แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-1-25 11:43
20 ปิดบัง
ในห้องแคบที่ไร้แสงไฟสาดส่อง มีเพียงลมหายใจหนักหน่วงที่ดังแผ่วเบา ชมผาถูกตรึงไว้ในอ้อมกอดของสิงหะ ร่างกายของเขาร้อนผ่าวเหมือนกำลังลุกไหม้จากภายใน เสียงกระซิบและคำสั่งที่เปล่งออกมาจากอีกฝ่ายทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว
ทั้งวันทั้งคืน สิงหะไม่ปล่อยให้ชมผาหลุดพ้นไปจากสัมผัสของเขา มือใหญ่ที่เต็มไปด้วยแรงควบคุมยังคงตรึงร่างกายของคนพี่ไว้แนบแน่น เขาไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัว ก่อนจะเริ่มต้นการปลดปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า
ความรู้สึกที่ท่วมท้นนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง สิงหะไม่อาจปฏิเสธความพึงพอใจที่เขารู้สึกได้จากร่างของชมผา แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกผิดในใจก็ยังคงหลอกหลอนเขาไม่จางหาย
ชมผาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะพูดหรือแม้แต่จะขัดขืน ร่างกายของเขาอ่อนแรงจนแทบไม่สามารถต้านทานการกระทำของอีกฝ่ายได้ สิงหะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของคนพี่ในช่วงเวลาที่เขาหมดแรง ก่อนจะกอดร่างของชมผาไว้แนบแน่น
“อยู่กับกูนะ...” สิงหะเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตาที่เคยมุ่งมั่นกลับมีแววสับสน
เมื่อทุกอย่างสงบลง ร่างกายที่เหนื่อยล้าของทั้งสองนอนกอดกันไว้บนเตียงแคบ สิงหะกระชับอ้อมแขนของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดลอยไป
สองวันเต็ม ๆ ที่สิงหะจับชมผาไว้ในห้องแคบ ๆ ร่างของชมผาแทบไม่เหลือสภาพ รอยแดงช้ำจากแรงกอดรัดและสัมผัสที่ทิ้งไว้ทั่วทั้งร่างกายเป็นหลักฐานของสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงครางที่เคยดังสะท้อนในห้องกลายเป็นเสียงหายใจแผ่วเบาของคนที่หมดสติไปด้วยความอ่อนล้า
สิงหะนั่งพิงขอบเตียง มองร่างของชมผาที่นอนนิ่งอย่างไร้การตอบสนอง ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและหยาดเหงื่อที่เกาะพราวบนผิวขาวซีดยิ่งทำให้หัวใจของเขาหน่วงหนัก ความรู้สึกพึงพอใจที่เคยครอบงำในช่วงสองวันที่ผ่านมาเริ่มเลือนหาย กลายเป็นความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ
“กูทำอะไรลงไปวะ...” สิงหะพึมพำกับตัวเอง มือใหญ่ยกขึ้นกุมศีรษะอย่างสับสน สายตาที่มองร่างของชมผาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจ และผิดหวังในตัวเอง
เขาไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ เขาแค่ต้องการขู่ชมผา ต้องการให้คนพี่ถอยห่างจากเรื่องราวของครอบครัวเขา ไม่ให้เข้ามาวุ่นวายกับความลับที่เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเลยเถิดเกินกว่าที่เขาตั้งใจไว้
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างกายบอบบางที่ยับเยินเพราะเขาเอง น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาคม ริมฝีปากที่เคยเอื้อนเอ่ยคำพูดดุดันกลับสั่นเล็กน้อย สิงหะกัดฟันแน่น พยายามกลั้นความอ่อนแอที่เขาไม่เคยแสดงออก
“พี่ไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้...” เขาเอ่ยเบา ๆ แม้คนตรงหน้าจะไม่ได้ยิน น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเสียใจอย่างแท้จริง มือที่เคยใช้ตรึงและบังคับคนพี่ ค่อย ๆ เอื้อมไปแตะเบา ๆ ที่แก้มขาวที่เปื้อนคราบน้ำตา
ชมผายังคงหมดสติ ลมหายใจที่แผ่วเบาค่อย ๆ ผ่อนเข้าออกอย่างเหนื่อยล้า สิงหะมองภาพตรงหน้านานจนแทบลืมเวลา ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดสับสนและคำถามที่เขาไม่กล้าตอบตัวเอง
สิ่งที่เขาทำลงไป...มันถูกต้องแล้วใช่ไหม?
เขายกมือขึ้นลูบหน้าอย่างหนักหน่วง ราวกับพยายามจะปัดเป่าความคิดที่ถาโถมเข้ามา แต่ยิ่งพยายามปฏิเสธ ความรู้สึกผิดในใจก็ยิ่งชัดเจน
“กูแม่ง...โคตรเลว” สิงหะพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงที่เคยมั่นคงกลับสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับทุกคำพูดนั้นกัดกินหัวใจของเขา
เขาลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีอิดโรย เดินไปหาผ้าขาวสะอาดก่อนจะชุบน้ำเย็นมาอย่างเงียบเชียบ สิงหะค่อย ๆ เช็ดตัวให้ชมผา ร่างที่เคยแข็งแกร่งของคนพี่ตอนนี้ดูอ่อนแรงและบอบบางจนเขารู้สึกเจ็บแปลบในอก
เมื่อทำความสะอาดเสร็จ เขาก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มองมือละเอียดอ่อนของคนพี่ที่ยังคงมีร่องรอยช้ำจากการกระทำของเขา เขายกมือพี่ขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บ และก้มลงสัมผัสริมฝีปากลงบนหลังมืออย่างอ่อนโยน
“ขอโทษนะครับ...พี่ชมผา” สิงหะกระซิบเบา น้ำเสียงที่แทบเลือนหายไปในอากาศมีแต่ความรู้สึกผิดอัดแน่นอยู่ เขาเฝ้ามองใบหน้าที่หลับสนิทของชมผาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและถอนหายใจยาว
เขารู้ว่าต้องกลับบ้านในทันที ความผิดหวังและความสับสนยังคงวนเวียนในใจ แต่เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้ “ถ้าคนที่บ้านรู้ว่ากูหายไปแบบนี้ มีหวังเรื่องใหญ่แน่” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
โดยเฉพาะถ้า เจ้าทัพ พี่ชายของเขารู้ เขาคงไม่สามารถหาข้อแก้ตัวได้ทัน สิงหะบอกเพียงว่าจะไปค้างที่บ้านเพื่อน ซึ่งเป็นคำโกหกที่เขาคิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดในตอนนั้น แต่ความจริงที่เขากำลังปกปิดกลับหนักอึ้งจนเขาไม่แน่ใจว่าจะรักษามันไว้ได้อีกนานแค่ไหน
สายตาคมของเขามองชมผาอีกครั้ง ร่างที่นอนนิ่งไร้การตอบสนองทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าอะไรนำพาคนพี่มาที่นี่ “เขาตั้งใจตามพวกเรามาทำไมกันแน่?” คำถามนั้นยังคงวนเวียนในหัว แม้เขาจะไม่รู้คำตอบ แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับบางอย่างในหมู่บ้านนั้น
สิงหะนั่งอยู่ในห้องมืดสลัว สายตาจ้องมองไปยังความว่างเปล่าในขณะที่ความคิดยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เขารู้ดีว่าคำตอบของเรื่องนี้อาจอยู่ที่เจ้าทัพ พี่ชายที่เขาเคยเชื่อว่าเป็นคนตรงไปตรงมา แต่กลับมีบางอย่างปิดบังเขามาโดยตลอด
“เราควรถามพี่ทัพ...หรือควรปล่อยเรื่องนี้ไปดี?” สิงหะพึมพำกับตัวเอง แต่สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาต้องรู้ความจริงทั้งหมด
หลังจากให้ลูกน้องพาชมผาไปทิ้งไว้ที่ทางเข้าป่า ซึ่งเป็นเส้นทางกลับหมู่บ้าน สิงหะก็กลับมาที่บ้านเพื่อจัดการเรื่องราวของตัวเอง เขาเฝ้ารอเวลาที่เจ้าทัพกลับมา ความกังวลและความสับสนในใจทำให้เวลาเหมือนเดินช้าลง
เย็นวันนั้น หลังจากเห็นเจ้าทัพเดินเข้าบ้านด้วยท่าทีเหนื่อยล้า สิงหะก็รวบรวมความกล้าเข้าไปหา “พี่ทัพ...” เขาเอ่ยเรียก น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความจริงจัง
“มีอะไรหรือสิง?” เจ้าทัพตอบกลับ น้ำเสียงสงบเช่นเคย แต่ดวงตาที่หันมามองน้องชายกลับแฝงแววระแวง
“สิงอยากรู้เรื่องหมู่บ้านนั้น...” สิงหะพูดตรง ๆ
เจ้าทัพชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถามกลับ “ทำไมจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
สิงหะหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดชื่อที่เขารู้ว่าจะทำให้พี่ชายสนใจ “พี่รู้จัก...ชมผาไหม?”
ทันทีที่ชื่อของชมผาหลุดออกจากปาก สิงหะก็เห็นสีหน้าของเจ้าทัพเปลี่ยนไป ดวงตาที่เคยนิ่งสงบเต็มไปด้วยความตกใจ
“สิงไปรู้จักมันได้ยังไง?” เจ้าทัพถาม น้ำเสียงเข้มขึ้นแต่ยังคงรักษาความสุภาพ
“เขาเป็นรุ่นพี่ที่สิงรู้จักตอนเรียน” สิงหะตอบอย่างตรงไปตรงมา “เราเจอกันที่หมู่บ้านนั้น แต่เขาตามเรามาทำไม? พี่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
เจ้าทัพนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะเล่าหรือไม่ แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังของสิงหะ เขาก็ถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถ้าอยากรู้จริง ๆ พี่จะเล่าให้ฟัง...”
เจ้าทัพเริ่มต้นเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงเรียบจริงจัง “ชมผา...เป็นคนที่พี่มักจะมีเรื่องมีราวด้วย ทั้งมันและพี่ไม่ค่อยชอบขี้หน้ากัน”
คำพูดนั้นทำให้สิงหะชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาคมจ้องพี่ชายอย่างต้องการคำตอบ
“มันชอบขวัญ และชอบมาตอแยขวัญบ่อยๆ” เจ้าทัพพูดต่อ
คำพูดของเจ้าทัพเหมือนคมมีดที่กรีดลึกลงในหัวใจของสิงหะ ความจริงที่ว่าชมผาชอบคนอื่นทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบจนแทบหายใจไม่ออก
“แล้วทำไมเขาถึงตามพวกเรามา?” สิงหะถามด้วยความสงสัย
“หมู่บ้านนั้น...” เจ้าทัพหยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนลังเลที่จะพูดต่อ “มันไม่ใช่หมู่บ้านธรรมดา แต่มันเป็นพื้นที่ของชุมโจร”
สิงหะขมวดคิ้ว “ชุมโจร? หมายความว่ายังไง?”
เจ้าทัพสูดลมหายใจลึก ก่อนจะพูดต่อ “จริงอย่างที่สิงว่า…พี่เคยเป็นโจร เป็นเส้นทางที่ขัดแย้งกัน แต่พี่ก็ไม่มีทางเลือก”
“แล้วชมผารู้เรื่องนี้เหรอ?” สิงหะถามด้วยความสงสัย
“บางทีมันอาจจะรู้...หรืออย่างน้อยก็กำลังสงสัย” เจ้าทัพตอบ “มันอาจจะตามพวกเรามาเพื่อสืบเรื่องราวอะไรบางอย่าง”
สิงหะนิ่งไป คำพูดของเจ้าทัพทำให้เขารู้สึกหนักใจ “แล้วพี่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่หรือเปล่า?”
“เป็นไปได้...” เจ้าทัพตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง ดวงตาคมที่มองน้องชายเต็มไปด้วยความหนักใจ “พี่ไม่อยากให้ขวัญรู้ว่าพี่เป็นตำรวจ เพราะแบบนั้นพี่ถึงต้องปิดบังทุกคนในหมู่บ้าน ทางเดินของเรามันต่างกันเกินไป...แต่พี่ก็ไม่อยากเสียขวัญไป” น้ำเสียงของเขาแผ่วลงในประโยคสุดท้าย ราวกับความเจ็บปวดในใจถูกดึงออกมาเผยให้เห็น
“สิงเข้าใจพี่ใช่ไหม?”
สิงหะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ แม้ในใจจะยังมีคำถามมากมาย แต่เขาก็พอเข้าใจเรื่องราวที่พี่ชายปิดบังมาตลอด ความรักที่เจ้าทัพมีต่อขวัญนั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่เขาเคยคาดคิด และเส้นทางชีวิตที่ขัดแย้งกันของทั้งสองดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เจ้าทัพแบกรับมาอย่างหนักหน่วง
“พี่ทัพ...” สิงหะเอ่ยเรียกเบา ๆ น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความลังเล “แล้วถ้าสักวันขวัญรู้เรื่องนี้ล่ะ? พี่คิดว่าเขาจะยอมรับได้หรือเปล่า?”
เจ้าทัพหลุบตาลง ถอนหายใจยาว “พี่ไม่รู้...แต่พี่รู้ว่าเรื่องนี้ต้องถูกเก็บไว้ให้ลึกที่สุด ขวัญต้องไม่รู้ พี่จะไม่เสี่ยงให้เขามองพี่เปลี่ยนไป” เขาเงยหน้าขึ้นมองน้องชาย ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “พี่ต้องปกป้องขวัญ ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม”
คำพูดของเจ้าทัพทำให้สิงหะนิ่งไป ความมุ่งมั่นในน้ำเสียงของพี่ชายทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมเจ้าทัพถึงทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความลับนี้
“พี่ต้องระวังตัวนะ...” สิงหะพูดเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ชาย “แต่สิงอยากให้พี่รู้ไว้นะ ว่าสิงจะอยู่ข้างพี่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
เจ้าทัพยิ้มบาง ๆ รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความขอบคุณ แต่ก็มีเงาของความกังวลที่ยังคงหลงเหลือ “ขอบใจนะ..สิง”
************************
หลังจากถูกพามาทิ้งไว้ที่ริมป่า ชมผาก็เริ่มได้สติ ลมหายใจที่หนักหน่วงและเจ็บลึกในอกทำให้เขารู้ว่าฝันร้ายยังไม่จบสิ้น เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ถูกสวมใส่บนร่างกายเป็นชุดตัดใหม่ราคาแพง ผ้านุ่มเนียนละเอียดที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้แม้แต่น้อย แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีความหมายสำหรับเขา
ร่างกายที่อ่อนแรงพยายามพยุงตัวขึ้นช้า ๆ สองขาสั่นพั่บ ๆ ไม่อาจรับน้ำหนักได้เต็มที่ หัวเข่าที่ทรุดลงบนพื้นหญ้าทำให้ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วทั้งตัว เขาพยายามอีกครั้ง แต่มันก็ไม่เพียงพอ ขาของเขาไร้เรี่ยวแรงเกินจะพยุงตัวเองให้ยืนขึ้นได้
“...อึก...” เสียงสะอื้นเบา ๆ หลุดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก น้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงมาอาบแก้มโดยไม่อาจห้าม ภาพในหัวของเขายังคงวนเวียนอยู่ที่เรื่องราวโหดร้ายที่เพิ่งผ่านพ้น ภาพเหล่านั้นชัดเจนราวกับมันเกิดขึ้นอีกครั้งต่อหน้าต่อตา
ฝันร้ายไม่ได้จบลง แต่มันกลับยิ่งฝังลึกในใจของเขา ความรู้สึกถูกล่วงล้ำ ถูกกดดัน และไร้หนทางหลบหนี ยังคงตามหลอกหลอนเขาในทุกลมหายใจ
“ทำไม...ต้องเป็นฉัน...” ชมผาพึมพำ น้ำเสียงแหบแห้งและขาดห้วง ความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจยังคงทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างชัดเจน
ลมเย็นที่พัดผ่านมากระทบผิวทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย ร่างกายที่อ่อนล้าพยายามขยับอีกครั้ง มือที่เต็มไปด้วยคราบดินยกขึ้นเพื่อยันตัวเองให้ลุกขึ้น แต่สุดท้ายก็ล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง
เขาหลับตาแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่เอ่อล้นอยู่ในอก แต่ไม่อาจทำได้ ฝันร้ายที่ยังหลอกหลอนทำให้เขาไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นได้
โชคดีที่คนในหมู่บ้านที่รู้จักผ่านมาพบชมผานอนหมดแรงอยู่ริมทางเข้าป่า เมื่อเห็นสภาพที่ย่ำแย่จนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงของเขา พวกเขารีบช่วยพยุงกลับหมู่บ้านอย่างปลอดภัย แต่ก็นอนซมอยู่หลายวัน ไม่ยอมออกมาพบหน้าใคร
ชมผาได้แต่เก็บตัวเงียบ เขาแทบไม่แตะต้องอาหาร เนื้อตัวที่เคยแข็งแรงเริ่มซูบผอม แก้มตอบจนเห็นชัด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหม่นหมอง
ผู้เป็นพ่อมองลูกชายที่นอนซมอยู่บนเตียงอย่างอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาพยายามเข้าไปพูดคุย พยายามเค้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลูก...บอกพ่อได้ไหม ว่าเจออะไรมา?”
ชมผาเบือนหน้าหนีจากสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงนั้น ดวงตาของเขาสั่นไหว แต่ริมฝีปากกลับปิดสนิท เขาไม่มีความกล้าพอจะเล่าความจริงออกไป เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าอับอายเกินกว่าจะพูดได้
“พ่อช่วยลูกได้นะ...” ผู้เป็นพ่อเอ่ยเสียงเบา แต่เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เขาก็ได้แต่นั่งลงข้างเตียง มองลูกชายที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลือกที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
ชมผาได้แต่มองเพดานห้องด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ฝันร้ายที่หลอกหลอนยังคงปรากฏขึ้นในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยแผลในใจนั้นหนักหนาเกินกว่าจะเยียวยา
เขารู้ดีว่าพ่อรักและห่วงใยเขามากเพียงใด แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร คำพูดใด ๆ ก็ไม่เพียงพอที่จะถ่ายทอดสิ่งที่เขาเผชิญมา ความอับอาย ความเจ็บปวด และฝันร้ายที่ยังคงตามหลอกหลอน ล้วนถูกเก็บซ่อนไว้ลึกในใจ ราวกับเป็นบาดแผลที่เขาไม่อยากเปิดเผย
ชมผาจึงเลือกความเงียบ ทิ้งความจริงทุกอย่างไว้ในนั้น แม้หัวใจจะร้องหาความช่วยเหลือ แต่เขากลับไม่กล้าเอ่ยออกมา ราวกับว่าการพูดความจริงจะยิ่งตอกย้ำความเจ็บปวดในใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ฮึก...ฮึก...”
เสียงสะอื้นแผ่วเบาหลุดออกมาอย่างไม่อาจห้าม น้ำตาไหลรินอาบแก้มอย่างเงียบงัน ราวกับเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถปลดปล่อยได้ในตอนนี้
ร่างกายที่เหนื่อยล้าพิงพนักเตียง ดวงตาที่เปื้อนน้ำตาจับจ้องไปยังแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา แสงนวลนั้นเหมือนจะปลอบประโลมเขา แต่ความหนาวเย็นในใจยังคงอยู่
เขาเอื้อมมือไปแตะบริเวณหน้าอกข้างซ้าย ตรงจุดที่หัวใจเต้นช้าลง ความเจ็บปวดที่จับต้องไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ทำไม...” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงแผ่วเบาและแตกพร่า “ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้...”
ชมผากอดตัวเองแน่น พยายามปลอบใจตัวเองในความเงียบ น้ำตายังคงไหลอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะพัดพาความเจ็บปวดออกไป แต่ลึก ๆ ในใจเขารู้ดีว่ามันไม่มีวันลบเลือน
วันเวลาอาจช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ แต่ในตอนนี้ สำหรับชมผา...ความเงียบและน้ำตาคือสิ่งเดียวที่เขาพึ่งพาได้
มันยากเกินกว่าจะบอกกับใครว่าเขาไม่เป็นอะไร ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปจากหัว ราวกับถูกลบออกจนหมดสิ้น ชมผาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าทำไมตัวเองถึงได้เข้าไปในเมืองในวันนั้น เพราะมีเรื่องอื่นที่เข้ามาแทนที่ความคิด
กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ต้องใช้เวลาหลายเดือนทีเดียว กว่าที่ชมผาจะค่อย ๆ เริ่มกลับไปใช้ชีวิตปกติได้เหมือนเดิม แม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถก้าวข้ามเหตุการณ์เหล่านั้นไปได้ แต่ลึก ๆ แล้ว ร่องรอยบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ
ในช่วงเดือนแรก ทุกก้าวที่ชมผาเดินออกไปนอกบ้านเต็มไปด้วยความระแวดระวัง แม้เพื่อนบ้านจะยิ้มให้เหมือนเช่นเคย แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่จ้องมองมา แม้จะเป็นเพียงความคิดในหัวของเขาเอง
ชมผาเริ่มออกไปช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตลาด แต่ก็ยังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับคนอื่นมากเกินไป เขาพยายามจะใช้ชีวิตให้เหมือนเดิม แต่ความเงียบเหงาและความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ยังคงตามหลอกหลอน
บางครั้ง ในค่ำคืนที่ทุกคนหลับใหล ชมผายังสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย เหงื่อซึมเปียกเสื้อและลมหายใจที่ติดขัดทำให้เขาได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในความมืด ความรู้สึกหนาวเย็นในหัวใจทำให้เขารู้ว่า...เขายังไม่หลุดพ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้น
วันหนึ่ง ณ ตลาดในหมู่บ้าน
ในที่สุด ชมผาก็ตัดสินใจออกไปดูแลตลาดเหมือนเช่นวันวาน เขาเดินผ่านผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะทำให้บรรยากาศดูปกติ แต่ในใจของเขา กลับมีเสียงสะท้อนของความทรงจำที่ยังคงติดอยู่
“ชมผา! เอ็งหายไปไหนมาตั้งนาน?” คนหนึ่งเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม ชมผาหยุดนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับเบา ๆ
“แค่ไม่ค่อยสบายจ่ะ”
คำตอบที่แฝงความจริงเพียงครึ่งเดียวทำให้เขารู้สึกอึดอัด แต่ก็ยังพยายามรักษารอยยิ้มบาง ๆ ไว้ เขาเดินต่อไปเรื่อย ๆ แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความลังเลว่าจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว...เห็นเขาว่าตอนที่ไปเจอ สภาพนี่ดูไม่ได้เลยนะ” เสียงซุบซิบของคนในตลาดดังแว่วเข้ามา ชัดเจนพอที่จะสะกิดความทรงจำในใจของชมผา
คำพูดนั้นเหมือนแรงกระแทกที่ส่งภาพเหตุการณ์ในวันนั้นกลับมาชัดเจนในหัว เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่เข้ามาใกล้ เสียงหัวเราะเบา ๆ ที่แฝงความเย้ยหยัน และสัมผัสที่ไม่อาจลืม ทุกอย่างกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
ดวงตาของชมผาเบิกกว้าง ร่างกายสั่นเทา น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาโดยไม่รู้ตัว เขาพยายามหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ภาพเหล่านั้นกลับยิ่งทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว
“ไม่...หยุด...” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ทันใดนั้น ชมผาก็สะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป แต่ยิ่งพยายามหนี มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ราวกับมีใครกำลังฉายภาพซ้ำในหัวเขา
“ไม่!” ชมผาร้องออกมาดังลั่น ก่อนจะพุ่งตัวออกจากที่ที่ยืนอยู่ วิ่งฝ่าผู้คนในตลาดไปอย่างไม่สนใจเสียงเรียกของใคร
ทุกคนในตลาดต่างตกใจ เสียงฮือฮาดังขึ้นพร้อมกับสายตานับสิบคู่ที่หันมามองร่างของชมผาซึ่งวิ่งฝ่าฝูงชนออกไป เสื้อผ้าที่ดูรุ่มร่ามและสภาพที่ดูหวาดกลัวทำให้ผู้คนเริ่มซุบซิบกันด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นนะ?”
“นี่เจ้าชมผามันไม่สบายหรือเปล่า?”
“เหมือนเสียสติไปเลย...”
ชมผาวิ่งมาจนถึงมุมหนึ่งที่ลับตาคน ลมหายใจหอบหนักดังชัดเจน ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับจะล้มลงทุกขณะ เขายกมือขึ้นปิดหน้า พยายามกลั้นเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมา แต่กลับไม่สำเร็จ
ทุกอย่างในหัววุ่นวายจนยากจะสงบได้ ดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตาไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้ชัดเจน กระทั่ง...
“อ๊ะ...”
ชมผาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้ตัวว่าใบหน้าเขาชนเข้ากับอกของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเหมือนจะทรุดลง แต่แล้วมือหนึ่งที่แข็งแรงก็คว้าตัวเขาไว้ได้ทันก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
เสียงทุ้มที่เอ่ยถามอย่างสุภาพเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร น้ำเสียงทะเล้นก็ตามมา
“พี่ชมผา...”
เพียงได้ยินชื่อของตัวเอง ชมผาก็เริ่มรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร เขาพยายามหายใจให้ช้าลง รวบรวมสติที่กระจัดกระจาย ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าที่ก้มอยู่ขึ้นมองเจ้าของเสียง
ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่เขาคุ้นเคยดี สิงหะยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความสงสัยและความกังวล รอยยิ้มบางที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของเขาแฝงไปด้วยความขี้เล่นที่เป็นเอกลักษณ์
“พี่วิ่งหนีอะไรมาเหรอ? หืม?” สิงหะถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่จริงจังนัก แต่สายตากลับไม่ได้ละไปจากใบหน้าของชมผาที่ดูเหนื่อยล้าและเปื้อนคราบน้ำตา
ชมผาไม่ตอบ เขายังหอบเบา ๆ และดวงตาก็ยังหลบเลี่ยงการสบตากับอีกฝ่าย ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้ามาในใจ ทั้งความอับอายที่ต้องเจอคนรู้จักในสภาพนี้ และความไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคำถามใด ๆ
“ว่าไงครับ...” สิงหะลดน้ำเสียงลงเล็กน้อย มือที่จับไหล่ของชมผายังคงประคองเขาไว้แน่น “พี่ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? แล้วนี่ร้องไห้ทำไม หืม..”
คำถามนั้นดูเหมือนจะกระตุ้นบางอย่างในใจของชมผา เขาพยายามพูดออกมา แต่ลำคอที่ตีบตันทำให้คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไร สิงหะก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงมาให้สายตาอยู่ระดับเดียวกับเขา
“ไม่ต้องพูดตอนนี้ก็ได้ครับ แค่อยากให้พี่รู้ว่าสิงอยู่ตรงนี้ ถ้าต้องการอะไร” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนขึ้น ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความทะเล้นตอนนี้กลับแฝงไปด้วยความจริงจัง
ชมผานิ่งเงียบอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เขาไม่แน่ใจนักว่าควรพูดอะไรหรือควรเริ่มต้นจากตรงไหน แต่ความอบอุ่นจากมือที่ยังจับไหล่เขาไว้และคำพูดของสิงหะทำให้หัวใจที่สับสนสงบลงเล็กน้อย
ในขณะที่ความเงียบยังคงปกคลุมระหว่างพวกเขา สิงหะก็ส่งยิ้มให้เล็ก ๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “งั้นกลับไปพักก่อนดีไหมครับ? ดูพี่เหนื่อยมาก”
ชมผาพยักหน้าอย่างช้า ๆ อีกครั้ง แม้ร่างกายจะยังอ่อนล้า แต่คำพูดนั้นกลับทำให้เขารู้สึกว่ามีที่ให้เขาพักพิงอยู่ตรงนี้
--------------------------------------------- สรุปว่าพี่กับน้องมีเรื่องปิดบังทั้งคู่ แอบสงสารชมผา
|