บทหนึ่งของชีวิต ตอน โลกมันกลม 4 โดย Orama เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเพราะมี FC ส่งข้อความมาหาว่าอยากให้เขียน “บทหนึ่งของชีวิต ตอนเจ้าบ่าวลองชุดแต่งงาน” ต่อ ผมเลยลองจินตนาการเขียนไปเรื่อย ๆ ไม่มีเส้นเรื่องไม่มีตอนจบ อาจจะหนักไปทางดราม่า มากกว่าบท 25+ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นภาคต่อ ที่ผมเขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง ตัวละคร พฤติกรรม สถานที่ และเหตุการณ์ในเรื่องเป็นเหตุการณ์สมมติ มิได้พาดพิงถึงองค์กร วิชาชีพ หรือกลุ่มบุคคลใด ๆ ใครไม่ชอบก็ผ่านไปได้เลย...เข้าใจตามนี้นะครับ ---------------------------------------------------- ผมกับพี่ต้อยออกไปประมาณ 30นาทีกลับมาพร้อมถุงใบใหญ่พี่ต้อยผลักให้ไปอาบน้ำทันที ผมเองอาบน้ำไม่ถึง 10 นาทีพี่ต้อยจัดการทั้งผมทั้งหน้าอย่างมืออาชีพ อีกไม่ถึง 10 นาที ผมเดินออกมาจากในห้องพวกพี่ ๆ ร้องโหแทบจะพร้อมกัน “โหต๊ะ.......สมแล้วที่คุณแม่คุณพัดบอกว่าแกเป็นเทพบุตร” เสียงพี่นิดพูดขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากในห้องด้วยแสลกสีดำ รองเท้าแบบลำรองสีเดียวกัน สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน ทับด้วยสูทเข้ารูปทรงผมที่พี่ต้อยเซ็ดให้อย่างสวยงาม “ราวกับคนละคนเลยต๊ะ...หล่อจริง ๆว่ะ” “พี่ก็เวอร์ไป...ว่าแต่พี่ต้อยไม่น่าสิ้นเปลืองเลยครับ” “สิ้นเปลืองตรงไหน...ว่าจะซื้อนาฬิกาให้มันด้วยมันไม่ยอมเอา” “แค่นี้พี่ก็หมดเยอะแล้วครับ...ไม่จำเป็นทั้งนั้น” “แต่พี่ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มมากเลยนะต๊ะ” พี่นิดยืนเอามือแตะคางแล้วเดินวนดูผม “พี่นิด....ผมอายเป็นนะครับ” “ไม่แปลกเลยว่ะต้อยที่คุณแม่คุณพัดจะหลงเสน่ห์ต๊ะ...ขนาดกูยังหวั่นไหวในความหล่อของมันเลย” “พี่หวานนนนนนนนน” ผมหันไปทางพี่หวาน “จริง ๆ ว่ะต๊ะเรื่องนี้พี่เห็นด้วยกับพี่หวาน” พี่สักพูดสำทับขึ้นอีกครั้ง “กูแต่งให้มันเองกูยังมองมันเพลินเลย” พี่ต้อยพูดเสริมขึ้นไปอีก “ก๊อก ก๊อก” “ใครมาหวานไปดูซิ” เสียงเคาะประตูทางด้านหน้า “เชิญค่ะคุณแม่...คุณพัด” คุณแม่นุ่งผ้าซิ่นไหมแบบทางเหนือสีน้ำตาลเข้มยกดอกใส่เสื้อแขนกระบอกเข้ารูปด้วยผ้าไหมพื้นสีครีมอ่อน ๆปักด้วยไหมตรงปลายแขนและชายเสื้อย่างสวยงาม ผมถูกรวบมวยต่ำแล้วปักด้วยปิ่นหยก สวมต่างหูหยกและกำไลหยกเข้าชุดกันใบหน้าถูกแต่งอ่อน ๆ อย่างสวยงาม ถือกระเป๋าสานใบเล็ก ๆ ใส่รองเท้าคัดชูส้นเตี้ย ส่วนคุณพัดสวมกางเกงแสลกสีกรม ใส่เสื้อเชิ้ตเข้ารูปสีชมพูอ่อนๆ เกือบขาว สวมทับด้วยสูทเข้ารูปสีเดียวกับกางเกง ผมแอบเห็นพวกพี่ ๆเดินไปซุบซิบกัน แล้วก็ยืนนิ่ง “แม่มาเร็วไปหรือเปล่าต๊ะ” “ไม่หรอกครับคุณแม่” “ไหน....แม่ดูใกล้ ๆ อีกทีซิ”ผมเดินไปยืนตรงหน้าแม่คุณพัด โดยแม่คุณพัดค่อย ๆยกมือที่สั่นเทาขึ้นมารูปแก้มผมเบา ๆ “โถพ่อคุณ....ตามหาจนเจอ...คงไม่หนีแม่ไปไหนอีกนะ”ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร และพี่ ๆทุกคนหันหน้าก็มองหน้ากันเลิกลัก “ไปกันหรือยังลูก” “ครับ” “งั้นแม่ขอยืมตัวต๊ะไปทานข้าวก่อนนะคะ...ว่าแต่พวกหนูไม่เปลี่ยนใจไปกับแม่หรอ” “ตามสบายเลยค่ะคุณแม่....เดี๋ยวพวกหนูก็จะออกไปเที่ยวเหมือนกัน”คุณพัดพาคุณแม่ไปที่รถขณะที่ผมกำลังจะปิดประตูได้ยินเสียงพี่ต้อยพูดกับพี่ ๆ “เห็นมั้ยหวาน...กูเดาอะไรไม่เคยผิดมึงเห็นคุณแม่กับคุณพัดแต่งตัวมั้ย” “เออ........กูยอม............” ************** คุณพัดขับรถพาเราสามคนมาถึงพัทยาเราเข้าไปทานอาหารที่ภัตาคารชื่อดังของเมืองพัทยา ส่วนใหญ่เป็นอาหารระดับเหลา ผมกับคุณพัดเดินประคองคุณแม่ซ้ายขวาทุกสายตาที่นั่งอยู่แล้วต่างหันมามองพวกเราเป็นตาเดียวกันดูคุณแม่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนคุณพัดเองก็ยิ้มจนแก้มแทบปลิมีแต่ผมที่ยังเป็นกังวล เพราะห้องอาหารแบบนี้ไม่เคยเข้า แล้วก็ไม่คิดจะเข้าด้วย เราได้โต๊ะมุมห้องที่จองไว้อาหารถูกทยอยออกมาเต็มโต๊ะ “ทานได้มั้ยต๊ะ” “ได้ครับ”ผมตักโน่นตักนี่ทีละนิดให้คุณแม่ทานพอ ๆ คำ ดูคุณแม่จะมีความสุขมากที่ผมได้ดูแล “ดูไว้นะตาพัด เวลาจะตักอาหารให้คนแก่กินมันต้องตักแบบไหน” “คราบคุณแม่” คุณพัดพูดเสร็จก็ยิ้ม พร้อมกับสบตาผมแววตาเป็นประกาย “คุณแม่จิบชาสักนิดนะครับแก้เลี่ยน” “ดีจ๊ะ” เราทานอาหารไปคุยกันไปถามกันไปส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนโดนถามมากว่าว่าทำอะไร ที่ไหน อยากทำอะไร ประมาณนี้ หลังทานอาหารมื้อค่ำแล้วเราขับรถตะเวนดูแสงสีตัวเมืองพัทยา “คุณแม่ดูเพลีย ๆ นะครับคุณพัดผมว่ากลับดีกว่ามั้ยครับ ท่านจะได้พักผ่อน” ผมแอบกระซิบคุณพัดเพราะเห็นคนแม่เผลอหาวหลายครั้ง “กลับนะครับ คุณแม่จะได้พักผ่อน” “แล้วต๊ะละลูกว่าไง” “ผมเองก็ไม่ถนัดแบบนี้หรอกครับกลับไปพักผ่อนก็ดีเหมือนกันครับ” “ตามใจต๊ะ...แล้วพรุ่งนี้ก่อนกลับมาหาแม่ก่อนได้มั้ย” “ได้ครับ” คุณพัดขับรถไปเรื่อย ๆแล้วหาทางกลับบังกะโลที่พัก ผมดูนาฬิกาหน้ารถประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆผมให้คุณพัดขับรถไปที่บังกะโลหลังที่คุณพัดพักเข้าไปส่งคุณแม่จนถึงห้องนอนโดยมีหลาน ๆ รับช่วงต่อ แล้วก็ขอตัวกลับ “ขอบคุณนะครับที่ดูแลคุณแม่เป็นอย่างดี....ดูคุณแม่ท่านมีความสุขมาก” “ไม่เป็นไรครับ.......” “เดี๋ยวผมเดินไปส่งครับ” “ไม่เป็นไรครับแค่นี้เอง...คุณพัดดูแลท่านเถอะครับ” “ตอนนี้ก็หมดหน้าที่ผมแล้วครับหลาน ๆ เขาดูแลต่อ” เราสองคนลงไปเดินริมชายหาดโดยถอดรองเท้าถือไว้ “พี่พงษ์มีฝาแฝด ชื่อพี่พันตอนประมาณ 3 ขวบพี่พันไม่สบายมากเป็นไข้ป่า คุณแม่กับพี่พงษ์ไม่อยู่พี่พันไม่ยอมไปหาหมอร้องหาแต่คุณแม่ตลอดเวลา” อยู่ ๆคุณพัดก็พูดขึ้น “ตอนนั้นผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำ” “ครับ” “สมัยนั้น...การเดินทางก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าทุกวันนี้กว่าคุณแม่จะมาถึง พี่พันก็สิ้นใจไปแล้ว” “หะ…………..” ผมเองพอได้ฟังถึงกับช็อค “คุณแม่กอดศพพี่พันไว้ 1 วันเต็มๆ นั่งโทษตัวเองตลอดที่ทิ้งลูกไว้ ร้องไห้คร่ำครวญกอดศพพี่พันแน่นไม่ยอมให้ใครแตะ ข้าวปลาไม่ยอมกินร่างกายที่อ่อนเพลียจากการเดินทางที่รีบเร่งบวกกับไม่ยอมกินข้าวกินปลา เลยทำให้คุณแม่ล้มพับไปด้วยความอ่อนเพลียพวกคุณพ่อเลยเอาศพพี่พันไปทำพิธี” “เออ.................” “คุณแม่ตื่นขึ้นมาอีกทีเหมือนคนบ้าคลุ้มคลั่งถามหาแต่พี่พันแล้วก็กล่าวโทษตัวเอง จนคุณหมอต้องให้ยาระงับประสาทคุณแม่ถึงสงบลงได้ช่วงอาทิตนึงที่จัดงานศพพี่พัน คุณแม่ได้แต่นอนนิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าจากฤทธิ์ยาที่คุณหมอให้หรือจากช็อกที่ต้องเสียพี่พันไปทำให้สมองไม่รับรู้อะไรจนกระทั่งงานศพพี่พันเสร็จสิ้น” “โถคุณแม่” “พอเสร็จจากงานศพพี่พันคุณพ่อก็พาคุณแม่ไปอยู่บ้านคุณลุงแล้วก็รื้อบ้านหลังเก่าทิ้งแล้วปลูกใหม่หมดเพื่อไม่ให้เหลือสภาพเดิม ๆ แต่คุณแม่ก็เหมือนจะไม่รับรู้อะไรอีกเลยจนอยู่มาอีกประมาณ 4-5ปี คุณแม่ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีผมคุณแม่อาการดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับเหมือนผมเป็นตัวแทนพี่พันแล้วก็มีน้องชายกับน้องสาวผมอีก” “ครับ” “วันแต่งงานพี่พงษ์ ผมยังเรียนอยู่ต่างประเทศและเป็นช่วงสอบปลายภาคพอดีเลยไม่สามารถลากลับมาเมืองไทยได้” “ครับ” “ผมกลับมาหลังจากพี่พงษ์แต่งงานไม่ถึงเดือนและอยู่เมืองไทยอีกไม่ถึงเดือนผมก็ต้องไปต่างประเทศกับพี่พงษ์อีกเพราะพี่พงษ์ได้ทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศพี่กาญจน์แฟนพี่พงษ์เลยขอไปเรียนต่อที่โน่นด้วย และผมก็เดินทางไปส่งพี่พงษ์กับพี่สะไภ้และอยู่ที่โน่นต่ออีกสองสามเดือน” “ครับ” “ผมกลับมาก็เห็นรูปคุณต๊ะในอัลบั้มในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวพี่พงษ์แต่ที่แปลกใจคือคุณแม่ขยายรูปคุณต๊ะกับพี่พงษ์บานใหญ่ใส่กรอบอย่างสวยงามแล้วแขวนไว้ในห้องนอนของท่าน..ผมคิดว่าคุณต๊ะต้องเป็นเป็นเพื่อนสนิทมากๆ ของพี่พงษ์ แล้วคุณแม่ก็รักมากถึงได้ขยายรูปใหญ่มาแขวนที่ห้องผมเองก็ไม่ได้ถามเหตุผลอะไรมาก เพราะตอนนั้นก็ยังยุ่ง ๆ ลุ้น ๆเรื่องผลการเรียนที่ต่างประเทศ ตั้งแต่กลับมาก็มีเพื่อน ๆ สมัยเด็ก ๆ รวมทั้งญาติๆ แวะมาคุยอย่างต่อเนื่องไม่ขาดเลยลืมถาม” “ครับ” “วันนี้หลังจากที่คุณแม่เจอคุณต๊ะแล้วกลับไปท่านได้เล่าให้ผมฟังว่าในวันที่พี่พงษ์แต่งงานตอนที่ท่านนั่งอยู่ที่โซฟาในงานแต่งวันนั้นพอเห็นคุณต๊ะใส่ชุดเหมือนกับพี่พงษ์เดินเข้าไปหาท่านท่านเผลอเรียกชื่อพี่พงษ์กับพี่พัน ท่านบอกตอนนั้นกลั้นหายใจจนหัวใจท่านแทบหยุดเต้นท่านจ้องหน้าคุณต๊ะ ท่านบอกว่าเหมือนพี่พันกลับมาหาท่านแล้ว” “เออ....ครับ” “วันนั้นท่านอยากจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปกอดคุณต๊ะให้แน่นๆ แต่กลัวพี่พงษ์น้อยใจ และกลัวคุณต๊ะจะตกใจด้วย เพราะเพิ่งเห็นกันครั้งแรกคุณพ่อเหมือนรู้ว่าแม่คิดอะไร รีบห้ามไว้ก่อน ในคืนงานเลี้ยงท่านมองหาคุณต๊ะตลอด ถามใครไปทั่วแต่ก็ไม่มีใครเห็นหลังแต่งงานพยายามถามพี่พงษ์ตลอดว่าติดต่อคุณต๊ะได้หรือยัง เพราะท่านเชื่อว่าคุณต๊ะคือพี่พันแต่ช่วงนั้นพี่พงษ์ยุ่งเพราะมัวแต่เดินสายไปขอบคุณญาติๆทั้งผู้ใหญ่ฝ่ายของพี่กาญจน์ และฝ่ายผม รวมทั้งเรื่องสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศเลยไม่ได้ตามหาคุณต๊ะอย่างเต็มที่” “ครับ” “ผมเองก็ไม่เคยรู้ว่าคุณแม่เก็บเรื่องทุกข์ใจไว้ขนาดนี้ทุกวันที่อยู่ด้วยกันก็ดูเหมือนท่านปกติ” “ครับ” “วันนี้ตอนที่คุณแม่เห็นคุณต๊ะผมเห็นแววตาคุณแม่เป็นประกาย ดูสดชื่น มีความหวัง เหมือนเจอคนที่เฝ้ารอมานานแสนนานผมเองก็ทำอะไรแทบไม่ถูก สั่นไปหมด ยืนแทบไม่อยู่ จับต้นชนปลายไม่ถูก” “ครับ” “ผมเห็นคุณแม่ร้องไห้สะอื้นจนตัวโยนเท่าที่เกิดมาไม่เคยเห็นท่านเป็นอย่างนี้ ตอนนั้นผมถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งข้างๆ ทำอะไรไม่ถูก แต่พอเงยหน้าดูคุณแม่ท่านกลับยิ้มอย่างมีความสุข ทั้งที่น้ำตานองเต็มหน้า” “ผมไม่ทันสังเกต” “ผมเองก็สงสัยว่าคุณต๊ะเป็นใคร...ทำไมถึงมีอิทธิพลต่อคุณแม่ขนาดนี้” “โถคุณแม่...ผมไม่เคยรู้เรื่องเลยครับ” “พวกผมเองก็ไม่เคยมีใครรู้เรื่อง ท่านก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเพราะกลัวลูกหลานจะน้อยใจและเป็นกังวล จนเมื่อตอนบ่ายหลังจากคุณต๊ะไปแล้วท่านพยายามเรียบเรียงแล้วค่อยๆ เล่าให้ผมและหลาน ๆ ฟังอย่างช้า ๆ” “ครับ” “คุณต๊ะเชื่อมั้ยครับท่านเล่าไปเอารูปใบนั้นขึ้นมาจูบ ทั้งยิ้ม ทั้งร้องไห้ ทั้งหัวเราะท่านเอารูปวางบนฝ่ามือแล้วเอามืออีกข้างค่อย ๆ ลูบบนรูปเบา ๆ ยิ้มทั้งน้ำตาสลับกับมองออกไปข้างหน้าแววตาท่านมองออกไปไกลจนผมเองตกใจ” “ครับ” “ผมเองก็เพิ่งเห็นรูปใบนั้นครั้งแรกว่าท่านเคลือบอย่างดีแล้วพกในกระเป๋าเงิน” พอถึงหน้าบังกะโลผมเราหยุดเดิน คุณพัดหันมาจับสองมือผมเขย่า ก่อนที่จะรวบตัวผมเข้าไปกอดแน่น “ขอบคุณนะครับคุณต๊ะ ขอบคุณอีกครั้งขอบคุณที่ดูแลคุณแม่ผม ขอบคุณที่ทำให้ท่านมีความสุข” “เอออ.......ครับ” ผมเอามือขึ้นมาเกาะบ่าคุณพัด “อย่าทิ้งเราไปไหนอีกนะครับพี่พัน”ผมรู้สึกว่ามีน้ำอุ่น ๆ ไหลงลงที่บ่าผมพร้อมกับคุณพัดสะอื้นขึ้นเรื่อย ๆ คุณพัดกอดผมแน่นขึ้นจนผมหายใจแทบไม่ออก “ผมสัญญาครับ” ทั้งที่ผมไม่ใช่พี่พัน แต่ผมเผลอพูดรับปากออกไปโดยไม่รู้ตัว คุณพัดคลายมือออกจากผมแล้วจับไหล่สองข้างผมไว้แน่น “ขอบคุณอีกครั้ง” คุณพัดพูดเสร็จก็ค่อย ๆ หันหลังเดินกลับไปที่บังกะโล ผมยังคงยืนนิ่งหันหน้ามองดูท้องทะเลที่เวิ้งว้างแต่สมองผมตอนนี้มันตื้อไปหมด ไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะเป็นแบบนี้แสงจันทร์ที่กระทบผิวน้ำระยิบระยับ เหมือนกำลังหยอกล้อกับชะตาชีวิตผม ผมค่อย ๆเดินขึ้นบังกะโล พอเปิดประตูเข้าไปไฟสว่างพรึบเล่นเอาผมตกใจ “เฮ้..................มีกอดลากันด้วยโว้ยยยยยยยยยยยย” พี่นิดแซวก่อนคนแรก ! @/ s& {; F: E# P! Q
1 a4 O8 H8 o; H
( }6 h) `% c( c% P0 S% t k |