บทหนึ่งของชีวิต ตอน โลกมันกลม 3 โดย Orama เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเพราะมี FC ส่งข้อความมาหา ว่าอยากให้เขียน “บทหนึ่งของชีวิต ตอนเจ้าบ่าวลองชุดแต่งงาน” ต่อ ผมเลยลองจินตนาการเขียนไปเรื่อย ๆ ไม่มีเส้นเรื่องไม่มีตอนจบ อาจจะหนักไปทางดราม่า มากกว่าบท 25+ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นภาคต่อ ที่ผมเขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละคร พฤติกรรม สถานที่ และเหตุการณ์ในเรื่องเป็นเหตุการณ์สมมติ มิได้พาดพิงถึงองค์กร วิชาชีพ หรือกลุ่มบุคคลใด ๆ ใครไม่ชอบก็ผ่านไปได้เลย...เข้าใจตามนี้นะครับ ---------------------------------------------------- “ใครมา....อ้าวคุณพัด” “หวัดดีครับพี่ต้อย พี่นิดพี่หวาน พี่สัก” คุณพัดยกมือไหว้ทุกคนและเรียกชื่อถูกด้วย “นี่คุณแม่ผมครับ” “หวัดดีค่ะ/ครับ” ทุกคนยืนขึ้นเกือบพร้อมกันที่เห็นหญิงสูงวัยเดินพ้นประตูบ้านเข้ามา “คุณแม่อยากจะมาขอบคุณพี่ต้อยนะครับเรื่องกับข้าวเมื่อเช้า” “เชิญค่ะ คุณแม่นั่งก่อนค่ะ” พี่ต้อยผายมือเชิญแม่คุณพัดเข้ามานั่งข้างใน หญิงชราถูกคุณพัดประคองไปนั่งยังโซฟาใหญ่ตัวกลางโดยพี่ต้อยกับพี่นิดเข้าไปนั่งตัวเล็กสองตัวถัดออกไป คุณพัดยืนกุมมือข้าง ๆ ส่วนพี่สักกับพี่หวานเมื่อครู่นั่งที่โซฟาเลยไปนั่งที่โต๊ะอาหารแทน “อยากจะมาขอบคุณค่ะ อาหารอร่อยมากถ้าไม่เป็นการรบกวนอยากจะถามสูตรด้วยจะได้ลองเอาไปทำเอง” “ไม่รบกวนหรอกค่ะ...ว่าแต่รสชาตพอใช้ได้มั้ยคะ” “อย่าใช้คำว่าใช้ได้เลยค่ะต้องบอกว่าอร่อยมาก น้ำซุบที่กลมกล่อมและหอมรากฝักชี” “เป็นสูตรที่คุณแม่สอนมาอีกทีนะค่ะ” “คุณแม่คงทำอาหารเก่งนะคะขนาดลูกสาวยังเก่งขนาดนี้…แล้วคุณพ่อคุณแม่ทำงานอะไรคะ” “ท่านค้าขายอยู่ต่างจังหวัดค่ะอยู่กับพี่ชาย และน้องชาย มีหนูกับน้องอีกคนที่ไม่ได้อยู่ด้วย” “คุณพ่อกับคุณแม่ยังสุขภาพแข็งแรงทั้งสองท่าน” “ค่ะ.....ยังแข็งแรงทั้งสองคน” “มาแล้วคราบบบบ.......เครื่องดื่มเย็นๆ” ผมเดินก้มหน้าประคองถือถาดเครื่องดื่มเย็นๆ ออกมาพอเงยหน้า เห็นคุณพัดยืนยิ้มแต้ แล้วมองไปที่หญิงชราที่นั่งเรียบร้อยอย่างมีสง่าบนโซฟาตัวใหญ่กลางบ้าน ผมถือถาดค้าง ก้าวขาแทบไม่ออก “ต๊ะ....ต๊ะใช่มั้ยลูก” หญิงชราเรียกชื่อผมเบา ๆทุกคนหันไปมองหญิงชราเป็นตาเดียวกันว่ารู้จักผมได้ยังไง แล้วก็หันหน้ามาทางผมด้วยความสงสัย “คะ.....คุ....คุณแม่” ผมค่อย ๆ วางถาดเครื่องดื่มที่โต๊ะอาหารแล้วเดินเข้าไปจนใกล้ก่อนที่จะค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นแล้วเดินด้วยเข่าเข้าไปหาหญิงชรา พร้อมกับก้มลงกราบที่ตักท่านอย่างอ่อนน้อมแล้วเอาแก้มซบลงไปที่ตักท่าน “ต๊ะ.....ต๊ะ....จริง ๆ ด้วย”หญิงชราเอามือลูบหัวผมพร้อมกับก้มหน้ามาซบที่หัวผม น้ำตาหญิงชราไหลเป็นทางจนหยดลงใส่แก้มผมทุกคนยังอยู่ในอาการตะลึง ทั้งงง ทั้งตกใจทั้งแปลกใจว่าผมรู้จักหญิงชรานี้ได้ยังไง หญิงชราร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยนผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วใช้สองมือค่อย ๆ เช็ดน้ำตาที่แก้มทั้งสองข้างของคุณแม่ด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย “คะ....คุณแม่สบายดีนะครับ”ผมเงยหน้าถามทั้งที่น้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้มด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ต๊ะเป็นไงบ้างลูก” หญิงชราพูดเสร็จก็โผกอดกระชับผมแน่นขึ้นอีก พี่ต้อยกับพี่นิดลุกออกจากโซฟาตอนไหนไม่รู้ไปยืนจับกลุ่มยืนงงกันเป็นไก่ตาแตกข้างโต๊ะอาหารแต่ละคนยืนนิ่งรอว่าเหตุการณ์มันจะเป็นยังไง ส่วนคุณพัด ยืนหน้าซีดแบบงง ๆ เช่นเดียวกัน “คุณแม่มาได้ยังไงครับ” “แม่มาเที่ยวกับลูก ๆ และหลาน ๆ” “งั้นคุณพัดก็” “นี่ตาพัดลูกชายแม่อีกคนน้องตาพงษ์เพื่อนต๊ะไงลูก” ผมแหงนหน้ามองพัดอีกครั้งมิน่าล่ะผมถึงคุ้น ๆ ว่าเคยเจอที่ไหน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก “แล้วคุณพงษ์ล่ะครับ” “หลังแต่งงานก็ไปอยู่เมืองนอกกับครอบครัวส่วนตาพัดที่อยู่เมืองนอกก็กลับมาอยู่กับแม่ที่เชียงใหม่” “เออ......ใช่คุณต๊ะ....ที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวพี่พงษ์...ใช่มั้ยครับแม่” “ใช่จ๊ะ......ดูซิ.....กิริยามารยาตยังงดงามเหมือนเดิม...พ่อเทพบุตรของแม่” คุณแม่คุณพงษ์พูดเสร็จก็โผเข้ากอดกระชับผมแน่นขึ้นไปอีกส่วนคุณพัดค่อย ๆ นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ ผม “พี่พงษ์กับคุณแม่บอกผมให้ตามหาคุณต๊ะแต่ไม่บอกรายละเอียดอะไรมาก ผมตามหาคุณต๊ะมาเป็นแรมปีเลยครับ” “ตามหาผม” “ครับ...พี่พงษ์บอกว่าให้ตามหาคุณต๊ะให้เจอ...ถ้าเจอเมื่อไหร่ให้บอกด้วยพี่พงษ์รู้ว่าเจอพี่ต๊ะแล้วคงดีใจ” “แม่ก็ตามหาต๊ะ...หลังจากวันนั้นแม่ก็ถามตาพงษ์มาตลอดว่าทำไม่ชวนต๊ะมาเที่ยวบ้านเราบ้าง...แต่พอดีตาพงษ์ก็ได้ทุนไปเรียนต่อทางประเทศเลยยุ่งๆ แล้วรีบไปด้วย” ผมหันหลังไปยังเจอบรรดาพี่ ๆ ที่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกดูเหมือนทุกคนจะพยายามประติดประต่อเรื่องกันเต็มที่ “เอ้อ.....พี่ต้อยครับ...นี่คุณแม่คุณพงษ์” “..................................” พี่ต้อยยังคงงงไม่หาย “คุณพงษ์คนที่พี่ตัดชุดแต่งงานให้ที่เชียงใหม่แล้วให้ผมไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวไงครับ” “เอ้อ..................กราบสวัสดีอย่างเป็นทางการอีกครั้งค่ะคุณแม่” “คนนี้หรอที่ตัดชุดให้ตาพงษ์กับต๊ะ” “ใช่ครับ....พี่สาวผมเองครับ” “นอกจากตัดชุดสวยแล้วยังทำอาหารอร่อยอีก” “ขอบคุณค่ะ” “วันนั้นแม่จำได้....ตอนที่ตาพงษ์เดินคู่มากับต๊ะเข้ามาหาแม่ภาพมันเหมือนฝัน เหมือนเทพบุตรสองคนเดินลงมาจากสรวงสวรรค์มาหาแม่........เดี๋ยว ๆนี่ไง” คุณแม่รีบหยิบกระเป๋าสตางค์แบบยาวออกมาจากกระเป๋าถือแล้วค่อย ๆ บรรจงหยิบรูปขนาด บัตรเอทีเอ็ม ที่เคลือบด้วยพลาสติกอย่างดีออกมา “นี่ไง...แม่พกติดตัวไว้ตลอด”พี่ต้อยเดินเข้าไปนั่งโซฟาข้าง ๆ แล้วรับรูปมาดู “ใช่ค่ะ.......ชุดที่ต้อยตัดให้เองค่ะ” พอดูเสร็จก็ส่งรูปให้พี่นิดกับเพื่อน ๆ ดูต่อ “อืม........เหมือนเทพบุตรอย่างที่คุณแม่พูดจริงๆ ครับ” พี่นิดรำพึงขึ้นมา พี่นิดพิจารณารูปแล้วก็พูดออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะส่งกลับไปให้คุณพัดซึ่งคุณพัดดูรูปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “เป็นรูปที่ขยายใหญ่แล้วแขวนไว้ที่ห้องคุณแม่นี่ครับ” “ใช่จ๊ะ” “เออ....รูปนี้คุณแม่เอาไปขยายขนาด1 เมตร แล้วแขวนไว้ในห้องคุณแม่นะครับ” ทุกคนหันไปมองกันเลิกลักว่าทำไมรูปนี้ถึงสำคัญขนาดต้องไปขยายใหญ่ขนาดนั้นแล้วแขวนไว้ในห้องคุณแม่ด้วย “ผมเองก็คุ้น ๆเหมือนเคยเจอที่ไหนแต่นึกไม่ออก เพราะในรูปคุณต๊ะแต่งผมแต่งตัวซะหล่อ” “ฝีมือพี่ต้อยทั้งหมดแหละครับ” ความจริงเริ่มกระจ่าง บรรยากาศที่ยังงง ๆเมื่อครู่เริ่มผ่อนคราย โดยเฉพาะคุณพัดที่ดูจะคุยกับผมมากขึ้นส่วนคุณแม่คุณพงษ์เอาแต่มองหน้าผมแทบจะตลอดเวลา “แล้วคุณแม่เดินทางมาจากเชียงใหม่เลยหรอครับ” “ใช่จ๊ะส่วนตาพัดนี่ทำงานที่กรุงเทพแต่ก็ขึ้นๆ ลง ๆ เออ..เมื่อกี้เห็นว่าพี่สาวเราเคยเปิดร้านตัดเสื้อที่เชียงใหม่หรอ...แล้วตอนนี้ล่ะ” “ตอนนี้ก็ยังเปิดอยู่ครับตัดพวกชุดแต่งงาน อะไรประมาณนี้ พอดีพี่ต้อยมาทำธุระที่ขอนแก่น ว่าจะขายบ้านที่ขอนแก่นแต่เขาไม่ซื้อตกลงราคากันไม่ได้เลยพากันมาเที่ยวพัทยาก่อนแล้วค่อยกลับนะครับ” “แล้วต๊ะอยู่ที่ไหน” “ผมอยู่ที่ขอนแก่นครับ” “มิน่าละหาทั่วเชียงใหม่ถึงไม่เจอ” “ผมไปเที่ยวเชียงใหม่เป็นครั้งราวครับแต่อยู่ที่ขอนแก่นอยู่บ้านหลังที่พี่ต้อยจะขายนี่แหละครับ” “อ้าว...ขายบ้านแล้ว....แล้วต๊ะจะอยู่ที่ไหนล่ะ...” “ผมเรียนจบแล้วครับว่าจะเข้ากรุงเทพครับไปหางานทำ แต่ที่อยู่ขอนแก่นเพราะพี่ต้อยไม่อยากทิ้งบ้านไว้เฉย ๆกลัวจะเป็นบ้านร้าง เลยให้ผมอยู่ไปก่อน ขายได้เมื่อไหร่ก็ออก” “งั้นไปทำงานกับตาพัดมั้ย” “คุณพ่อผมอยากให้ทำงานราชการสักคนแต่คุณแม่อยากให้กลับไปรับช่วงค้าขายต่อ” “อ้าวแล้วตกลงเอาไง” “ผมว่าจะลองไปหาสอบงานราชการดูก่อนครับอยากสานต่อความฝันให้คุณพ่อ ส่วนงานค้าขายกลับไปทำเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้คุณพ่อกับคุณแม่ผมยังพอทำไหวอีกอย่างก็มีพี่ชายกับน้องชายและก็หลานคอยช่วยอยู่แล้วเลยไม่ต้องห่วงมาก” “ต๊ะเขาค้าขายเก่งค่ะคุณแม่แล้วก็เรียนเก่งด้วย หนูเองก็เสียดาย อยากให้เขาเรียนให้สูง ๆหรืออาจจะไปเรียนต่อเมืองนอกหนูก็ส่งได้...แต่ต๊ะเขาไม่เอา”พี่ต้อยพูดเสริมขึ้นมา “ทำไมล่ะลูก...ถ้าอยากจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกเดี๋ยวแม่ให้ตาพงศ์หรือตาพัดช่วยแนะนำให้” “ผมเรียนสายช่างและมาต่อศิลปะศาสตร์ มันก็งงอยู่เหมือนกัน ยิ่งเรียนสูงไปถ้าไม่มีงานทำก็เท่านั้นแหละครับอีกอย่างผมอยากทำงานราชการสานฝันให้คุณพ่อ อยากทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยมากกว่า” “แล้วค้าขายล่ะ” “ตอนนี้ร้านขายของก็เยอะขึ้นถนนหนทางสะดวกขึ้น มีพ่อค้าเอาของใส่รถไปขายให้ถึงที่ ชาวบ้านก็ชอบไม่ต้องเดินทางให้เปลืองเวลาอีกหน่อยร้านโชห่วยคงต้องหมดไป สู้ร้านใหญ่ ๆ เขาไม่ไหว กดราคาแข่งกัน กำไรก็น้อย” “อืม.....เรานี่มองการณ์ไกลมากเลยนะ” “จริง ๆที่บ้านผมที่อยู่ได้คือรับซื้อพืชไร่ หรือจะเรียกว่าพ่อค้าคนกลางก็ไม่ผิดซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิม ทำให้ประคองตัวอยู่ได้ตอนนี้ก็จะเปิดเป็นฟาร์มโคนมอีกเพื่อชดเชยค้าขาย” “ยุกสมัยมันเปลี่ยนไปเนาะ” “ครับ” “แล้วเย็นนี้ไปทานข้าวกับแม่นะ...เออ...ลืมถามว่ากลับกันเมื่อไหร่” “พวกเรากลับพรุ่งนี้ค่ะ...หนูต้องขับรถไปส่งต๊ะที่ขอนแก่นแล้วค่อยไปเชียงใหม่ส่วนเพื่อนหนูกับพี่นิดก็ตีรถขึ้นเชียงใหม่เลย” “พวกหนูอยู่เชียงใหม่หมดเลยหรอ” “ค่ะ......” “แม่ก็จะกลับเชียงใหม่พรุ่งนี้เย็นจองตั๋วไว้แล้ว” “เออ...พี่ต้อยเอาอย่างนี้มั้ยครับเดี๋ยวพี่ต้อยส่งผมที่หมอชิต เดี๋ยวผมขึ้นรถทัวร์กลับเอง พี่ต้อยจะได้ไม่เหนื่อยให้พี่นิดขับรถให้” “เฮ้ย...ไม่เป็นไร..พี่พาแกมาพี่ก็ต้องพาแกไปส่ง” “แหมพี่............ผมโตแล้วครับ...เรื่องเดินทางสำหรับผมมันเรื่องเล็ก...ใช่มั้ยครับพี่นิด” “เออ.....พี่ก็ว่าดีเหมือนกันนะพี่ขับรถต้อยกลับเชียงใหม่ทีเดียวเลย พร้อมกับหวานและสัก” “ใช่ครับ...ตีรถไปตีรถมาเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงิน…ค่ารถทัวร์ไม่กี่บาทเองครับ พี่นิดพี่ต้อยจะได้ไม่เหนื่อยด้วย” “เออ....เอางั้นก็ได้...แต่แกห้ามบอกพ่อกับแม่นะเดี๋ยวมาด่าพี่อีกว่าทิ้งน้อง” “โถพี่...พี่ทำยังกะผมไม่เคยเดินทางคนเดียวนั้นแหละ” “เออ....เอางั้นก็ได้” “แล้วเย็นนี้ไปเที่ยวไหนกันไปทานอาหารกับแม่สักมื้อมั้ย” “หนูขอตัวดีกว่าค่ะคุณแม่...นาน ๆทีจะได้มาเที่ยวทะเล อยู่เชียงใหม่ก็งานยุ่ง พอมาถึงพัทยาเห็นแสงสีแล้วก็อยากเปิดหูเปิดตาบ้าง” พี่ต้อยรีบปฏิเสธทันที เพราะคืนนี้มีแผนจะไปดูโชร์คาบาเล่กันเต็มที่ “แล้วต๊ะล่ะลูก...ไปกับเขามั้ย” “เออ..........” ผมยังอยู่ในอาการมึนที่เจอคุณแม่คุณพงษ์วันนี้เลยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “เออ...ต๊ะแกไปกับคุณแม่ซิเห็นแกบอกว่าไม่อยากไปกับพวกพี่ไม่ใช่หรอ” พี่ต้อยพูดเอง เออเองหมดโดยไม่ถามความเห็นผมสักคำ ผมโดนมัดมือชกอย่างจังทุกคนหันไปมองหน้าพี่ต้อยกันหมดว่าผมพูดตอนไหน “ถ้าไม่อยากเที่ยวก็ไปกินข้าวกับแม่นะต๊ะนะ” “เออ.....ดะ...ได้ครับ” “เออ...นี่ก็จะ 5 โมงแม่ว่าเดี๋ยวกลับไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนมั้ยตาพัดแล้วค่อยมารับตาต๊ะ แล้วเดี๋ยวเราออกไปหาข้าวกินกัน...สัก 6โมงเดี๋ยวแม่มารับนะต๊ะ” “ดะ...ได้ครับ” “ไปตาพัด เรานี่นั่งเงียบเลยพาแม่ไปอาบน้ำแต่งตัวเดี๋ยวพาแม่ไปหาข้าวเย็นกินกับพ่อต๊ะ” “ครับคุณแม่” พอแม่กับคุณพัดพ้นเขตบ้านผมหันมาทำตาขวางใส่พี่ต้อยทันทีพี่ต้อยเหมือนรู้รีบขอโทษผมอย่างรวดเร็ว “ต๊ะ...พี่ขอโทษว่ะ......พี่คิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว” “ดีตรงไหนพี่” “นึกว่าสงเคราะห์คนแก่เถอะว๊ะ...แกไม่เห็นแววตาแม่คุณพัดตอนที่พี่บอกว่าขอตัวหรอ...มันเป็นแววตาของคนสิ้นหวังเลยนะโว้ย....แต่พอชั้นบอกว่าแกไปได้เท่านั้นแหละ...แววตาคุณแม่แกเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย” “เออ...ใช่ พี่ก็สังเกตนะว่าคุณแม่คุณพัดท่าทางจะรักและเอ็นดูต๊ะมาก” “มากไม่มากก็ขนาดพกรูปติดตัวแล้วกัน.....แถมยังเอาไปขยายใหญ่ติดไว้ในห้องนอนขนาดนั้นอีก...พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย” “เออ......พี่ก็ว่ามันแปลก ๆ นะเจอกันไม่กี่ครั้ง ทำไมถึงได้รักและคิดถึงกันขนาดนี้” “พี่เห็นแววตาคุณแม่ตอนเจอต๊ะครั้งแรกมั้ยมันเปล่งเป็นประกาย ปากแกสั่น มือสั่น เหมือนแกรอมานานแสนนานแล้วเพิ่งมาพบเจอ” “ผมไม่ทันสังเกตครับ” “แกจะสังเกตอะไร...ยืนนิ่งเป็นตอเลย” “แต่กูว่าน้องมึงนี่โคตรเทพเลยว่ะต้อย” “เทพยังไงว๊ะ” “มึงเห็นตอนที่ไอ้ต๊ะมันคลานเข่าเข้าไปหามั้ยมันทำเองโดยอัติโนมัติ แล้วตอนที่ก้มลงกราบที่ตักคุณแม่คุณพัด มันช่างงดงามมาก..มันอ่อนน้อมดูไม่ขัดไม่เขิล สมแล้วที่คุณแม่บอกว่าเป็นเทพบุตร” “เออ.............” ผมถึงกับใบ้แดกเลย โดนชมต่อหน้าแบบจัง ๆ “ใช่...พี่ก็ไม่เคยเห็นใครกราบได้งามขนาดนี้เลยนะ ถ้าเป็นคนอื่นคงโผพุ่งเข้าไปกอดแล้ว” “ต้อยก็ไม่รู้เหมือนกันพ่อกับแม่ก็ไม่ได้สอนนะ...และต้อยเองก็ทำไม่เป็น 5555555555” “ยิ่งตอนที่พี่เห็นต๊ะนั่งพับเพรียบกับพื้นแบบไม่ขัดไม่เขิลและไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อหรืออึดอัดแถมยังแสดงอาการห่วงใจคนแก่อย่างอ่อนน้อม...พี่ว่าไม่แปลกหรอกที่คุณแม่ของคุณพัดจะเอ็นดูต๊ะขนาดนั้น...เป็นใครเห็นใครก็รักใช่มั้ยพี่นิด” “ขนาดพี่เป็นผู้ชายพี่ยังรู้สึกชื่นชมเลย....แกนี่มันงามทั้งกายงามทั้งใจจริงๆ ไอ้ต๊ะ” พี่นิดเดินมาตบบ่าผมเบา ๆ “แล้วตกลงคืนนี้.........ผม” “สรุปไปแล้วนี่” “สรุปยังไงครับ” “สรุปคือ...พี่สี่คนจะไปดูโชร์แล้วไปต่อด้วยการท่องราตรีส่วนแกอาบน้ำแต่งตัวให้หล่อๆแล้วไปทานข้าวเย็นกับแม่คุณพัด” พี่ต้อยสรุปอย่างเลือดเย็น “พี่ต้อยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” “5555555555555555” “เดี๋ยว ๆ ก่อนต้อย” “มีอะไรว๊ะหวาน” “แกบอกให้ต๊ะมันแต่งหล่อ ๆ แล้วไอ้ต๊ะมันมีเสื้อผ้าหล่อๆ หรอ...เมื่อกี้แกยังบ่นว่ามันมีแต่เสื้อผ้าเก่าเก็บสั้นเต่อทั้งนั้น” “เออ.......กูลืมไปเลยขนาดชุดนี้กูซื้อให้มันเป็นชาติแล้วมันยังอุตส่างัดเอามาใส่” “ต๊ะ.....มึงไปเอากระเป๋าผ้ามึงมาเดี๋ยวนี้”พี่ต้อยหันมาพูดกับผมเสียงดัง “ไปแบบนี้ก็ได้พี่ต้อย...แค่กินข้าวเย็น” พี่ต้อยไม่ฟังเสียงวิ่งเข้าไปในห้องที่ผมนอนจัดการรื้อกระเป๋าผ้าผมอย่างรวดเร็ว “ไอ้ต๊ะ.........เสื้อผ้าที่เอามานี่พี่ซื้อให้ตั้งแต่ชาติที่แล้วทั้งนั้น...บางตัวยุ่ยจนจะขาดแล้วมึงยังเอามาอีกหรอ” “ก็มันยังใส่ได้ปกตินี่ครับ....จะไปทิ้งมันทำไมเสียดาย....ผมยังใส่ได้” “มึงจะใส่แบบนี้ไปกินข้าวกับคุณพัดนี่นะ....ไอ้บ้า.....จะไปกินข้าวทั้งทีมันต้องหรูหน่อย” “ต้อย ต้อย...ใจเย็น...ต๊ะแค่ไปกินข้าวกับคุณแม่คุณพัดไม่ได้ไปกินข้าวกับสาวสองต่อสองที่ไหน”พี่นิดเองพอเห็นพี่ต้อยโวยวายเลยเข้าไประงับอารมณ์ “พี่นิดก็ดูเสื้อผ้ามันแต่ละชุดที่มันเอามาดิต้อยซื้อให้เป็นชาติแล้วทั้งสั้นเต่อ ทั้งเก่า มันยังเก็บเอามาใส่” “ผมมาเที่ยวทะเลนะครับไม่ได้มาเดินพรหมแดงจะได้เตรียมชุดหรู ๆ มา” “เออ...ไอ้ต๊ะพูดถูกนะต้อย..กูว่ามึงใจเย็น” “กูผลักใสไล่ส่งให้มันไปกินข้าวกับเขาแล้วกูยังจะปล่อยให้มันแต่งตัวตามยะฐากรรมอีกหรอว๊ะหวาน....ฮือ ฮือ” อยู่ ๆ พี่ต้อยก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นมาเสียอย่างนั้น “พี่ต้อย....ไม่ใช่อย่างนั้นครับ” “กูเป็นพี่ที่ใช้ไม่ได้เลย ฮือฮือ กูเป็นพี่ที่เห็นแก่ตัวมากเลยใช่มั้ยหวาน...ฮือ ฮือ ฮือ” “เฮ้ย....ต้อย...ใจเย็น...กูว่ามึงคิดมากไปปะ...ไปกันใหญ่แล้ว” “ต๊ะ......พี่ขอโทษ....พี่มันคิดถึงแต่ตัวเอง...ฮือฮือ” “ต้อย...พี่ว่าใจเย็นก่อน...แค่ไปกินข้าวเย็นแค่นี้”พี่นิดพยายามเข้าไปปลอบพี่ต้อยให้หยุดร้องไห้ “พี่เห็นแม่คุณพัดมั้ยท่านแต่งตัวด้วยผ้าซิ่นไหมแท้ ท่านเป็นผู้ดีทางเหนือแท้ ๆ เครื่องประดับของแท้ทั้งนั้นแล้วพี่ดูไอ้ต๊ะซิ.....มันมีอะไร....มีแต่เสื้อผ้าก็เก่า ๆเครื่องประดับสักชิ้นมันยังไม่มีติดตัวเลย”พี่ต้อยพูดไปสะอื้นไป “พี่ต้อย...พี่อย่าคิดมาก....เออ...” “เออ......ก็จริงนะ...ดูคุณแม่คุณพัดแล้วผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วการแต่งตัวก็บ่งบอกถึงชาติตระกูล แล้วถ้าไปนั่งในร้านอาหาร เขาจะมองยังไง” พี่หวานแทนที่จะห้ามกลับพูดเสริมขึ้นมาอีก เลยเหมือนการสาดน้ำมันเข้ากองไฟ “อืม...คุณพัดเองถึงแม้จะแต่งตัวลำลองสบายๆ แต่เท่าที่ดูจากชุดที่ใส่แล้วคิดว่าคงจะแบรนด์เนมทั้งนั้น” พี่สักอยู่นิ่ง ๆ แต่พอพูดยิ่งหนักเข้าไปอีก “เออ.....งั้นผมไม่ไปก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกคุณพัดเอง” “ไม่ได้”เสียงพี่ต้อยตวาดขึ้นมาเสียงดัง “เออ.......................” ผมมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที พี่ต้อยวิ่งเข้าไปในห้องนอนคว้ากระเป๋าถือกับกุญแจรถได้ก็กระชากแขนผมอย่างแรงจนทุกคนตกใจ พี่ต้อยดันผมขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถออกไปอย่างรวดเร็ว ***************************
, u" R$ T) F3 X1 ^& `4 M
Q$ [. |9 ?& f& D6 @7 S |