แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-2-26 13:14
ตอนที่ 7
: Part เพลิงภพ ควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ผมพ่นมันออกช้า ๆ พยายามใช้มันเป็นข้ออ้างให้ตัวเองใจเย็นลง ทั้งที่ในหัวแม่งยังยุ่งเหยิงไปหมด
กูโมโหมันอยู่...
โมโหที่แม่งไม่รู้จักห่วงตัวเอง โมโหที่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดนั้น โมโหที่ต้องมานั่งหงุดหงิดเพราะมันอยู่แบบนี้
แต่ขณะเดียวกัน... กูก็เป็นห่วงมันฉิบหาย
"พี่เพลิง..."
เสียงแผ่วเบาทำให้ผมหันไปมอง ธารานั่งนิ่งอยู่บนโซฟา แววตาของเขาดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยังพูดไม่ออก
"อะไร" ผมถามเสียงเรียบ พยายามไม่ให้ฟังดูหงุดหงิดเกินไป
"คือ..." เขาเม้มปาก ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ
"ขอโทษ..."
ผมหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้ออกมา
แม่ง... ขอโทษแบบนี้ กูจะโมโหต่อยังไงวะ?
ผมกดปลายบุหรี่ลงกับที่เขี่ย ถอนหายใจออกมาแรง ๆ พยายามไล่ความอึดอัดในอก ทั้งที่เมื่อกี้ยังโมโหแทบคลั่ง แต่พอได้ยินคำนี้ ใจแม่งดันอ่อนยวบลงซะงั้น
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ เจ้า ‘น้ำขิง’ แมวส้มตัวแสบที่ผมเลี้ยงไว้ก็เดินมาคลอขาผมเบา ๆ เหมือนจะบอกให้ใจเย็นลง
"หืม... อะไรของแก" ผมพึมพำ พลางยื่นมือไปลูบหัวมัน
น้ำขิงเป็นแมวไม่ค่อยชอบอ้อน แต่มันกลับเลือกจะเข้ามาหาในจังหวะแบบนี้ พอเห็นมันทำแบบนี้ ผมก็ยิ่งถอนหายใจแรงกว่าเดิม
แม่งเอ๊ย…
ผมมองหน้าธารา แววตาเขาดูสั่นไหว เหมือนจะมีน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่ตรงขอบตา
ให้ตายเถอะ...
เมื่อกี้กูเผลอพูดแรงไปสินะ
ผมถอนหายใจอย่างหงุดหงิดตัวเอง แม่ง... โดนความเป็นห่วงกลบอารมณ์จนพูดอะไรไม่คิดอีกแล้ว พอเห็นหน้าแบบนี้แล้วมันก็ยิ่งรู้สึกผิด ถึงหมอนี่จะไม่ได้ร้องไห้ออกมาจริง ๆ แต่แค่เห็นเขาทำท่าทางเหมือนอยากหายไปจากตรงนี้ ผมก็ใจแป้วแล้ว
"เออ... กูไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกขนาดนั้น" ผมลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบขวดน้ำในตู้เย็นมายื่นให้เขา "ดื่มน้ำก่อน จะได้ดีขึ้น"
ธารารับขวดไปอย่างเงียบ ๆ มือเขายังดูอ่อนแรงอยู่เลย ผมเลยหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ ไม่อยากให้เขาต้องฝืนอะไรมากไปกว่านี้
"เจ็บตรงไหนอีกมั้ย" ผมถามเสียงเบาลงกว่าเดิม รู้สึกโคตรขัดกับท่าทางตัวเองเมื่อกี้
เขาส่ายหัวเล็กน้อย "ไม่เป็นไรแล้วครับ"
น้ำเสียงของเขาก็เบาลงเหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าเขายังกลัวอยู่รึเปล่า แต่แค่คิดว่าเมื่อกี้ตัวเองอาจทำให้เขากลัวขึ้นมาจริง ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ
"กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มึงกลัว" ผมเอ่ยออกไปตามตรง "ก็แค่... หงุดหงิดตัวเอง"
"หงุดหงิดตัวเอง?" ธาราทำหน้าสงสัย
ผมเสยผมไปด้านหลัง กัดฟันแน่นก่อนจะพึมพำออกมา "เออ... หงุดหงิดที่แม่งเป็นห่วงมึงมากเกินไป"
บ้าเอ๊ย พูดออกไปแล้วโคตรน่าอายเลยว่ะ
ธาราชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะหลุบตาลงมองขวดน้ำในมือ สีหน้าของเขาดูซับซ้อนขึ้นเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
"พี่เพลิง..." เขาเรียกชื่อผมเบา ๆ ทำให้ผมหันไปสบตากับเขาอีกครั้ง
"อะไร"
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาเสียงแผ่ว
"ขอโทษจริง ๆ นะครับ"
แม่งเอ๊ย...
ใจมันอ่อนยวบลงไปอีกแล้วว่ะ
–
หลังจากล้างชามข้าวต้มเสร็จ ผมหยิบขนมมากินรองท้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หน้าทีวีที่เปิดค้างไว้ ธาราซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ แล้วซบหน้าผากร้อน ๆ ลงกับลำแขนของผมอย่างเงียบ ๆ
สัมผัสร้อน ๆ จากตัวเขาทำให้ผมชะงักไป
"ตัวมึงร้อนจะตายห่า ทำอะไรของมึง" ผมขมวดคิ้ว เอ่ยดุ แต่ก็ไม่ได้ดันเขาออก
"เย็น..." ธาราพึมพำเสียงอู้อี้ ทั้งตัวดูอ่อนแรงจนแทบไม่อยากขยับไปไหน เหมือนลูกแมวที่หมดแรงแล้วหาที่พึ่ง
ให้ตายเหอะ... แล้วจะให้กูใจแข็งยังไงไหววะ
ผมถอนหายใจ ละสายตาจากเส้นผมนุ่ม ๆ ของเขาแล้วเม้มปากแน่น ลำแขนที่ถูกหน้าผากร้อน ๆ แนบอยู่ มันไม่ได้เย็นอย่างที่เจ้าตัวพูดเลยสักนิด กลับกัน มันร้อนขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ร้อนจนผมต้องขยับนิ้วกำเข้าหากันแน่น
"อยากได้ความเย็นขนาดนั้นเลย?" ผมกระซิบเสียงต่ำ ดวงตาจับจ้องเสี้ยวหน้าของเขาที่แนบอยู่กับแขนตัวเอง
ธาราไม่ตอบอะไร แค่พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้อีกนิด ราวกับจะหาความอบอุ่นจากผม มากกว่าความเย็นที่เจ้าตัวอ้าง
บ้าชิบ...
ใจผมกระตุกวูบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความอ่อนโยนของเขา ความไว้ใจที่แสดงออกผ่านสัมผัสเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ แม่งโคตรอันตรายสำหรับผมเลยรู้ตัวมั้ย แม่งเอ๊ย... นี่กูต้องอดทนถึงเมื่อไหร่กันวะ?
: Part ธารา แขนของพี่เพลิงอุ่นดี… อุ่นแบบที่ทำให้ผมอยากขยับเข้าไปใกล้กว่านี้อีก
ถึงปากจะบอกว่าตัวพี่เขาเย็น แต่จริง ๆ แล้วผมก็แค่อยากอ้อน แค่อยากพึ่งพาเขาเท่านั้นเอง
แม้จะยังไม่ชินกับคำพูดของเขาตอนนี้ แต่ลึก ๆ แล้ว ผมกลับรู้สึกดีที่เขายังอยู่ตรงนี้
"มึงง่วงรึเปล่า?"
เสียงพี่เพลิงไม่ได้ดุเหมือนตอนแรก ผมรู้สึกได้ว่าเขาใจเย็นลงแล้ว
"...อือ" ผมพยักหน้าช้า ๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากแขนเขา
พี่เพลิงถอนหายใจเบา ๆ มือใหญ่ของเขายกขึ้นลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
สัมผัสนั้นทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะไปชั่วขณะ
"ถ้าง่วงก็ไปนอนดี ๆ ไม่ต้องมาซบแขนกูแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ปวดคอหรอก"
"อยากอยู่อย่างนี้อีกแป๊บ..." ผมพูดเสียงเบาแทบกลืนไปกับอากาศ
พี่เพลิงนิ่งไป เหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา แต่กลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แผ่วเบาลงบนเส้นผม คล้ายกับกำลังลังเลว่าจะทำยังไงต่อ
สุดท้าย เขาก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผมซุกหน้าผากกับแขนของเขาเงียบ ๆ ตามที่ต้องการ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า… แต่เหมือนมือของพี่เพลิงจะสั่นนิด ๆ
"พี่เพลิง โกรธผมที่ไม่ตอบข้อความใช่มั้ย" ผมเอ่ยขึ้นเบา ๆ เสียงของตัวเองแหบไปหน่อยเพราะพิษไข้ "ผมไม่ได้ตั้งใจไม่ตอบนะ ช่วงนี้เรียนหนัก แถมยังต้องหารายได้พิเศษอีก ที่เมื่อวานไปร้านเหล้า ก็เพราะขัดเพื่อนไม่ได้จริง ๆ นาน ๆ ทีจะไป ไม่ใช่ว่าผมไม่ระวังตัวนะ ผมรู้สึกว่ามีคนตามมาเป็นอาทิตย์แล้ว แต่ก็แค่คิดว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า ผมพยายามไม่ไปไหนมาไหนคนเดียว ตอนแรกก็อยากจะบอกพี่ แต่..."
“กูไม่สำคัญว่างั้น”
เสียงเข้มของพี่เพลิงทำให้ผมเม้มปากแน่น ผมเงยหน้ามองเขา แววตาของเขาดูไม่พอใจปนผิดหวัง
“ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
ผมพูดตามความจริง ถึงแม้หัวใจจะกระตุกวูบอย่างประหลาด
พี่เพลิงแค่นหัวเราะในลำคอ รอยยิ้มที่มุมปากของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เออ กูรู้" เขาพยักหน้าช้า ๆ สายตานิ่งจ้องมาเหมือนกำลังกลั้นอะไรบางอย่างไว้ "กูยอมรับว่าตอนแรกกูอยากได้มึง แค่อยากฟัน ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นกูห่วง หวง หึงมึงแบบไม่มีเหตุผล จนไม่เป็นอันทำการทำงาน”
ผมชะงักไปกับน้ำเสียงของเขา
“ข้อความทักไปแม่งก็ไม่เคยตอบกลับ แล้วเป็นไง มึงเห็นธาตุแท้กูหรือยังว่ากูเป็นคนยังไง กูไม่ใช่คนปากหวานแบบที่มึงคิดหรอกนะ”
แววตาของเขามืดครึ้มเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผมอ่านไม่ออก แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ… พี่เพลิงโกรธ และคงเสียความรู้สึกไปมากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก
“แล้วยังไง กูควรจะรู้สึกยังไงในตอนนี้” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่หนักแน่นจนผมรู้สึกเหมือนถูกกดให้อยู่กับที่
ผมเม้มปากแน่น ไม่รู้ว่าควรตอบยังไง สายตาของพี่เพลิงยังจ้องมาที่ผม ไม่ได้กดดัน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมหลบหนีได้ง่าย ๆ
“มึงกับกู ระหว่างเราควรจะเป็นยังไง” เขาถามต่อ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอดทนที่ใกล้จะขาดสะบั้น
ผมกำเสื้อของตัวเองแน่น รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่กลางอก
“แค่มึงบอกมา กูจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตมึงอีก”
หัวใจผมหวิวโหวงไปหมด ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกหนักอึ้งอย่างนี้ เหมือนคำพูดของพี่เพลิงเป็นมีดที่กรีดลงมาช้า ๆ ทั้งที่มันควรจะเป็นแค่คำพูดธรรมดา แต่กลับทำให้ผมหนาวสะท้านไปทั้งตัว
จะให้บอกออกไปยังไงดี... ว่าผมเองก็ไม่อยากให้เขาหายไปไหนเลย
ไม่อยากให้เรากลายเป็นแค่คนรู้จักที่ไม่มีความหมายอะไรต่อกันอีก
ผมไม่เคยอยากให้สถานะใคร เพราะกลัว... กลัวว่าถ้าเผลอใจให้แล้วจะต้องเจ็บ โดนหลอกให้รัก โดนหลอกเอาแล้วทิ้งไปเหมือนไม่เคยมีตัวตน แต่ทำไมพอเป็นพี่เพลิง ทุกอย่างกลับต่างออกไป ผมพูดไม่ออก อธิบายความรู้สึกตัวเองไม่ได้ รู้แค่ว่าไม่อยากให้เขาหายไปจากชีวิตเลย
แค่นั้นจริง ๆ
น้ำตาไหลออกมาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว อาจเป็นเพราะความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาในอกจนเกินจะรับไหว ผมรีบยกมือขึ้นปาดมันลวก ๆ ไม่อยากให้พี่เพลิงเห็น ไม่อยากให้เขาคิดว่าผมอ่อนแอ แต่ก็เหมือนจะสายไป เพราะอีกฝ่ายจ้องมองมานิ่ง ๆ ดวงตาคมเข้มที่เคยเต็มไปด้วยความขุ่นมัวค่อย ๆ อ่อนแสงลง
แล้วจู่ ๆ มืออุ่น ๆ ก็ยกขึ้นมาวางลงบนศีรษะผม ลูบเบา ๆ อย่างอ่อนโยน
สัมผัสนั้น... ทำให้ผมยิ่งอยากร้องไห้กว่าเดิมเสียอีก
“ฮึก… ผมไม่อยากให้พี่หายไป” ผมพูดเสียงสะอื้น พยายามกลั้นน้ำตา แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่ หัวใจก็ยิ่งบีบรัดแน่นขึ้นเท่านั้น “ผมแค่… กลัวว่าจะโดนทิ้ง… กลัวว่าจะต้องผิดหวัง… เลยไม่อยากรักใคร”
ผมก้มหน้าซุกลงกับลำแขนของพี่เพลิงแน่นขึ้น หัวใจเต้นรัวจนแทบหลุดออกมา ไม่รู้ว่าทำไมถึงเผลอพูดทุกอย่างออกไปแบบนี้ อาจเพราะพิษไข้ อาจเพราะความอ่อนแอ หรืออาจเป็นเพราะความอบอุ่นจากเขาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ต้องฝืนเข้มแข็งอีกต่อไป
พี่เพลิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจหนัก ๆ มือหนาที่เคยลูบศีรษะผมชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่ปลายนิ้วจะแทรกเข้ามาในกลุ่มผมแล้วขยี้เบา ๆ เหมือนกำลังปลอบโยน
"มึงนี่มัน..." เขาพึมพำเสียงแผ่ว แววตาที่เคยขุ่นมัวดูเหมือนจะอ่อนลงไปบ้าง "แม่งเอ๊ย... ถ้ามึงกลัวจะโดนทิ้ง กูต้องทำไงวะ... ให้มึงเชื่อว่ากูไม่ไปไหน"
เสียงของเขาเบาลง ทว่าหนักแน่นจนทำให้ผมเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาของเราสบกันตรง ๆ ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย แต่กลับรู้สึกเหมือนได้ยินบางอย่างจากแววตาคู่นั้น
พี่เพลิง... จะไม่ทิ้งผมไปจริง ๆ ใช่ไหม?
ในห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจแผ่ว ๆ ของเรา กับจังหวะหัวใจที่ผมรู้สึกว่ามันเต้นดังขึ้นผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะไข้ที่ยังไม่ลดดี หรือเพราะสายตาของเขาที่ทอดมองผมกันแน่
แล้วประโยคต่อมาของเขา... ก็แทบทำให้ผมหายใจไม่ออก
"ไปลาออกจากงานให้หมด แล้วก็ลบแอคเคาน์ไลฟ์สดนั่นซะ" เสียงเข้มของเขาดึงสติผมกลับมา "กูไม่อยากเห็นมึงไปแก้ผ้าต่อหน้าใครอีก แล้วก็ย้ายมาอยู่กับกู กูจะไปรับไปส่งเอง ค่าใช้จ่ายทุกอย่างกูดูแลให้"
คำพูดของเขาชัดเจน ไม่มีแววลังเลแม้แต่น้อย
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง สมองพยายามประมวลผลตามให้ทัน
นี่มัน... ข้อเสนอแบบไหนกัน?
"แค่อยู่ข้าง ๆ กูก็พอ เข้าใจมั้ย?"
เสียงของเขาอ่อนลง แต่ยังคงความหนักแน่นไว้เหมือนเดิม
ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง มองใบหน้าคมเข้มตรงหน้า ก่อนพยักหน้ารับอย่างงง ๆ
"ขะ... เข้าใจ"
... เดี๋ยวนะ แบบนี้มันออกแนวเด็กเสี่ยไปหน่อยหรือเปล่า?
ผมอดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย และดูเหมือนเขาจะจับสังเกตได้
"ไมมองกูแบบนั้น"
"ปะ... เปล่าครับ"
เขาหรี่ตามองผมนิดหนึ่งเหมือนไม่ค่อยเชื่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม
"แต่ถ้ามึงไม่โอเค กูก็ไม่ว่าอะไร" เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "เพราะถ้ามึงก้าวพ้นจากประตูนี้ไป ก็ถือว่าเราไม่เคยรู้จักกัน"
หัวใจผมกระตุกวูบ ราวกับถูกบีบอย่างแรง
ไม่เคยรู้จักกันงั้นเหรอ...
"อื๊ออ ผมยอมแล้ว..." ผมรีบคว้าข้อมือเขาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะลุกหนีไปจริง ๆ "แต่ผมมีอย่างนึงอยากขอได้มั้ย?"
เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนเอียงหน้ามองผม
"เออ อยากขออะไร?"
ผมเม้มปากนิดหน่อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปตรง ๆ
"ช่วยพูดเพราะ ๆ กับผม... แบบวันแรกที่เราเจอกันได้มั้ย ผมไม่ค่อยชินเลย"
เขานิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ จากนั้นยกมือขึ้นลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
"อืม ๆ สัญญาว่าจะพูดเพราะ ๆ กับหนูเหมือนเดิม"
... หนู?
หัวใจผมกระตุกวูบกับสรรพนามที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้มันทำให้รู้สึกแปลกไป รู้สึกถึงความร้อนวูบวาบที่ไล่ขึ้นมาถึงปลายหู แต่ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี ๆ ผมก็เผลอหลุดถามออกไป
"แล้วตกลง... เราเป็นอะไรกันครับ?"
คำถามนี้ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วใส่ผม
"อ้าว ไม่ใช่แฟนเหรอ?"
"ก็พี่ยังไม่ได้ขอผมนี่ครับ" ผมส่ายหัวช้า ๆ
เขานิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ
"...เออว่ะ"
จากนั้นเขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ ดวงตาสีเข้มทอดมองผมด้วยแววตาที่ต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
"งั้น... หนูจะเป็นแฟนกับพี่มั้ยครับ?"
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นโดยอัตโนมัติ ผมเงยหน้ามองเขา ก่อนพยักหน้ารับเบา ๆ
"ครับ ผมตกลง"
รอยยิ้มพอใจผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ก่อนที่ฝ่ามืออุ่น ๆ จะยกขึ้นมาประคองแก้มผม
"งั้น... พี่ขอหอมให้ชื่นใจหน่อย"
ริมฝีปากอุ่นแนบลงบนแก้มผมแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่คุ้นเคยจนไม่น่าจะรู้สึกแปลกอะไร แต่ครั้งนี้กลับทำให้หัวใจผมเต้นแรงผิดปกติ ราวกับมีกองไฟเล็ก ๆ ลุกวาบขึ้นมาตรงหน้าอก ผมรีบหลบตาเพราะกลัวเขาจะจับได้
แต่ดูเหมือนพี่เพลิงจะไม่จบแค่นั้น
"หอมอีกทีได้มั้ย เมื่อกี้ยังไม่เต็มปอด"
"พี่เพลิง!" ผมหันขวับไปมองเขาตาโต แต่ไม่ทันระวัง พี่เพลิงก้มลงมาเร็วมาก จนปลายจมูกโดนแก้มผมซ้ำเข้าไปอีกที
"โอ๊ะ... เผลอหอมอีกแล้ว ทำไงดีนะ?"
ผมหน้าร้อนวาบ รีบยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองอย่างหวงแหน "พอแล้ว!"
แต่เขากลับหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ มือใหญ่เอื้อมมาขยี้ผมผมเบา ๆ "หนูเขินเหรอ?"
"เปล่าซะหน่อย!"
"แน่ใจ?" เขาเลื่อนหน้ามาใกล้ขึ้น ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ "งั้นพี่ขออีกที"
"ไม่เอาแล้ว!" ผมรีบดันหน้าเขาออก แก้มแทบลุกเป็นไฟ
พี่เพลิงหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยื่นมือมาจับมือผมไว้แล้วบีบเบา ๆ "ล้อเล่น ๆ พี่ไม่แกล้งแล้วครับ"
แต่จากท่าทางเมื่อกี้… ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าเขาจะหยุดง่าย ๆ
ผมมองพี่เพลิงตาขวาง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกแกล้งอยู่ชัด ๆ แต่พอเห็นรอยยิ้มกวน ๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้าของเขาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"ไม่แกล้งแล้วจริง ๆ นะ?" ผมจ้องเขาอย่างระแวง
"ครับ ๆ ไม่แกล้งแล้ว" พี่เพลิงยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ แต่ดวงตาของเขายังมีแววเจ้าเล่ห์อยู่ชัดเจน
ผมพ่นลมหายใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนี แอบเม้มปากตัวเองแน่น ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังยิ้ม แต่ก็เหมือนจะสายไป เพราะเสียงทุ้มหัวเราะในลำคอเบา ๆ ดังขึ้นข้างหู
"น่ารัก"
คำพูดสั้น ๆ แต่ทำเอาผมสะดุ้ง รีบหันขวับไปมอง "พี่พูดอะไรนะ!?"
"ไม่ได้พูดอะไรเลย" เขาทำหน้าตาใสซื่อ แต่รอยยิ้มมุมปากมันฟ้องชัด ๆ
"พี่เพลิง!"
"หืม?" เขาขานรับหน้าตาเฉย
ผมอยากจะตีเขาสักทีให้หายหมั่นไส้ แต่พอเห็นสีหน้าผ่อนคลายของเขาหลังจากผ่านเรื่องหนัก ๆ มาด้วยกัน หัวใจมันก็ดันอ่อนยวบลงมาเอง
ผมกลอกตาเบา ๆ แล้วทิ้งตัวลงพิงโซฟา "เฮ้อ... พี่มันเจ้าเล่ห์"
"อ้าว หนูเพิ่งรู้เหรอ?" เขายกยิ้มก่อนจะขยับเข้ามาใกล้อีก
"ไม่ต้องมาใกล้เลยนะ!" ผมชี้นิ้วเตือนทันที
"ไม่ใกล้ได้ไง ก็หนูเป็นของพี่แล้วนี่"
"...!!!"
ผมหน้าแดงจัด จนต้องเอาหมอนมากอดแล้วทุบพี่เพลิงเบา ๆ "พอเลย! เลิกพูดแบบนี้นะ!"
พี่เพลิงหัวเราะเสียงดังแล้วเอื้อมมือมาจับหมอนที่ผมกอดไว้ ดึงเข้าหาตัวเองเบา ๆ "โอ๋ ๆ ไม่แกล้งแล้วครับ มานี่มา..."
เขาอ้าแขนเหมือนจะให้ผมเข้าไปซุก แต่ผมยังนั่งนิ่งมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ
"ให้กอดจริง ๆ หรือจะแกล้งอีก?" ผมหรี่ตาถาม
"จริง ๆ สาบานเลย" เขายิ้มอ่อนโยน ยกมือขึ้นทำท่าคิดว่าไร้พิษภัย
ลังเลอยู่แค่สองวินาที ผมก็ยอมขยับตัวเข้าไปใกล้ ซุกหน้ากับไหล่กว้างของเขา อ้อมแขนอบอุ่นค่อย ๆ โอบรัดตัวผมเอาไว้ ลูบหลังเบา ๆ ราวกับกำลังปลอบเด็กดื้อ
"เหนื่อยมามากแล้วนะ หนูเก่งมาก" เสียงกระซิบของเขาอ่อนโยนจนทำให้หัวใจของผมอบอุ่นไปหมด
ไม่รู้ว่าผมนั่งนิ่งไปนานแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกที หนังตาก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไปในอ้อมกอดของเขา...
–
หลังจากหลับไปได้สักพัก ผมก็ตื่นขึ้นมาในช่วงบ่าย รู้สึกตัวโล่งขึ้นจากเมื่อคืน อาการมึนหัวลดลงเยอะจนพอจะลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงได้
พี่เพลิงยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ เปิดหนังสืออ่านเงียบ ๆ ท่าทางสงบ แต่ทันทีที่ผมขยับตัว เขาก็ละสายตาจากหน้ากระดาษ หันมามองผมด้วยแววตาเป็นห่วง
"เป็นยังไงบ้าง หืม? หายตัวร้อนหรือยัง?" เสียงทุ้มต่ำของเขาอ่อนโยน มือใหญ่เอื้อมมาแตะหลังมือผมแผ่วเบา ราวกับกำลังตรวจเช็กอุณหภูมิ
ผมกระพริบตาปรับโฟกัส ก่อนจะพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้วครับ"
พี่เพลิงพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ข้างเตียงแล้วยื่นมาให้ "ดื่มน้ำหน่อย เดี๋ยวจะเวียนหัว"
ผมรับแก้วน้ำมาถือไว้ก่อนจะจิบช้า ๆ น้ำเย็นช่วยให้ลำคอที่แห้งผากของผมรู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มาก
"อืม… พี่เพิ่งนึกขึ้นได้" เขาพูดขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง "เรื่องไอ้โรคจิตที่มันลวนลามหนู พี่แจ้งตำรวจให้มาลากคอมันไปละ"
ผมชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้ามองพี่เพลิงอย่างตกใจ "จริงเหรอครับ?"
"อืม" เขาพยักหน้ารับ "แต่หนูต้องไปให้การกับตำรวจเพิ่มเติมนะ ไปไหวมั้ย?"
ผมเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบ "ครับ"
พี่เพลิงยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวผมเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู "เด็กดี ไม่ต้องห่วงนะ พี่อยู่กับหนูตลอด"
แม้ว่าจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แต่ความสงสัยก็ยังไม่หมด ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม "แล้ว… พี่ไปแจ้งตำรวจยังไงเหรอครับ?"
เขาเลิกคิ้วขึ้นนิด ๆ ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบา ๆ "ก็หลังจากพี่กระทืบมันจมกองตีนไปแล้ว ก็ค่อยเรียกตำรวจมาลากมันไป"
ผมเบิกตากว้าง ตื่นตะลึงกับคำตอบของเขา "โห พี่เพลิง… แอบโหดเหมือนกันนะครับ"
พี่เพลิงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ราวกับสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใช้นิ้วเกลี่ยแก้มผมเบา ๆ แล้วกระซิบเสียงต่ำ
"แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ… มันกล้ามายุ่งกับของ ๆ พี่เชียวนะ ไม่ตายก็บุญแล้ว"
ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งจากน้ำเสียงจริงจังของพี่เพลิง และจากสัมผัสแผ่วเบาที่ลากผ่านแก้มผมช้า ๆ
"พี่เพลิง…" ผมเรียกชื่อเขาเสียงเบา ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกขอบคุณหรือรู้สึกกลัวดี
พี่เพลิงมองสบตาผม แล้วยิ้มขี้เล่นก่อนจะเอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปกอดเบา ๆ
"อย่าทำหน้าแบบนั้น พี่ไม่ทำอะไรหนูหรอกน่า… ยกเว้นว่าหนูจะยั่วพี่ก่อน"
ผมเงยหน้าขึ้นทันที "พี่เพลิง! พอเลยนะ!"
เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วรัดอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย "โอเค ๆ ไม่แกล้งแล้วครับ… แค่กอดให้หายตกใจเฉย ๆ"
แม้จะอยากเถียง แต่สัมผัสอบอุ่นจากอ้อมกอดของพี่เพลิงก็ทำให้ผมเลือกที่จะเงียบ ซุกหน้าลงกับไหล่ของเขาแทน… และปล่อยให้ตัวเองได้รับความอบอุ่นนี้ไปอีกสักพักก็แล้วกัน
–
: Part เพลิงภพ ที่สถานีตำรวจ ผมยืนกอดอกมองเข้าไปในห้องขังแคบ ๆ หลังซี่ลูกกรง ไอ้สารเลวนั่นนั่งอยู่ตรงมุมห้องในสภาพที่ยังมีรอยฟกช้ำเต็มหน้า คิ้วแตก ปากแตก และผ้าพันแผลพันรอบแขนจากแผลที่ผมฝากไว้เมื่อคืน
เห็นหน้ามันแล้ว… กูอยากซัดซ้ำให้หนักกว่าเดิม
กำหมัดแน่นโดยอัตโนมัติ ความโมโหมันแล่นขึ้นมาอีกระลอก แค่คิดว่ามันเคยแตะต้องตัวธารา ผมก็แทบคลั่งแล้ว
ไม่รอดแน่ ถ้าไม่มีกรงเหล็กกั้น กูจะซ้ำให้หนักกว่านี้อีก
"ไอ้เวรเอ๊ย…" ผมพึมพำเสียงต่ำ ก้าวขาเข้าไปอีกนิด กะจะเข้าไปใกล้จนสุดขอบลูกกรง อยากให้มันรับรู้ว่าถึงมันจะอยู่ในนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ลืมสิ่งที่มันทำ
แต่ทันทีที่กำลังจะเดินเข้าไป ธารากลับคว้าแขนเสื้อผมไว้แน่น
"พี่เพลิง พอเถอะครับ"
ผมหยุดชะงัก หันไปมองเขา ธาราส่ายหัวช้า ๆ ดวงตาของเขามีแววอ้อนวอนชัดเจน มือเล็กกำแขนเสื้อผมไว้แน่นจนข้อขาว
"อย่าให้มันมีข้ออ้างเล่นพี่กลับเลยนะครับ เราแจ้งความแล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของตำรวจเถอะ"
ให้ตาย…
ทั้งที่ผมยังอยากซัดหน้ามันอีกสักทีแท้ ๆ แต่พอเห็นแววตาของธาราแล้ว…
ผมก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะสะบัดแขนเบา ๆ ให้มือเขาคลายลง
แต่แทนที่จะเดินออก ผมกลับก้าวเข้าไปใกล้ลูกกรงอีกนิด ก่อนจะโน้มตัวเข้าไป กระซิบเสียงเย็นที่มีแค่ผมกับมันได้ยิน
"ถ้ามึงออกมาแล้วคิดจะไปยุ่งกับธาราอีก… กูไม่ปล่อยให้มึงมีชีวิตรอดแน่"
คนในกรงตัวเกร็งขึ้นทันที มันเหลือบมองผมอย่างหวาดระแวง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนี
ดี… มึงควรกลัวกูแบบนี้แหละ
ผมกระตุกยิ้มเย็น ๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปหาธารา
มือเล็กของเขายังจับแขนเสื้อผมไว้แน่นเหมือนเดิม ผมเลยใช้มืออีกข้างลูบหัวเขาเบา ๆ
"ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ทำอะไรให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก"
ธารายังทำหน้าไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ แต่ก็ยอมพยักหน้าเบา ๆ
ผมถอนหายใจพลางกอดอก มองไอ้เวรที่ยังนั่งก้มหน้าหลบอยู่
"ฝากตำรวจจัดการให้เต็มที่ด้วยนะครับ" ผมพูดขึ้นเสียงเรียบ ตำรวจที่อยู่แถวนั้นพยักหน้ารับคำทันที
"แน่นอนครับ หลักฐานค่อนข้างชัดเจน ไม่น่ารอดง่าย ๆ"
ได้ยินแบบนั้นก็พอใจขึ้นมาหน่อย ผมหันไปโอบไหล่ธาราเบา ๆ ก่อนจะโน้มหน้าลงไปพูดข้างหู
"ออกไปจากที่นี่กันเถอะ หนูไม่ต้องมาเสียเวลามองหน้ามันอีก"
ธาราเงยหน้ามองผม ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
แล้วเราก็เดินออกมาจากสถานีตำรวจด้วยกัน โดยที่ผมวางมือไว้บนไหล่ของเขาตลอด…
–
ผมพาธาราเดินออกมาจากสถานีตำรวจ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยไอ้สารเลวนั่นก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวธาราได้อีก
แต่ถึงอย่างนั้น… ความรู้สึกหงุดหงิดมันก็ยังไม่หายไปง่าย ๆ
ผมเหลือบมองคนข้าง ๆ ที่ยังคงเงียบมาตลอดทาง มือของเขากำชายเสื้อตัวเองแน่น เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
"หนูโอเคไหม?" ผมถามขึ้นขณะเดินไปที่รถ
ธาราสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "ครับ"
ผมถอนหายใจ หยุดเดินก่อนจะจับไหล่เขาเบา ๆ บังคับให้เงยหน้ามองผมตรง ๆ
"พูดจริง?"
ธารากะพริบตา สบตาผมก่อนจะเบือนหน้าหนีเล็กน้อย "ก็... มันยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ครับ แต่มันจบแล้วใช่ไหม?"
"อืม" ผมตอบเสียงหนักแน่น "ไม่มีใครมายุ่งกับหนูได้อีกแล้ว พี่ไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรหนูได้อีก"
คนตัวเล็กกัดริมฝีปากก่อนจะพยักหน้า แต่ยังดูเหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ
"ธารา" ผมเรียกชื่อเขาตรง ๆ
"ครับ?"
"มีอะไรอยากพูดก็พูด พี่ฟังอยู่"
ธาราเม้มปากแน่นขึ้นเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดออกมา
"พี่เพลิง... ตอนที่พี่เข้ามาช่วยผมไว้ พี่โกรธมากเลยใช่ไหมครับ?"
ผมกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่จำเป็นต้องคิดเลยกับคำถามนี้
"หงุดหงิดจนอยากฆ่ามันให้ตายคามือเลยล่ะ"
ธาราถอนหายใจแรงขึ้น ก่อนจะตีแขนผมเบา ๆ "อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิครับ"
"พี่พูดจริง" ผมโน้มตัวลงมาใกล้ ๆ กระซิบข้างหูเขาเสียงต่ำ "แต่ถ้าหนูไม่อยากให้พี่ทำอะไรโหด ๆ อีก ก็อย่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายอีก เข้าใจไหม?"
ธาราชะงักไปกับคำพูดของผม เขาไม่ได้ตอบอะไร แค่พยักหน้าช้า ๆ
เห็นแบบนี้แล้ว ผมก็ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะยีหัวเขาเบา ๆ "เอาเถอะ ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า หิวแล้ว"
"พี่เพลิงก็พูดแบบนี้ตลอด" ธาราบ่นเบา ๆ แต่ก็เดินตามผมขึ้นรถแต่โดยดี
ผมหัวเราะเบา ๆ แล้วขับรถออกไป ปลายทางไม่ใช่ร้านอาหารหรูอะไร แต่เป็นคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ผมจำได้ว่าธาราเคยพูดถึง
"เอ๊ะ? พี่รู้ได้ไงว่าผมอยากมา?" ธารามองหน้าผมอย่างตกใจ
ผมยักไหล่ "ก็พี่ฟังที่หนูพูดไง"
ธารามองหน้าผมเหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาแทน
รอยยิ้มนั่น… แม่ง ทำให้ผมหายหงุดหงิดไปหมดเลย
ผมนั่งมองธาราที่กำลังตักเค้กเข้าปากตรงข้าม สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายขึ้นเยอะกว่าตอนอยู่ที่สถานีตำรวจ เห็นแบบนี้แล้วผมก็โล่งใจไปหน่อย
แต่ยังมีอีกเรื่องที่ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง
"แล้วเรื่องที่พี่บอกให้หนูลาออกจากงานล่ะ?" ผมเปิดประเด็นขึ้นหลังจากเงียบมาสักพัก
ธาราชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะวางส้อมลง "ผมตั้งใจจะลาออกจากงานพิเศษที่อื่นอยู่แล้วครับ แต่…"
เขามองหน้าผมเหมือนกำลังเลือกคำพูด ก่อนจะพูดต่อ "ผมขอทำงานที่คลินิกต่อไปได้ไหม?"
ผมขมวดคิ้วทันที "หนูไม่ต้องทำแล้วก็ได้ พี่ดูแลหนูได้ทุกอย่าง"
"ไม่ใช่เรื่องเงินครับ" ธารารีบพูดขึ้น ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ "ผมอยากเก็บประสบการณ์ ตอนนี้ผมยังเรียนไม่จบ แต่อีกหน่อยผมอยากเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง ถ้าผมไม่ได้ลองทำตอนนี้ ต่อไปผมจะไม่มีทางรู้เลยว่าต้องรับมือกับอะไรบ้าง"
คำพูดของเขาทำให้ผมนิ่งไป
ก็จริงของมัน…
ธาราไม่ได้ทำเพราะอยากหาเงิน แต่เขาทำเพราะอยากเรียนรู้ ผมรู้ว่าเด็กนี่ตั้งใจจริง เวลาทำอะไรก็ทำสุดตัว ไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย ๆ
"แล้วแอคเคาน์ไลฟ์สดนั่นล่ะ?" ผมถามต่อ แม้จะเดาได้ว่าเขาจะตอบว่ายังไง
"ผมตั้งใจจะปิดอยู่แล้วครับ" ธาราพูดออกมาตามที่คิดไว้ไม่มีผิด "ผมไม่อยากทำต่อแล้ว มันรู้สึกไม่ปลอดภัย แล้วผมเองก็เหนื่อยด้วย แค่เรียนก็หนักมากพอแล้ว" ผมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
"โอเค พี่เข้าใจ"
ธาราดูเหมือนจะโล่งใจที่ผมไม่เถียงอะไรต่อ แต่ก่อนที่เขาจะได้ดีใจไปมากกว่านี้ ผมก็พูดขึ้นอีกประโยค
"แต่มีข้อแม้"
เขาเลิกคิ้วขึ้น "อะไรครับ?"
"จะทำงานที่คลินิกต่อได้ แต่ต้องให้พี่ไปรับไปส่งเท่านั้น"
ธารามองหน้าผมเหมือนกำลังประมวลผล ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
"พี่เพลิง… ผมโตแล้วนะครับ ไม่ใช่เด็ก ๆ"
"แล้วไง?" ผมยักไหล่ "พี่ไม่สนหรอก ถ้าอยากทำงานต่อ ก็ต้องทำตามนี้"
เขาเม้มปากนิดหน่อยเหมือนไม่อยากเถียงกับผม สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้า "ก็ได้ครับ…"
"ดีมาก" ผมยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอื้อมมือไปยีหัวเขาเบา ๆ "เด็กดีของพี่"
ธาราบ่นงึมงำในคอ แต่ไม่ได้ปัดมือผมออก แถมยังหยิบเค้กเข้าปากต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เห็นแบบนี้แล้วผมก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
–
หลังจากนั่งกินขนมกันจนหมด ผมก็พาธารากลับไปที่ห้องของเขาเพื่อเก็บของ ตอนนี้ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้ม บรรยากาศเย็นลงเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาห้องของธาราจริง ๆ ปกติจะเห็นแค่ผ่านหน้าจอตอนที่เขาไลฟ์… แล้วก็นั่นแหละ คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มว่าผมเคยดูอะไรบ้าง
พอเข้ามาในห้อง ผมกวาดตามองรอบ ๆ ธาราอยู่แบบค่อนข้างเรียบร้อย ห้องไม่ได้รกมาก มีโต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือ เตียงนอน และตู้เสื้อผ้า ทุกอย่างถูกจัดเป็นระเบียบพอสมควร
"หนูเก็บเฉพาะของที่จำเป็นไปก่อน ส่วนที่เหลือค่อยให้คนมาช่วยย้าย" ผมบอกพลางเอนตัวพิงขอบประตู
"ครับ" ธาราพยักหน้าก่อนจะเริ่มเก็บของลงกระเป๋า
ส่วนผม… ก็เดินสำรวจไปรอบ ๆ ห้องเงียบ ๆ
ผมเหลือบไปเห็นรูปถ่ายเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เป็นรูปของธาราตอนเด็ก ๆ กำลังยิ้มกว้างอยู่ข้างแมวตัวหนึ่ง
"หนูเลี้ยงแมวตั้งแต่เด็กเลยเหรอ?" ผมถามพลางชี้ไปที่รูป
ธาราหันมามองก่อนจะยิ้มบาง ๆ "ครับ ตัวแรกที่เลี้ยงชื่อข้าวปั้น แต่มันอายุสั้น ผมร้องไห้หนักมากเลยตอนนั้น"
"หืม…" ผมพยักหน้ารับพลางมองรูปอีกครั้ง ภาพเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อุ้มแมวไว้ในอ้อมแขน ดูน่ารักกว่าที่คิดไว้เยอะ
ผมเดินต่อไปรอบ ๆ สายตาสะดุดเข้ากับกล่องเก็บของที่ถูกซ่อนไว้ใต้เตียง
กล่องอะไรของมันวะ?
มันถูกดันไว้ลึกพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่ว่าหาไม่เจอ ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย คิดว่าอาจจะเป็นของสำคัญของธาราเลยก้มลงไปดึงออกมาดู
"พี่เพลิง! อย่าเปิดนะ" *0*
เสียงธาราดังขึ้นแทบจะทันที แต่กว่าจะรู้ตัว กล่องก็ถูกเปิดออกแล้ว
ผมชะงักไปทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
...ให้ตายเถอะ
ตาผมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกระพริบตาปริบ ๆ มองสิ่งที่กองกันอยู่ในกล่อง
อุปกรณ์ผู้ใหญ่เต็มกล่อง
ผมเม้มปากแน่น นิ่งไปชั่วขณะ สมองประมวลผลภาพตรงหน้าไม่ทัน
...ดิลโด้ ขนาดต่าง ๆ
...กุญแจมือ
...เชือกมัด
...ไข่สั่น
...เซ็กส์ทอยอีกสารพัดแบบ
แม่ง…
"พี่เพลิง!!" ธาราร้องเสียงหลง รีบพุ่งเข้ามาเหมือนจะคว้ากล่องคืน แต่ผมขยับตัวเร็วกว่า ปิดฝากล่องไว้แน่น แล้วหันไปมองหน้าเจ้าของของพวกนี้ตรง ๆ
"...คือ…"
เขาหน้าแดงแจ๋ไปถึงใบหู ยืนกำมือแน่น เหมือนจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก
"...หนูจะอธิบายว่ายังไงดี?" ผมถามเสียงเรียบ แต่คิ้วกระตุกเล็กน้อย
"...ผม… ไม่ได้ใช้นะ!"
ผมเลิกคิ้วสูงกว่าเดิม "อ้าว? แล้วมีไว้ทำไมวะ?"
"มัน… มันเป็นของที่เคยใช้ตอนทำไลฟ์… แล้วก็เก็บไว้เฉย ๆ ผมไม่ได้เอามาใช้นานแล้ว!!" ธาราพูดเร็วเป็นพายุ มือปัดไปมาเหมือนพยายามแก้ตัวสุดชีวิต
ผมนั่งนิ่ง มองเขาที่หน้าแดงจนแทบจะเป็นลูกตำลึงสุก ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างอดไม่ได้
"หืม…" ผมลากเสียงยาวก่อนจะเอนตัวเข้าใกล้ธารานิดหน่อย "งั้น… ถ้าพี่บอกว่าอยากลองใช้กับหนูดูบ้างล่ะ?"
"พี่เพลิง!!"
เสียงร้องของธาราดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะโดนหมอนฟาดเข้าเต็มหน้า
: Part ธารา ผมอยากจะมุดหัวหนีไปให้ไกลจากตรงนี้
หน้าเห่อร้อนจนแทบไหม้ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนพี่เพลิงเล่นงานซะจนไม่เหลือที่ยืน แล้วที่แย่ที่สุดคือ… ไอ้กล่องใต้เตียง ที่ควรจะเป็นของลับสุดยอด กลับถูกเขาขุดคุ้ยเจอเข้าเต็ม ๆ แถมยังแซวไม่หยุดอีก
โคตรอาย!
ผมรีบยัดกล่องกลับไปใต้เตียงด้วยความเร็วสูง ก่อนจะหันไปมองคนตัวต้นเหตุที่ยังคงนั่งสบาย ๆ บนเตียง เหมือนจะพอใจที่ได้แกล้งผมสำเร็จ
"พี่เพลิง!" ผมเรียกชื่อเขาเสียงเขียว
"หืม?" เขาเลิกคิ้ว ยกมุมปากยิ้มกวน ๆ
"ลืมเรื่องเมื่อกี้ให้หมดเลยนะ!"
"เรื่องอะไรเหรอ?"
"ก็ไอ้… ไอ้กล่องนั่นไง!!"
พี่เพลิงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเท้าคางมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ "ให้ลืมง่าย ๆ นี่มันยากนะ หนูมีของสะสมเยอะขนาดนั้น"
"มันไม่ใช่ของสะสม!!" ผมเถียงเสียงดัง ยิ่งเขาพูดแบบนั้นหน้าผมก็ยิ่งร้อนขึ้น
"งั้นก็แปลว่าเคยใช้?"
"พี่เพลิง!!"
โอ๊ย! ผมจะบ้า! ทำไมหมอนี่ถึงกวนประสาทได้เก่งขนาดนี้?!
ผมกำหมัดแน่น สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะพยายามตั้งสติ "พี่เพลิง… ถ้าไม่หยุดแซว ผมจะไล่ออกจากห้องจริง ๆ ด้วย"
พี่เพลิงยักไหล่อย่างไม่สะทกสะท้าน "ถ้าหนูทำได้ก็ลองดู"
"..."
ไม่ไหวแล้ว ผมต้องหนีจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด!
"ผมจะไปอาบน้ำ!" ผมประกาศ ก่อนจะรีบคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่หันกลับมามองเขาเลย
ทันทีที่ปิดประตู ผมยืนพิงมันหอบแฮ่ก รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรงผิดปกติ
ให้ตายเถอะ… พี่เพลิงทำผมไปไม่เป็นอีกแล้ว
นี่ผมพลาดที่ให้เขาเข้าห้องมาใช่ไหมเนี่ย!?
ผมยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองเบา ๆ พยายามดึงสติกลับมาก่อนจะเปิดน้ำแล้วรีบอาบให้เร็วที่สุด
พออาบเสร็จและแต่งตัวเรียบร้อย ผมก็ค่อย ๆ เปิดประตูออกไปอย่างระแวง ใจหนึ่งก็กลัวว่าพี่เพลิงจะแซวต่อ แต่พอเห็นว่าเขานอนเล่นอยู่บนเตียงเงียบ ๆ ไม่ได้ขุดคุ้ยอะไรเพิ่ม ผมก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
"เลิกทำหน้าเหมือนพี่จะจับกินได้แล้ว หนูนั่นแหละที่ลากพี่เข้ามาในห้องเอง"
ผมชะงัก ก่อนจะเม้มปากแน่น "พี่เพลิง… พูดให้น่าฟังหน่อยได้ไหม"
"ครับ ๆ" เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วตบที่นั่งข้าง ๆ "มานั่งนี่ เดี๋ยวพี่ช่วยดูว่าต้องขนอะไรไปบ้าง"
ผมลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินไปนั่งลงข้าง ๆ ปล่อยให้พี่เพลิงช่วยดูของที่ต้องขนย้าย
แต่ในใจลึก ๆ … ผมก็อดระแวงไม่ได้เลยว่า พี่เพลิงอาจจะยังคิดจะแกล้งผมอยู่
ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกระเป๋าเดินทาง เปิดซิปกว้างเพื่อเก็บเฉพาะของที่จำเป็นจริง ๆ เสื้อผ้าแค่สองสามชุด ชุดนักศึกษา ชุดชั้นใน ของใช้ส่วนตัว ส่วนพวกหนังสือเรียนและอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับคลินิก ผมหยิบใส่กระเป๋าเป้แยกไว้
"ไม่ต้องขนไปเยอะหรอก"
เสียงทุ้มต่ำของพี่เพลิงดังขึ้น ผมหันไปมองเขาที่นั่งพิงขอบเตียงอยู่ สายตายังจับจ้องมาที่ผม
"พี่จะพาไปซื้อใหม่"
"ไม่ต้องก็ได้ครับ" ผมรีบพูดขึ้น "ผมมีของใช้พออยู่แล้ว"
"แต่พี่อยากซื้อให้" เขาว่าเสียงเรียบ
ผมถอนหายใจเบา ๆ รู้ดีว่าถึงเถียงไปก็คงไม่มีประโยชน์ สุดท้ายเลยพยักหน้ารับส่ง ๆ แล้วก้มลงจัดของต่อ
โชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์พอดี เลยไม่มีเรียน พรุ่งนี้ก็ได้หยุดอีกหนึ่งวัน ผมนั่งคิดไปเพลิน ๆ ว่าวันหยุดนี้จะทำอะไรดีนะ อยู่ห้องเฉย ๆ หรือออกไปหาอะไรอร่อย ๆ กินดี… แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรได้ เสียงทุ้มต่ำของพี่เพลิงก็ดังขึ้นจากข้าง ๆ
"พรุ่งนี้หนูว่างมั้ย?"
ผมละสายตาจากกระเป๋า หันไปมองเขาอย่างงุนงง "เออ… ครับ ว่างครับ"
พี่เพลิงกระตุกยิ้มมุมปาก "งั้นไปเที่ยวกัน"
"หืม… เที่ยว?" ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย
"อืม ตั้งแต่เราได้กันมา พี่ยังไม่เคยพาหนูไปเดทเลยนะ"
…เออ จริงแฮะ
พอเขาพูดแบบนี้ ผมก็เพิ่งคิดได้ว่าเหมือนเราข้ามขั้นตอนการทำความรู้จักกันไปเยอะเลย ตั้งแต่เจอกัน จบลงที่เตียง แล้วก็ค่อยมาเริ่มคุยจริงจังทีหลัง… มันดูย้อนกลับด้านไปหมด
"หนูอยากไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย?" พี่เพลิงถามเสียงนุ่ม
ผมกะพริบตาเล็กน้อย ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา "ผมอยากไปทะเลครับ"
สายตาของพี่เพลิงอ่อนลง ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ "โอเค งั้นไปทะเล"
"จริงนะ?" ผมมองเขาตาโต "ไม่ใช่ว่าพี่มีงานต้องทำหรอ?"
"กะอีแค่เคลียร์คิววันเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่" เขายักไหล่ "พี่อยากใช้เวลากับหนูมากกว่างานอยู่แล้ว"
ประโยคนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ อยู่ลึก ๆ คล้ายกับความอบอุ่นที่แทรกซึมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
"งั้น… พรุ่งนี้เราออกแต่เช้าเลยนะครับ" ผมพูดเสียงเบากว่าเดิม
พี่เพลิงยิ้มบาง ๆ แล้วเอื้อมมือมาหยีหัวผมเบา ๆ "ได้ครับ หนูอยากไปที่ไหน พี่พาไปหมด"
*********************** ใกล้จบแล้วนะครับบ เป็นแฟนกันสักที เดี๋ยวตอนหน้าเสิร์ฟโมเม้นต์หวานๆอย่างเดียวเลย เอาให้อิ่มไปเลยค้าบบบ ฝากแวะให้กำลังใจหน่อยน้าา
|