอะไร ไปยุ่งกับพวกมันทำไม พวกนั้นเป็นคนไม่ดีไม่รู้หรอ"ขุนดุอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ พร้อมหายใจผิดจังหวะปกติ "แม้งเอ้ย หลอกกูนี่หว่า ฟืดดด"อีกฝ่ายสบถคำหยาบคายออกมาโดยไม่สนใจ ขุนเองตกใจที่ได้ยินแบบนั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดแบบนี้ "เป็นอะไรไหม ไปหาหมอเปล่า"ขุนเห็นท่าไม่ดีจึงถามอาการด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้เขาลืมเรื่องราวก่อนหน้าไปหมดสิ้น "ไม่ต้องเสือก จะมายุ่งกับกูทำไม"อีกฝ่ายพูดกดเสียงใส่จนขุนผงะตัวออก เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนตรงหน้า แต่ถ้าให้ปล่อยไปเสียเฉย ๆ เขาคงทำไม่ได้ "ไปหาอะไรกินก่อน ค่อยคุยกัน"ขุนปรับน้ำเสียงเย็นลงพูดเรียบนิ่งเสนอหนทาง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ ตัวสั่นเทิมจากผิวขาวตอนนี้เริ่มกลายเป็นสีแดง เหงื่อผุดตามตัวเป็นเม็ด ขุนเองเห็นท่าไม่ดีจึงคว้าแขนอีกฝ่ายมาดู "เป็นอะไร โดนยาหรอ พวกมันมอมยาหรอ" "โอ๊ย ไอ้เชี่ย ไม่ไหวแล้ว"อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามเขา แต่ดันใช้มือปลดเนคไทด์และเข็มขัดของตัวเองด้วยความร้อนรน ขุนตกใจหนักกว่าเก่าทำอะไรไม่ถูก ดูจากอาการคงโดนยา แต่ยาอะไรล่ะเขาไม่สันทัดเรื่องพวกนี้ด้วยสิ เสียงครางในลำขอของอีกฝ่ายดูจะเป็นคำตอบได้ดี ขุนอึ้งอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้าก็ถอดกางเกงควักเอาน้องชายมาสาวว่าวโชว์เขาบนรถแบบนี้!!! , v; i# _* @ B* Y/ E, G
3 J! ~6 X: `" J% j$ V. P3 G1 E5 q/ s) Q+ g: F- m
0 J, ?: T4 N/ t/ m2 h: V- T |