แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-1-4 22:49
12 ของใครใครก็รัก
“ปล่อยขวัญได้แล้วพี่ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น”ขวัญเอ่ยพลางพยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนของเจ้าทัพ ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย
“อืม... พี่ขอกอดเสียหน่อยนะเจ้า”เจ้าทัพตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน รั้งขวัญไว้แน่นขึ้น
ทั้งสองหยอกเย้ากันอย่างเป็นธรรมชาติราวกับคู่ข้าวใหม่ปลามัน ความสนิทสนมที่เคยดูเหมือนมีเส้นกั้นบางๆบัดนี้กลับกลายเป็นความใกล้ชิดที่ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้อีก
ขวัญที่เคยลังเลใจบัดนี้ยอมเปิดหัวใจให้เจ้าทัพก้าวเข้ามาอย่างเต็มใจ ปิดประตูลงกลอนสนิทแน่นไม่ปล่อยให้ใครหรือสิ่งใดแทรกเข้ามาเจ้าทัพเองก็เหมือนตกอยู่ในวังวนความรักของน้องจนไม่อาจถอนตัวได้ วันๆเขามักจะขลุกอยู่กับขวัญเสมอ แทบไม่ได้เหยียบเรือนใหญ่จนคนในเรือนเริ่มสังเกต
“พี่ทัพนี่ไม่ละอายบ้างหรือไง วันๆเอาแต่ติดขวัญจนไม่ยอมไปไหนเลย” ขวัญแกล้งบ่น แต่ดวงตาที่มองเจ้าทัพกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“พี่ไม่ละอายหรอก จะอายทำไมในเมื่อใจพี่มันเป็นของขวัญไปหมดแล้ว” เจ้าทัพตอบพร้อมยิ้มกว้างก่อนจะดึงขวัญเข้ามากอดอีกครั้ง
“เฮ้อ... จะรักกันมากไปแล้วนะพี่”ขวัญพูดพลางพยายามกลั้นยิ้ม แม้ในใจจะอบอุ่นจนแทบล้น
“ปล่อยเลย เดี๋ยวขวัญจะไปล้างตัวเสียหน่อยพี่เล่นรักขวัญทั้งคืนแบบนี้ ไม่มีงานมีการทำหรืออย่างไรกัน”เขาพูดพลางทำเสียงกระเง้ากระงอด
“ก็พี่คิดถึงเมียพี่นี่ จะให้ไปไกลๆได้อย่างไร” เจ้าทัพตอบกลับอย่างหน้าตาย
“พอเลยๆ แต่ละคำของพี่ หวานจนเลี่ยน”ขวัญพูดด้วยน้ำเสียงระอา แต่ดวงตาที่แอบเหลือบมองเจ้าทัพกลับฉายแววชอบใจ
หลังจากหยอกล้อกอดเกี้ยวกันอยู่เนิ่นนานขวัญที่สามารถสลัดหลุดจากอ้อมแขนของเจ้าทัพได้ก็ก้าวออกจากเรือนตรงไปยังลำธารใกล้เคียงเพื่อชำระร่างกาย แสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าสาดลงมากระทบผิวขาวเนียนของขวัญ ทำให้ดูเปล่งประกายราวกับหยกที่เปียกน้ำเส้นผมดำขลับที่เปียกชุ่มไหล่ไหลลงมาปกคลุมใบหน้าบางส่วนยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เขาดูอ่อนหวานแต่ก็แฝงไว้ด้วยความดึงดูดที่ไม่อาจละสายตาได้
เจ้าทัพที่เดินตามมาหยุดยืนมองอีกฝ่ายอยู่ริมลำธารดวงตาคมจับจ้องภาพตรงหน้าราวกับต้องมนต์ เขาแทบไม่อาจละสายตาได้เหมือนขวัญเป็นภาพวาดที่งดงามที่สุดในโลก
“จะมองอะไรนักหนา เดี๋ยวตาเสียกันพอดี”ขวัญหันมามองเจ้าทัพพร้อมพูดกระเซ้า แต่ในใจกลับรู้สึกเขิน
“มองเมียตัวเอง ไม่ต้องขออนุญาตใครหรอก”เจ้าทัพพูดพลางก้าวลงไปในน้ำ
ขวัญเบิกตาเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เจ้าทัพก็โอบเอวเขาไว้แน่นร่างกายอบอุ่นของอีกฝ่ายสัมผัสกับผิวเย็นของเขา ทำให้ขวัญสะดุ้งเล็กน้อย
“ปล่อยสิพี่ เดี๋ยวใครมาเห็น”ขวัญพูดพลางดิ้นเบาๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก
“ไม่ปล่อย ใครจะมาเห็น ก็พี่อยู่กับขวัญแค่สองคน”เจ้าทัพพูดพร้อมกับกดจมูกลงไปบนแก้มของขวัญอย่างแกล้งๆ
“เจ้าเล่ห์นักนะ” ขวัญพูดพลางพยายามทำหน้าดุแต่ดวงตากลับฉายแววละมุน
เจ้าทัพหัวเราะในลำคออย่างพอใจก่อนจะกระชับวงแขนที่โอบรอบร่างอีกฝ่ายให้แน่นขึ้นเล็กน้อย“เจ้าเล่ห์กับขวัญคนเดียวเท่านั้นแหละ”
ขวัญได้ยินดังนั้นก็เผลอก้มหน้างุดซ่อนรอยยิ้มที่เริ่มระบายขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติกลับสั่นไหวเหมือนจะหลุดออกมา
“พี่นี่...” ขวัญพูดเสียงแผ่วพลางผลักไหล่ของเจ้าทัพเบาๆ เพื่อคลายอ้อมกอด แต่กลับถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสจับมือไว้แทน
“พอแล้ว พี่รักขวัญจริงๆไม่ได้เจ้าเล่ห์หรอก” เจ้าทัพพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่แฝงความอ่อนโยน
ขวัญช้อนสายตาขึ้นมองเขาดวงตาคู่นั้นฉายแววมั่นคงจนขวัญไม่อาจโต้แย้งได้ ราวกับทุกคำพูดที่เอ่ยออกมาถูกส่งตรงจากหัวใจ
บ่ายแก่ๆ ของวันนั้นเสียงลั่นระฆังดังขึ้นก้องไปทั่วเรือนใหญ่เป็นสัญญาณเรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ลานกว้าง ท่ามกลางสายลมร้อนที่พัดผ่านเหล่าลูกน้องและคนสนิทของเสือสมานทยอยเดินมาพร้อมอาวุธประจำตัวในมือ บรรยากาศเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นปนความคาดหวัง
ขวัญและเจ้าทัพเดินมาถึงลานด้วยกันทั้งสองดูสงบนิ่งราวกับคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดีโดยเฉพาะขวัญที่แม้จะดูไม่เด่นเท่าเจ้าทัพแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวหรือกังวลแม้แต่น้อยเขาเคยร่วมปล้นกับพ่อและพี่ชายมาก่อน และการออกปล้นครั้งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา
เมื่อทุกคนมาพร้อมเสือสมานในชุดดำทะมัดทะแมงก็ก้าวขึ้นมายืนบนแท่นไม้กลางลานเขากวาดตามองกลุ่มคนตรงหน้าด้วยสายตาคมกริบก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
“เอาล่ะ ทุกคนมาพร้อมกันแล้วใช่ไหม”
เสียงของเสือสมาน ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรและพ่อของเจ้าทัพกับขวัญก้องกังวานและเรียกความสนใจจากทุกคนในทันที
“อีกสามวันข้างหน้า เราจะออกปล้นครั้งใหญ่และครั้งนี้เราต้องเดินทางไกลหน่อย เป้าหมายคือบ้านของเศรษฐีใหญ่ที่อยู่ทางเหนือขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้าโกงชาติ สะสมทรัพย์สมบัติมากมายไว้ในคฤหาสน์แต่ไม่เคยแบ่งปันให้ใคร ครั้งนี้เราจะทำให้มันรู้จักคำว่า ‘แบ่งปัน’ กันเสียบ้าง”เสือสมานพูดพร้อมรอยยิ้มเยาะ
เสียงฮือฮาดังขึ้นในกลุ่มลูกน้องขวัญยืนฟังนิ่งๆ ในขณะที่เจ้าทัพยืนตรงด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“แต่การเดินทางครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งเสบียง อาวุธ และร่างกาย ใครยังไม่พร้อม รีบจัดการให้เสร็จในสองวันพวกเราจะไม่ยอมให้มีข้อผิดพลาด”
เสือสมานหยุดเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเจ้าทัพ“เจ้าทัพ เอ็งคือหัวใจสำคัญของงานนี้วิชาและฝีมือของเอ็งพ่อมั่นใจว่าไม่มีใครเทียบได้ แต่พ่ออยากให้เอ็งระวังตัวอย่าประมาทเด็ดขาด”
เจ้าทัพพยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น“พ่อวางใจ ฉันจะทำให้งานนี้สำเร็จลุล่วง ไม่มีที่ติ”
เสือสมานหันมามองขวัญบ้างสายตาที่ดูอ่อนลงเล็กน้อย “ขวัญ เอ็งเองก็สำคัญงานนี้เอ็งต้องไปช่วยพี่ของเอ็งอีกแรง ดูแลกันและกันให้ดีพ่อฝากชีวิตของพวกเอ็งไว้ในมือของกันและกัน”
ขวัญยิ้มบางๆ ก่อนพยักหน้ารับ“ไม่ต้องห่วงพ่อ ขวัญจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
“ดี เอาล่ะ เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามวันเราจะออกเดินทาง!”
เสียงประกาศของเสือสมานก้องกังวานลูกน้องต่างแยกย้ายไปจัดการสิ่งที่ต้องเตรียม ขวัญและเจ้าทัพเดินเคียงข้างกันออกจากลาน
เมื่อทุกคนแยกย้ายเจ้าทัพและขวัญเดินเคียงข้างกันออกจากลานเจ้าทัพหันไปมองขวัญแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดล้อเลียน “ขวัญดูไม่ตื่นเต้นเลยนะหรือว่าเก่งจนชินแล้ว”
ขวัญหัวเราะเบาๆ “แค่ปล้นเศรษฐีคนหนึ่งเองขวัญไม่กลัวหรอก อีกอย่าง... ขวัญก็มีพี่คอยอยู่ข้างๆ ใครจะกล้าทำอะไร”
เจ้าทัพหัวเราะตาม“พูดแบบนี้พี่ค่อยสบายใจหน่อย แต่ขวัญก็ระวังตัวด้วยถึงพี่จะเก่งแค่ไหนก็ไม่ได้อยากให้เจ้าขวัญของพี่เจ็บตัว”
ขวัญพยักหน้ารับเบาๆ “พี่ก็เหมือนกันนะขวัญจะคอยระวังหลังให้พี่เอง”
เจ้าทัพยิ้มกวนๆ ก่อนจะพูดกับขวัญ“งั้นรีบกลับเรือนกันเถอะ”
ขวัญหันมามองอย่างสงสัย“หืม...ยังหัววันอยู่เลยนะพี่ รีบกลับไปทำไม”
เจ้าทัพเดินชิดขวัญและยิ้มกรุ้มกริ่ม“เหลือเวลาแค่ไม่กี่วันเอง พี่อยากทำเรื่องแบบนั้นอีก...”
ขวัญหยุดเดินทันที แล้วหันมาจ้องตาพี่ชายอย่างขัดใจ“พอเลยพี่! ไม่ได้ยินที่พ่อพูดหรือไง ว่าให้เก็บแรงไว้”
เจ้าทัพหยุดยิ้มแล้วแกล้งทำหน้าบูด“ใจร้ายจังเลยขวัญ กลับถึงเรือนเมื่อไหร่โดนแน่”
ขวัญทำท่าจะเดินหนี แต่ก็หันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ “ว่าอะไรนะพี่ทัพ ขวัญได้ยินนะ”
เจ้าทัพทำเป็นยิ้มไม่รู้เรื่องแล้วแกล้งหันไปมองท้องฟ้า“ไม่มีอะไรหรอกจ้า”
ขวัญแกล้งขยับเข้าใกล้แล้วยิ้มหยิกแก้มพี่ชาย“ฮึ...รู้ทันนะ”
“คนบ้า...”ขวัญพูดพร้อมกับใช้สายตามองไปที่สาวๆ ที่มองพวกเขาตาเป็นมัน“ไม่ไปเที่ยวเล่นกับสาวๆ พวกนั้นแล้วหรอ”
เจ้าทัพยักไหล่และยิ้มขำ “ถ้าไปจริงพี่คงได้หัวแตกเป็นแน่”
“ถ้ากล้าก็ลองดูสิ”ขวัญตอบกลับด้วยเสียงท้าทาย พร้อมกับยิ้มกวนๆ ราวกับรู้ดีว่าเจ้าทัพไม่มีทางไป
เจ้าทัพมองขวัญด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือขวัญเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่จะไปไหนได้อีกล่ะก็เมียพี่น่ารักขนาดนี้”
ขวัญมองพี่ชายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่ก็ยังแกล้งทำท่าทางขรึมๆ “ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าคนอื่นจะเห็นยังไง แต่ถ้าขวัญรู้ล่ะก็...”
เจ้าทัพหัวเราะเบาๆ แล้วดึงขวัญเข้ามาใกล้“ไม่ต้องห่วง คนเดียวในใจพี่มีเพียงเจ้าขวัญเท่านั้นจ้ะ”
ยามค่ำคืนที่ดึกสงัด เจ้าทัพนั่งอยู่ในห้องเล็กที่มีโต๊ะหมู่บูชาประดับอยู่รอบด้านเขานั่งขัดสมาธิ พร้อมร่ายบทคาถาเบาๆ เสียงคำบริกรรมก้องกังวานไปทั่วห้อง เขาได้บรรจงสักอักขระโบราณลงบนผิวขาวนวลของขวัญอย่างพิถีพิถันเพื่อป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการปล้นในไม่กี่วันข้างหน้าการลงหมึกที่ยังคงความร้อนจากอาคมทำให้ผิวขาวของขวัญเริ่มร้อนขึ้นอย่างช้าๆ
“เจ็บนิดหน่อย แต่ต้องอดทน ขวัญ...”เจ้าทัพพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นขวัญกัดฟันแน่น ท่ามกลางความเงียบงันที่แผ่ทั่วห้อง
เลือดแดงค่อยๆซึมออกมาจากผิวหนังในขณะที่เขาใช้เข็มทองจดอักขระ ลงไปทีละตัวอย่างระมัดระวังแม้จะเจ็บแต่ขวัญก็อดทนเงียบๆ ไม่ได้ร้องออกมา เพียงแค่กัดฟันแน่นเพื่อให้การลงอักขระสมบูรณ์
“มันจะช่วยปกป้องเจ้าในยามที่ต้องเผชิญกับความอันตราย...”เจ้าทัพเอ่ยเสียงต่ำ ดั่งคำมั่นที่ลอยออกจากปาก แม้จะไม่มีเสียงอื่นใดตอบกลับเมื่อการลงอักขระเสร็จสิ้น เจ้าทัพยิ้มบางๆ อย่างพอใจ รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความมั่นคงทว่าเขายังคงนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ขวัญ ดุจต้องการให้เวลาผ่านไปอย่างช้าๆเพื่อให้การอาคมแผ่ซึมเข้าสู่ร่างกายของขวัญอย่างเต็มที่
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเจ้าทัพยังคงนั่งสมาธิอย่างสงบต่อไปอีกสักพัก ขวัญเริ่มรู้สึกง่วงเต็มทีร่างกายที่เพลียจากการอดหลับอดนอนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา รวมทั้งรอยสักที่ระบมช้ำทำให้เขาไม่สามารถต้านทานความง่วงได้ จึงลุกขึ้นและกลับไปนอนที่เรือนเล็กเจ้าทัพมองตามไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นตามไปเช่นกัน
เมื่อถึงเรือนเจ้าทัพมองเห็นขวัญนอนหลับสนิทบนฟูกนุ่มใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความเจ็บปวดตอนนี้กลับสงบลงแล้วแต่รอยบวมแดงที่หน้าอกยังคงขัดใจเจ้าทัพไม่หาย เขาหยุดยืนมองอยู่ตรงมุมห้องครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นเริ่มร่ายคาถาระงับอาการเจ็บที่บวมแดงตรงหน้าอกของขวัญความร้อนระอุจากฝ่ามือค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในร่างของขวัญเพื่อลดอาการบวมและบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
“อื้อ~”ขวัญหลุดครางออกมาเบาๆ เจ้าทัพยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะประคองใบหน้าของขวัญให้อยู่ในอ้อมแขนของตน มือที่อ่อนโยนค่อยๆลูบไปบนแก้มขาว ก่อนจะบรรจงจูบลงบนริมฝีปากของขวัญแม้ในยามหลับใหลก็งดงามไม่แพ้กัน
“พี่จะปกป้องเจ้าด้วยชีวิตของพี่” พูดจบเขาก็ประทับจูบแผ่วเบาที่หน้าผาก ก่อนจะดับไฟตะเกียงและล้มตัวลงนอนเคียงกัน
แสงแรกของรุ่งอรุณ ขวัญยืนจัดถุงเสบียงอยู่ข้างเกวียนที่เตรียมไว้สำหรับการเดินทางสายลมยามเช้าพัดเอื่อย ทำให้เสียงนกร้องเบาๆ ดังแว่วมาเจ้าทัพกำลังตรวจสอบอาวุธและสายบังเหียนม้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พร้อมหรือยัง?”เจ้าทัพเอ่ยถามขวัญ สายตาคมมองมาราวกับจะย้ำถึงความสำคัญของการออกปล้นครั้งนี้
“พร้อมแล้วพี่” ขวัญตอบกลับพร้อมรอยยิ้มแม้ในใจจะมีความกังวลเล็กน้อย
เจ้าทัพเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าขวัญมือใหญ่แตะเบาๆ ที่ไหล่ของคนตรงหน้า “ไม่ต้องกลัวนะ ขวัญมีพี่อยู่ด้วยทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี”
ขวัญสบตาเขา แล้วพยักหน้าอย่างมุ่งมั่น“ขวัญไม่ได้กลัว ขวัญรู้ว่าถ้ามีพี่ทัพ ขวัญก็จะปลอดภัย”
รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าทัพเขาขยับมือลูบศีรษะของขวัญเบาๆ ก่อนจะพูด “อย่าลืมนะ ถ้าพี่บอกให้รอก็รออย่าทำอะไรเสี่ยงเอง เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้วพี่แต่พี่ก็ต้องระวังตัวเหมือนกันนะ ขวัญไม่อยากให้พี่เป็นอะไรไป” ขวัญพูดพร้อมมองเขาด้วยสายตาห่วงใย
“พี่จะไม่เป็นอะไร พี่สัญญา”เจ้าทัพยิ้มก่อนจะผละออก เขาขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วหันมามองขวัญที่ปีนขึ้นไปนั่งบนเกวียน
การเดินทางเริ่มต้นขึ้น เสียงล้อเกวียนบดกับพื้นดินดังเป็นจังหวะม้าสองตัวนำทางผ่านป่าโปร่งที่ยังคงเงียบงันในยามเช้าเจ้าทัพควบม้าเคียงข้างเกวียน พลางหันมามองขวัญที่นั่งอยู่บนเกวียนอย่างสบายใจ
“พี่ทัพ”ขวัญเรียกพลางเอนตัวออกมาจากเกวียนเล็กน้อย “เราจะไปถึงจุดพักคืนนี้ใช่ไหม?”
“ใช่ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้วแต่ระหว่างนี้พักผ่อนเถอะ พี่จะดูทางเอง” เจ้าทัพตอบเสียงเรียบแต่แววตากลับเปี่ยมด้วยความห่วงใย
ขวัญยิ้มรับ ก่อนจะหยิบเสบียงเล็กๆขึ้นมากิน “พี่ทัพจะไม่พักบ้างเหรอ? เดี๋ยวขวัญขี่ม้าแทนก็ได้นะ”
เจ้าทัพหัวเราะเบาๆ“ม้าของพี่ตัวใหญ่กว่าที่ขวัญเคยขี่นะ เดี๋ยวหล่นลงมาจะยุ่ง”
“พี่ก็พูดเกินไป!” ขวัญทำหน้ามุ่ยก่อนจะหัวเราะออกมา “แต่ขวัญพูดจริงนะ พี่อย่าฝืนตัวเองล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง พี่แข็งแรงอยู่แล้ว”เจ้าทัพตอบพลางยักคิ้ว
ตะวันเริ่มคล้อย ระหว่างที่ทั้งสองเดินทางผ่านป่าเจ้าทัพก็หยุดม้าและลงมาหาขวัญ “ลงมาสิ เดินสักหน่อยจะได้ไม่เมื่อย”
ขวัญทำตามอย่างว่าง่ายก้าวลงจากเกวียนแล้วเดินเคียงข้างเจ้าทัพ สูดลมหายใจลึกพลางบิดตัวเล็กน้อย “อื้อ~ได้ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน” เขาพูดพร้อมยิ้มกว้างความเหนื่อยล้าจากการนั่งนานเหมือนถูกลบหายไปกับอากาศบริสุทธิ์ในป่า
เจ้าทัพมองขวัญที่เดินอยู่ข้างๆด้วยสายตาเอ็นดู “อย่าบิดตัวแรงนัก เดี๋ยวจะเมื่อยเพิ่มแทนที่จะหาย” เขาแซวเบาๆ
“พี่ทัพนี่ ห่วงเกินไปหรือเปล่า?”ขวัญหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ แต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ไม่หรอก พี่ก็แค่กลัวว่าเมียพี่จะเจ็บตัวแล้วใครจะดูแลพี่ล่ะ?” เจ้าทัพพูดพลางยิ้มกริ่ม
ขวัญหน้าแดงขึ้นทันที “พี่พูดอะไรน่ะ!”เขารีบหันหน้าหนี แต่ก็ยังไม่วายยิ้มเขิน
“พูดจริงไง”เจ้าทัพตอบเสียงเรียบแต่หนักแน่น ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังของขวัญเบาๆ“เดินอีกหน่อยนะ พักขาก่อน พี่ไม่อยากให้ขวัญเมื่อยจนทนไม่ไหว”
“ขวัญไม่เป็นไรหรอกพี่นั่นแหละที่ควรพักบ้าง” ขวัญพูดพลางแกล้งทำเสียงดุ
“พี่ไม่เหนื่อยหรอก แค่เห็นขวัญยิ้มพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว” เจ้าทัพพูดพร้อมยิ้มอบอุ่น
ขวัญเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะ“พี่ทัพนี่เก่งนักเรื่องพูดเอาใจ”
“ก็ต้องเก่งสิไม่งั้นขวัญจะยอมมาอยู่ด้วยแบบนี้เหรอ?” เจ้าทัพหัวเราะตอบ
ขวัญชะงักเล็กน้อยก่อนจะเชิดหน้าขึ้นตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้“เพราะขวัญรักพี่มานานแล้วต่างหาก ไม่ได้หลงคารมปากหวานของพี่เลยแม้แต่น้อย”เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเขินอาย
เจ้าทัพหยุดเดิน หันกลับมาจ้องหน้าขวัญตรงๆรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในทันที “ขวัญพูดจริงหรือเปล่า?”
“ก็จริงน่ะสิ ขวัญจะโกหกพี่ทำไม” ขวัญตอบเสียงเบายิ่งเห็นสายตาของเจ้าทัพที่มองมาด้วยความจริงจัง ใบหน้าก็ยิ่งร้อนผ่าว
เจ้าทัพยิ้มออกมากว้างกว่าเดิมก่อนจะยื่นมือไปจับมือขวัญแน่น “พี่ดีใจที่ได้ยินแบบนี้จากขวัญ ขอบคุณที่รักพี่ขวัญคือคนสำคัญของพี่เสมอ”
ขวัญนิ่งไปกับคำพูดนั้นหัวใจเต้นแรงอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาก้มหน้าซ่อนความเขินพลางพึมพำ“พูดแบบนี้อีกแล้ว... ใครเขาให้พูดในป่าแบบนี้กัน”
“แล้วใครเขาห้ามล่ะ?”เจ้าทัพหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นทุ้มนุ่มแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์
“พี่ทัพ...” ขวัญเงยหน้าขึ้นมองเขาใบหน้าแดงเรื่อเหมือนลูกตำลึงสุก แต่ยังคงพยายามทำหน้าขึงขัง“พี่นี่ชอบแกล้งขวัญตลอด”
“ไม่ได้แกล้ง พี่พูดจริง” เจ้าทัพตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะยื่นมือไปแตะเส้นผมของขวัญที่ปลิวตามลมเบาๆ “ขวัญน่ะน่ารักเกินไปพี่อดพูดไม่ได้”
ขวัญหลบสายตาพยายามหันไปมองทางอื่นเพื่อกลบความเขิน แต่ก็โดนเจ้าทัพขยับเข้ามาใกล้อีก“พี่จะหยุดพูดก็ต่อเมื่อขวัญยอมรับว่าพี่พูดถูก”
“ไม่พูดแล้ว พี่แค่เงียบเดินไปดีๆ ก็พอ”ขวัญโพล่งออกมา ก่อนจะรีบเดินนำไปข้างหน้า ทิ้งให้เจ้าทัพหัวเราะเบาๆ ตามหลัง
“โกรธหรือเขินล่ะนั่น?”เจ้าทัพแกล้งพูดเสียงดัง ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามมา
“พี่ทัพ!” ขวัญหันกลับมาแต่ไม่ทันระวังเจ้าทัพที่เข้ามาใกล้ก็ฉวยโอกาสคว้าข้อมือเขาไว้
“พี่ไม่ปล่อยหรอกขวัญต้องเดินข้างพี่เท่านั้น” เจ้าทัพพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ขวัญพยายามดึงมือออกแต่แรงของเจ้าทัพเหนือกว่า “พี่นี่มัน...”
“มันอะไร? หล่อ?เท่? หรือขี้แกล้ง?” เจ้าทัพพูดแทรกพร้อมหัวเราะ
“ขี้แกล้งที่สุด!” ขวัญพูดพลางทำหน้าเบ้ก่อนจะหัวเราะตามจนลืมความเขินไปชั่วขณะ
กลางคืนที่แสงดาวพราวเต็มท้องฟ้าเจ้าทัพและขวัญพร้อมคณะที่เดินทางมาด้วยกันมาถึงจุดพักในที่สุดหลังจากที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวัน เจ้าทัพจึงเริ่มจัดการเตรียมที่พักให้พร้อมก่อนค่ำคืนจะล่วงเลย
เจ้าทัพเริ่มต้นด้วยการปูผ้าใบบางๆ ลงบนพื้นใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ปกคลุมด้วยใบไม้หนาแน่นก่อนจะหยิบฟืนมาจัดกองและจุดไฟขึ้นให้เป็นกองไฟขนาดพอดีเพื่อที่จะให้ความอบอุ่นและส่องสว่างในยามค่ำคืน อากาศในป่าทะลุความเย็นยะเยือกมาอย่างแรงยิ่งเมื่อเวลาล่วงเข้าสู่ตอนกลางคืน
ขวัญยืนมองทุกอย่างอย่างช่วยไม่ได้คิ้วขมวดเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมตลอดทั้งวัน “พี่ทัพ... ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
เจ้าทัพหันมามองขวัญด้วยรอยยิ้ม“พี่ไม่อยากให้ขวัญต้องหนาว ถึงจะเหนื่อยก็เถอะ แต่คืนนี้ขวัญต้องนอนอย่างสบาย”เขาบอกพร้อมยิ้มขำๆ ก่อนจะเอาเสื้อคลุมหนามาให้ขวัญ
ขวัญมองเสื้อคลุมหนาที่ถูกยื่นมาอย่างขัดเขิน“ขวัญไม่ต้องการหรอกพี่ แค่ผ้าห่มก็พอแล้ว”
“ไม่ได้นะ ขวัญต้องนอนอุ่นๆ”เจ้าทัพพูดเสียงเด็ดขาดก่อนจะเอนตัวลงนอนที่พื้น ผ้านวมหนาเรียบร้อยเตรียมพร้อม
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเจ้าทัพก็ยิ้มให้ขวัญแล้วทำท่าทางให้เขามานั่งลงข้างๆ เขา “มานี่พี่จะให้ขวัญนอนใกล้ๆ แบบนี้แหละ” เจ้าทัพกระซิบเสียงเบา
ขวัญมองเจ้าทัพที่ยิ้มละไม ก่อนจะค่อยๆเดินมานั่งลงข้างๆ เขา “พี่ทัพทำตัวน่ารักเกินไปแล้วนะ”
“พี่น่ารักเหรอ?”เจ้าทัพแกล้งถามแล้วทำหน้าแปลกใจ “ก็แค่ห่วงขวัญ ไม่อยากให้หนาว”
เมื่อขวัญนั่งลงเจ้าทัพก็ยื่นมือไปหยิบผ้าห่มหนามาห่มให้แล้วดึงขวัญเข้าไปใกล้เขาวางมือให้อิงอยู่ที่บ่าแน่นหนา “นี่แหละ อย่าขัดเลยนะ ขวัญจะได้อุ่นขึ้น”
ขวัญรู้สึกถึงความอบอุ่นจากการสัมผัสของเจ้าทัพหัวใจเต้นเร็วขึ้นแต่ก็รู้สึกสงบไปพร้อมกันเขาซบหน้าลงที่ไหล่เจ้าทัพและปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า “พี่ทัพ... ขอบคุณนะจ๊ะ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกนอนหลับให้สบายเถิดหนาเจ้า” เจ้าทัพตอบพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆเขาเองก็รู้สึกว่าเพียงแค่ได้ใกล้ชิดขวัญเช่นนี้ ใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข
ทั้งสองนอนใกล้กันในความเงียบสงบเสียงไฟที่แตกเปาะแปะดังอยู่เบื้องข้างเสียงนั้นสร้างความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้นมาในขณะที่กองไฟที่ลุกโชติช่วงส่งความอบอุ่นไปถึงผิวกายและลามไปจนถึงความอบอุ่นในใจของทั้งสองเจ้าทัพมองไปยังขวัญที่ค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนขวัญนอนหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนาน แต่เจ้าทัพยังคงตื่นอยู่คอยเฝ้ามองคนข้างกายอย่างไม่อยากหลับ
เขาคิดในใจว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขารู้สึกโชคดีอย่างมากที่ได้ขวัญมาอยู่เคียงข้าง เขาย้อนนึกถึงวันแรกที่ขวัญเกิดแม้ยังไม่ทันได้รู้จักกันดี แต่เขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกผูกพันกันตั้งแต่แรกพบเป็นความรู้สึกที่พิเศษ และลึกซึ้งเกินจะอธิบายเขารู้สึกเหมือนทุกก้าวที่ขวัญเดินอยู่ข้างๆ คอยเสริมพลังให้กับตัวเขาเอง
“พี่รักเจ้านะ ขวัญข้าว” เจ้าทัพกระซิบเบาๆท่ามกลางความเงียบสงบ ราวกับว่าคำพูดนี้เป็นสัญญาที่ไม่ต้องการให้ใครได้ยินนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
คืนมืดดับ ความรักมิจางหาย แม้ภยันตรายใด ยังคงกล้า จะปกป้องจนถึงวันสุดท้าย มิกลัวแม้เสี่ยงภัยสักเท่าไร ทุกย่างก้าวที่เดินไป ข้าจะอยู่เคียงข้างมิห่างไกล รักนี้มั่นคงดั่งฟ้าใส ปกป้องรักตลอดไปในหัวใจ
-------------------------------- แถมให้อีกตอนเสิร์ฟความหวานให้คนอิจฉา ตอนต่อไปจะเริ่มขมแล้วน้าาาา ฝันดีครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะ
|