แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2024-12-23 12:32
3
ความต่างของวัย
นับจากวันที่เจ้าทัพก้าวเข้ามาในหมู่บ้านชุมโจรแห่งนี้ เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าสิบปีแล้ว เขาได้อาศัยอยู่ใต้ชายคาของเสือสมานแม้ไม่มีสายเลือดเชื่อมโยง แต่เจ้าทัพกลับมองเสือสมานเป็นเสมือนพ่อแท้ๆอีกทั้งยังมีน้องสองคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต โดยเฉพาะขวัญข้าวที่เจ้าทัพดูจะเอ็นดูเป็นพิเศษ
เหตุผลส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะแม่รัมภาหญิงสาวผู้มีเมตตาและใจดีตั้งแต่วันแรกที่เขาก้าวเข้ามาแม้ตอนนั้นเจ้าทัพจะยังเด็ก แต่เขาก็จดจำได้ดีว่าแม่รัมภาเลี้ยงดูเขาอย่างอบอุ่นมอบความรักและการดูแลราวกับลูกในไส้ เป็นเหตุให้เจ้าทัพยอมรับและเรียกเธอว่า"แม่" อย่างเต็มใจจนกระทั่งภาพครอบครัวเดิมที่แท้จริงเลือนรางไปจากความทรงจำ
ด้วยความที่ขวัญข้าวเติบโตขึ้นมาโดยไร้ซึ่งแม่แท้ๆคอยดูแลตั้งแต่วัยเยาว์ เจ้าทัพจึงคอยใส่ใจดูแลไม่เคยห่าง ทั้งเป็นเพื่อนเล่นป้อนข้าวป้อนน้ำ และแม้แต่ในยามเจ็บป่วย เขาก็จะคอยเฝ้าดูแลเช็ดตัวให้จนกว่าน้องจะหายดี เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี
กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปทั้งสองเริ่มเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านของวัย เจ้าทัพอายุได้ราว 17 ปีเศษขณะที่ขวัญข้าวก็ย่างเข้าสู่วัยแรกรุ่น ร่างกายและจิตใจของพวกเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย
เจ้าทัพมีรูปร่างกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่แสดงถึงความแข็งแรงจากการทำงานหนักในไร่และป่า หน้าตาหล่อเหลาคมเข้มผิวสีน้ำผึ้งที่กรำแดดมาตั้งแต่เด็กยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้ดูโดดเด่น ดวงตาสีดำสนิทคมกริบเหมือนนักล่า แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนเมื่อมองคนในครอบครัว เส้นผมดำขลับมักปรกหน้าผากเล็กน้อย ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาจากการตรากตรำ เสื้อผ้าของเขาแม้เรียบง่ายและออกจะมอมแมมจากการทำงานแต่ ท่วงท่ากลับเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและพลังอันแข็งแกร่ง สมกับการเติบโตมาในหมู่บ้านชุมโจร ที่เขาต้องแข็งขันทั้งในวิชาการต่อสู้และการลงแรงในไร่นาอย่างไม่ย่อท้อ
เจ้าทัพไม่เพียงแต่มีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้นแต่จิตใจก็แกร่งไม่แพ้กันด้วยการใช้ชีวิตในชุมโจรที่เต็มไปด้วยการต่อสู้และความท้าทายเขาจึงเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองและคนที่เขารักมาตั้งแต่เล็กความเป็นพี่ชายที่คอยดูแลน้องทั้งสอง โดยเฉพาะขวัญข้าวทำให้เขายิ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้น
เวลาเดินตลาดหรือออกไปในชุมชนรอบๆเจ้าทัพมักจะได้รับสายตาชื่นชมจากชาวบ้านเสมอ ทั้งชายที่เห็นเขาเป็นแบบอย่างในความแข็งแรงและหญิงสาวที่หลงใหลในความหล่อเหลาและท่วงท่าที่ดูมั่นคงแต่เจ้าทัพไม่เคยให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ
แม้เจ้าทัพจะดูเงียบขรึมในสายตาคนอื่น แต่เมื่ออยู่ในบ้านหรืออยู่กับน้องๆ เขากลับกลายเป็นพี่ชายที่อบอุ่น อารมณ์ดีและเต็มใจเล่นสนุกเพื่อเรียกรอยยิ้มจากน้องเสมอ เขามักอุ้มชบาขึ้นขี่บ่าพาขวัญข้าวไปเก็บผลไม้ในป่า หรือแม้แต่สอนวิธีทำกับดักเล็กๆให้ขวัญข้าวได้ฝึกฝนและเรียนรู้
“ทำแบบนี้นะขวัญ เชือกต้องมัดให้ตึงอย่าหย่อน”เจ้าทัพบอกเสียงหนักแน่น ขณะที่มือของเขาปรับเชือกให้เข้าที่และอธิบายวิธีการทำกับดักให้ขวัญข้าวฟัง ขวัญข้าวพยักหน้าอย่างตั้งใจ แม้จะยังทำไม่ค่อยเก่งแต่ก็เต็มใจเรียนรู้จากพี่ชายที่ทำให้ทุกเรื่องดูง่ายไปหมด
“พี่ทัพทำแบบนี้ไม่ยากเลย”ขวัญข้าวบอกเสียงใส ขณะที่พยายามทำตาม แต่ก็ยังมีผิดบ้าง
เจ้าทัพยิ้มให้กับความพยายามของน้องก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ "ไม่เป็นไร ขวัญลองใหม่อีกครั้ง เราต้องฝึกบ่อยๆเดี๋ยวก็เก่งเอง"
“ขวัญได้ยินคนในหมู่บ้านเขาพูดกันว่าอีกไม่กี่วันพ่อจะพาพี่ไปด้วย ครั้งนี้จะออกปล้นจริงๆหรือจ๊ะ” ขวัญข้าวถามด้วยสีหน้าหนักใจ ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล
เจ้าทัพเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มให้กับน้องอย่างอ่อนโยน “ใช่แล้วล่ะ นี่เป็นการออกปล้นครั้งแรกของพี่ ดังนั้นพี่จะต้องรอบคอบและไม่ทำให้คนอื่นเสียแผน”
ขวัญข้าวก้มหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนจะถามออกไปอีกด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “มันอันตรายมั้ยจ๊ะ ขวัญไม่อยากให้พี่ไปเลย”
เจ้าทัพมองไปที่น้อง ก่อนจะยิ้มให้เขาด้วยความมั่นใจ “ไม่หรอก พี่มั่นใจ ยังไงซะพี่ก็จะมีชีวิตรอดกลับมาอยู่ข้างๆขวัญแน่นอนไม่ต้องห่วงนะ อยู่บ้านก็ดูแลน้องดูแลน้าวิไลให้ดีนะขวัญ พี่ไปไม่นานก็กลับ” เขาพูดพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวน้องอย่างอ่อนโยน เพื่อให้ขวัญรู้สึกสบายใจขึ้น
“อีกหน่อยถ้าขวัญโตขึ้นเราจะได้ออกปล้นด้วยกันนะ พี่จะระวังหน้า ขวัญคอยระวังหลัง เป็นไง ดีมั้ย?ต่อไปขวัญต้องขยันซ้อมให้เก่งๆ จะได้ไม่ต้องห่วงว่าพี่จะมีอันตรายเพราะขวัญจะคอยช่วยระวังหลังให้พี่ยังไงล่ะ”
แม้ทัพจะพูดเช่นนั้น แต่เขาก็ยังสังเกตเห็นสีหน้ากังวลของคนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าทำกับดักที่เขาสอนอย่างจิตใจเหม่อลอย เหมือนว่าคำพูดเมื่อครู่ก็คงจะเลือนหายไปในอากาศ เจ้าทัพเลยลุกเดินอ้อมไปด้านหลัง ก่อนจะนั่งลงแล้วดึงตัวขวัญข้าวมาไว้ในอ้อมอกหนา คางของเขาเกยอยู่ที่ไหล่ของน้องชาย ขวัญสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อมือใหญ่ของทัพรวบเอวเอาไว้แน่น
“พะ... พี่ทัพ?จะทำอะไรขวัญ?!” ขวัญถามด้วยเสียงหวาดๆ
ทัพยิ้มให้กับความตกใจของน้อง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องห่วง พี่ไม่กล้าไปไหนนานๆหรอกนะ เดี๋ยวเจ้าขวัญคนดีของพี่จะเหงา” ทัพกอดน้องให้แน่นขึ้น ราวกับต้องการยืนยันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะอยู่เคียงข้างเสมอ
“อื้อ ปล่อยขวัญเลยนะ!”ขวัญดิ้นเล็กน้อยในอ้อมกอดของพี่ชาย แต่ทัพกลับยิ้มขำ ไม่ยอมปล่อยน้องง่ายๆ
“ไม่เอานะ ขวัญ ห้ามดิ้น”ทัพพูดพร้อมกอดน้องให้แน่นขึ้น แต่ก็ไม่แรงจนทำให้ขวัญรู้สึกอึดอัด
“เจ้าขวัญ!ช่วยดูชบาแทนน้าที เดี๋ยวน้าจะออกไปเก็บผักในสวน” เสียงน้าวิไลเรียกจากระยะไกล ทำให้เจ้าทัพรีบปล่อยมือจากขวัญทันที เขาเบือนหน้าหนีไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่ามีอะไรแปลกไปในสายตาของน้าวิไล
ขวัญมองพี่ชายด้วยสายตาที่ยังคงสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่พยักหน้าแล้วตอบรับคำสั่งของน้าวิไล
“ได้จ่ะ น้าวิไล” ขวัญตอบรับด้วยเสียงใส ก่อนจะลุกขึ้นจากตักของเจ้าทัพที่นั่งอยู่ในท่าทางเรียบเฉย ราวกับเสียดายอะไรบางอย่าง แล้วเดินไปยังบ้านของน้าวิไลซึ่งอยู่ไม่ไกล เมื่อไปถึงก็พบว่าน้องชบากำลังนั่งเล่นตุ๊กตาที่ทำจากผ้าด้วยท่าทางตั้งใจ แต่พอเห็นขวัญเดินมา น้องชบาก็ยิ้มหวานให้และทิ้งตุ๊กตาไว้ข้างตัว
“ขวัญ จะเล่นกับชบาไหม?”น้องชบาถามพร้อมยิ้ม
ขวัญยิ้มตอบรับและนั่งลงข้างๆแล้วดึงตุ๊กตาขึ้นมาเล่นกับน้อง “เล่นกันไหมล่ะชบาขวัญจะเป็นพ่อหนุ่มขี่ม้าพาน้องชบาหนีไปจากข้าศึก”ขวัญพูดพร้อมทำท่าขี่ม้าอย่างสนุกสนาน ชบาเห็นก็ยิ้มตามอย่างร่าเริง
ทั้งสองเล่นกันไปสักพักจนกระทั่งเสียงของน้าวิไลตะโกนเรียกขวัญดังขึ้นอีกครั้ง“ขวัญ! ระวังหน่อยนะลูก ดูชบาด้วย อย่าปล่อยให้น้องไปเล่นอยู่แถวๆ นอกบ้านนะ”
ขวัญพยักหน้ารับคำ “ได้จ่ะ น้าวิไลไม่ต้องห่วง” แล้วเขาก็หันมาทำท่าทางให้ชบาหัวเราะเสียงใส ก่อนจะกลับมานั่งเล่นกับตุ๊กตาอย่างสนุกสนานอีกครั้ง
เมื่อถึงวันออกปล้น ทัพเตรียมตัวตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ เขาเตรียมอาวุธครบมือ ทั้งมีดและกระสุนปืนเพื่อให้พร้อมสำหรับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน พร้อมทั้งเช็คสภาพให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ชุดที่เขาสวมก็ทะมัดทแมงเหมาะกับการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือผ้าคลุมที่ใช้ปกปิดใบหน้า เพื่อให้เขาสามารถซ่อนตัวได้อย่างมิดชิดหลีกหนีจากการจับกุม
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขาที่จะได้ออกปล้นกับเสือสมาน โดยเขาใช้ฉายาในการออกปล้นว่า “พยัคฆ์ดำ” ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างชื่อให้กับตัวเองในโลกมืดแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยอันตรายที่รอเขาอยู่เบื้องหน้า
เขาเหลือบมองไปที่อาวุธที่เตรียมไว้ บางครั้งเขารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่การออกปล้น แต่มันคือการพิสูจน์ตัวตน หลังจากที่ทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักทั้งในป่าและในการประลองต่อสู้รวมถึง การวางแผนปล้นที่ไร้ร่องรอยที่จะตามไปถึง
“ต้องไม่หวั่นไหว...” เขาพึมพำกับตัวเองพร้อมยิ้มมุมปากแล้วเดินออกจากบ้าน ท่ามกลางความมืดของยามค่ำคืน
โดยหารู้ไม่ว่า ขวัญข้าวเองก็แอบตามไปส่งเจ้าทัพแบบเงียบๆก่อนจะถึงจุดนัดรวมพล เจ้าทัพเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาก้าวเท้าช้าลงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่ในที่สุด ขวัญข้าวที่แอบตามมาไม่ทันระวัง เลยเดินชนหลังคนพี่อย่างจังจนล้มลงไปทันที
“โอ้ยย..” ขวัญร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปและเห็นเจ้าทัพยืนขมวดคิ้ว กอดอกอยู่ในท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ขวัญข้าวรีบลุกขึ้นยืนทันที พยายามทำตัวให้ดูไม่ตื่นเต้นและพยายามหาคำแก้ตัว แต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าทัพที่จดจ้องเขาแบบไม่วางตา
“พี่ทัพ... ขวัญขอโทษ”ขวัญข้าวพูดเสียงแผ่ว พลางก้มหน้าหลบสายตาของพี่ชาย
เจ้าทัพยืนนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆแล้วมองไปที่ขวัญข้าวที่ยืนตัวสั่นอยู่ต่อหน้า
“ตามพี่มาทำไม ขวัญ?”เจ้าทัพถามด้วยน้ำเสียงต่ำ แต่ไม่แข็งกร้าว
ขวัญข้าวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นและสบตากับเจ้าทัพอย่างตั้งใจ
“ขวัญ... ขวัญห่วงพี่”เขาตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ เจ้าทัพและพูดต่อ“ขวัญไม่อยากให้พี่ไป... กลัวว่า...”
เจ้าทัพยิ้มมุมปากยกมือขึ้นลูบหัวขวัญข้าวอย่างเบามือ
“พี่บอกแล้วไง ไม่ต้องห่วงพี่จะกลับมาแน่นอน” เขาพูดเสียงนุ่ม ก่อนจะยิ้มให้ขวัญข้าวอย่างอบอุ่น“อยู่นี่แหละ ดูแลบ้าน ดูแลน้าวิไลกับน้องให้ดีนะ พี่จะรีบกลับมาให้ไว”
ขวัญข้าวพยักหน้ารับ แต่ในใจยังคงไม่สบายใจ เจ้าทัพเองก็รู้ดีว่าขวัญข้าวเป็นห่วงเขามากแค่ไหนแต่ก็ต้องหักห้ามใจตัวเอง แม้จะอยากดึงน้องเข้ามากอดเพื่อปลอบใจ แต่ด้วยเวลาอันกระชั้นชิดทำให้เขาได้เพียงแค่ร่ำลากันด้วยลมปากเท่านั้น
“ขวัญจะรอพี่กลับมา”
-------------------------------- ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ คอมเม้นต์พูดคุยเป็นกำลังใจกันได้ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านฮ้าบบบ
|