ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 47|ตอบกลับ: 1

ช่วยผมด้วย..ผมโดนมาเฟียรุมข่มขืน!? Chapter 7

[คัดลอกลิงก์]

มาเฟียนักศึกษา

กระทู้
105
พลังน้ำใจ
4799
Zenny
22591
ออนไลน์
1203 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด |โหมดอ่าน






07:00 AM - ลอนดอน


เช้าวันใหม่… แต่มันไม่ได้สดใสสำหรับเรนเลยสักนิด ความปวดเมื่อยแผ่ซ่านไปทั่วร่างตั้งแต่ลืมตาขึ้น เปลือกตาหนักอึ้งราวกับโดนถ่วง ความมึนงงก่อตัวในหัวขณะที่เขาพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงกว้าง ก่อนจะค่อย ๆ ปรับโฟกัสให้เข้าที่


ที่นี่… ไม่ใช่ห้องของเขา


กลิ่นของผ้าปูที่นอนแตกต่างจากที่คุ้นเคย บรรยากาศโดยรอบก็แปลกไป แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านม่านบางที่ถูกเปิดทิ้งไว้ราวกับเป็นนาฬิกาปลุกทางอ้อม เขายกมือขึ้นกดขมับขณะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง


ทันทีที่ขยับ ศีรษะกลับโคลงเคลงราวกับโลกทั้งใบกำลังหมุน ตาพร่าเลือนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มมองเห็นชัดขึ้น เรนขมวดคิ้วพยายามประติดประต่อความทรงจำ


เมื่อคืน… นิวคาสเซิล การต่อสู้ การไล่ล่า แรงสั่นสะเทือนจากแรงปะทะที่ยังคงตกค้างอยู่ในกล้ามเนื้อ ความร้อนวูบวาบจากแผลแตกเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป กระทั่งร่างกายถึงขีดจำกัด และวินาทีสุดท้ายเขาหมดแรงจนถูกแบกขึ้นหลังแคสเปอร์


แล้วตอนนี้…


เรนกวาดตามองรอบตัว เพดานสูงโปร่ง หน้าต่างกระจกบานใหญ่ทอดยาวเผยให้เห็นทัศนียภาพของเมืองจากระดับที่สูงลิบ


ที่นี่คือเพนต์เฮาส์ของแคสเปอร์


เขาถอนหายใจ พลันสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงที่เอนตัวอยู่บนโซฟา แคสเปอร์นั่งหลับในท่าทางที่ดูไม่สบายนัก เสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมสองเม็ดแรกยับนิด ๆ ผมสีบลอนด์ยุ่งเล็กน้อยจากการนอนทั้งที่ยังอยู่ในสภาพครึ่งตื่น ข้างกันนั้นมีชามน้ำและผ้าผืนเล็กพาดอยู่บนขอบชาม ภาพตรงหน้าทำให้เรนกระพริบตาปริบ ๆ


"อย่าบอกนะว่านายเฝ้าฉันทั้งคืน"


เสียงของเรนทำให้แคสเปอร์เริ่มรู้สึกตัว เขาขยับเล็กน้อยก่อนจะพ่นลมหายใจยาว หาวฟอดใหญ่พลางบิดขี้เกียจ


“ไง ดีขึ้นหรือยัง?”


เรนพยักหน้าช้า ๆ ลองขยับไหล่และหมุนข้อมือไปมาเพื่อไล่ความปวดเมื่อย แม้กล้ามเนื้อจะยังตึงอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีกว่าเมื่อคืนมาก "ก็ยังเมื่อย ๆ อยู่ แต่ดีกว่าเมื่อวานเยอะเลย" เขาว่า ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สายตาจับจ้องอีกฝ่ายขณะเอ่ยถามซ้ำด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ "จริงดิ… นายเฝ้าฉันทั้งคืน?"


“นายเล่นตัวร้อนขนาดนั้น จะให้ฉันหลับลงได้ยังไง” เสียงของเขาฟังดูเหมือนบ่นแต่ก็แฝงด้วยความเหนื่อยล้า แคสเปอร์ไม่ได้สบตาเรนโดยตรง แต่ยังคงใช้ปลายนิ้วคลึงขมับตัวเองราวกับพยายามปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มที่ “อีกอย่าง นายคงไม่อยากให้ใครมาเห็นนายในสภาพนี้หรอก ใช่มั้ย?”


เรนเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าตื่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน ขณะที่ยกมือขึ้นมากอดอกตัวเองไว้แน่น “งั้นก็แปลว่านายเห็นหมดแล้วสิ?”


แคสเปอร์ชะงักไปวินาทีหนึ่งก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “อย่าปัญญาอ่อนหน่อยเลยเรน” เขาเอื้อมมือไปหยิบหมอนใบเล็กจากข้างตัวแล้วโยนใส่เรนเบา ๆ “คิดว่าตัวเองมีอะไรน่าดูนักหรือไง? นายก็แค่ไข้ขึ้นแล้วสลบไป ฉันก็แค่เช็ดตัวให้ แล้วนายก็เอาแต่ละเมอพูดถึงอะไรไม่รู้”


เรนรีบเงียบ เขากระแอมในลำคอ กอดอกแน่นกว่าเดิมก่อนจะมองไปทางอื่น


“อย่าบอกนะว่าฉันพูดอะไรแปลก ๆ ออกไป”


แคสเปอร์กระตุกยิ้มมุมปาก “อืม… ก็ไม่ได้แปลกขนาดนั้นหรอก”


เรนขมวดคิ้วทันที “นี่นาย อย่ามากวนประสาท ฉันพูดอะไรออกไป?”


แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ “คิดค่าบอกแพงนะ จ่ายไหวเหรอ?”


เรนกลอกตา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง “โอ๊ย หมอนี่มันน่าต่อยจริง ๆ”


แคสเปอร์มองเรนที่ยังคงซุกตัวอยู่กับผ้าห่ม ก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเอง “เอาน่า เดี๋ยวฉันให้คนเตรียมอาหารให้นายก่อน ค่อยไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา พักให้เต็มที่ วันนี้ยังไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น”


เรนลืมตาขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "ก็ได้…แล้วจะไม่บอกจริงๆ ใช่มั้ย”


แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ พลางส่ายหน้า “เดี๋ยวก็รู้..”






--






กลิ่นหอมของข้าวต้มร้อน ๆ ลอยอวลไปทั่วห้อง ละอองไออุ่นจากชามกระเบื้องสีขาวลอยขึ้นเป็นสาย ทำให้ท้องที่ว่างเปล่ามาหลายวันเริ่มประท้วงเสียงดัง จ๊อก เรนค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นนั่งบนเตียง ความอ่อนล้าทำให้ทุกการเคลื่อนไหวเชื่องช้าเหมือนร่างกายยังไม่ยอมตื่นเต็มที่ เรี่ยวแรงที่คิดว่าพอมีติดตัวหายไปหมดเกลี้ยง


นี่เขาหิวขนาดนี้เลยเหรอ?


นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องไปที่ชามข้าวต้มตรงหน้า น้ำซุปสีใสโรยหน้าด้วยต้นหอมซอย เนื้อไก่ฉีกนุ่ม ๆ ที่แหวกอยู่ท่ามกลางเม็ดข้าวต้มสีขาวขุ่นดูสมบูรณ์แบบราวกับสวรรค์ส่งมา เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกระลอก เรนกลืนน้ำลาย เฮือก แล้วรู้สึกเหมือนน้ำตาจะรื้นขึ้นมา


หลายวันมานี้เขากินแต่ของสำเร็จรูปที่รสชาติแย่ยิ่งกว่ากระดาษแข็ง บางครั้งก็แทบไม่มีเวลาได้กินด้วยซ้ำ


แคสเปอร์ที่สังเกตเห็นสีหน้าของเรนอยู่เงียบ ๆ ยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วตวัดสายตาไปทางลูกน้องที่ยังยืนรออยู่


"ออกไปก่อน"


เหล่าชายชุดดำที่ยกอาหารเข้ามาโค้งศีรษะรับคำสั่ง ก่อนจะพากันถอยออกจากห้อง ประตูปิดลง เหลือเพียงแค่เขาสองคนกับข้าวต้มร้อน ๆ ที่ยังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจอยู่ตรงหน้า


เรนจ้องมันตาเป็นประกาย แต่ก็ยังนิ่งอยู่ ไม่ใช่เพราะไม่อยากกิน แต่เพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้จริง ๆ


แคสเปอร์เหลือบตามองท่าทางนั้น ก่อนจะเลิกคิ้ว "นายจะร้องไห้ทำไม?"


เรนเงยหน้าขึ้นมองเขา ตาแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือ "ฮืออ ฉันดีใจที่ในที่สุดฉันก็ได้กินของอร่อยสักที"


แคสเปอร์ชะงักไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โอ๊ย… ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงยังเป็นเด็กอยู่”


"มันเรื่องใหญ่นะ!" เรนยกช้อนขึ้น ก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากคำใหญ่ ตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่รสชาติกลมกล่อมสัมผัสลิ้น


แคสเปอร์มองภาพนั้นแล้วยกมุมปากขึ้น ก่อนจะลุกไปหยิบแก้วน้ำมาให้ "กินช้า ๆ เดี๋ยวก็สำลักหรอก"


"อื้อออ" เรนพยักหน้าหงึก ๆ แต่ไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยสักนิด


แคสเปอร์ถอนหายใจอีกครั้ง มองภาพเด็กน้อยที่กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา จับจ้องไปที่เรนที่ดูเหมือนจะลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ


บางทีอาหารก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เด็กคนนี้มีความสุขจริง ๆ


ไม่นานหลังจากนั้น แคสเปอร์มองเด็กน้อยตรงหน้าที่ลูบท้องเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าอิ่มแล้ว หลังจากซัดข้าวต้มลงไปจนหมดเกลี้ยง


“อิ่มแล้ว?”


เรนพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข แคสเปอร์ส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหยิบกาน้ำชาที่วางอยู่ข้างกันขึ้นมารินใส่ถ้วย ไอร้อนจากน้ำชาลอยขึ้นมาจาง ๆ กลิ่นหอมของชาอู่หลงกระจายไปทั่วห้อง ก่อนที่เขาจะส่งถ้วยชานั้นให้กับเรน


เด็กน้อยรับมันมาด้วยสีหน้าสงสัยเต็มเปี่ยม "นี่คืออะไร?"


"ชาอู่หลงไง"


เรนกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหรี่ตาลง "ห๊ะ…"


"ก็นายละเมอว่าอยากกิน"


“…?”


"แต่นายยังกินน้ำเย็นไม่ได้ กินร้อน ๆ ไปก่อนละกัน"


เรนทำหน้าตึงขึ้นมาทันที หรี่ตาจับผิด "ถามจริง?"


แคสเปอร์ยักไหล่ "อืม หน้าฉันเหมือนคนโกหกหรือไง?"


เรนเม้มปากก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาช้อนตาขึ้นมองแคสเปอร์ สีหน้าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าโดนโกงอะไรไปสักอย่าง


"แต่ฉันไม่ได้หมายถึงชา"


"แล้วนายหมายถึงอะไร?" แคสเปอร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย


เรนจ้องเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมไปหยิบหมอนใกล้ตัวขึ้นมากอดไว้แน่น "นายสัญญาอะไรไว้กับฉัน?"


คิ้วของแคสเปอร์ขมวดเข้าหากันทันที เขาทำท่าครุ่นคิดแวบหนึ่งก่อนจะนึกได้ว่าเขาไปให้สัญญาอะไรกับเด็กน้อยตรงหน้าเข้า


"แอลกอฮอล์ยังไงล่ะ!"


แคสเปอร์กระพริบตาปริบ ๆ มองเรนที่ตอนนี้ทำหน้าตึงขึ้นมาทันที ราวกับกำลังจะงอแง


"วันนั้นพวกนายให้ฉันนั่งกินน้ำชาอยู่คนเดียวเลย ไหนบอกว่าเสร็จงานจะจัดให้ไม่อั้นไง!"


“…”


"นี่นายหลอกฉันเหรอ!"


เรนทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ แคสเปอร์พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ พลางยกมือขึ้นเสยผมตัวเอง "โอ๊ย… ฉันลืมไปเลย"


"แล้วไง! ฉันอุตส่าห์ตั้งตารอ!"


แคสเปอร์หัวเราะขำ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเรนเบา ๆ "เอาน่า ฉันสัญญาว่าจะเลี้ยงนายแน่ ๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ นายเพิ่งฟื้นนะเรน"


เรนเบะปาก "ฉันไม่ได้เป็นอะไรขนาดนั้นซะหน่อย"


แคสเปอร์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยื่นถ้วยชาให้ "เอาอันนี้ไปก่อนนะนายน้อย ค่อย ๆ จิบ เดี๋ยวเรื่องเหล้าน่ะ ฉันจัดให้แน่นอน"


เรนมองชาอู่หลงในมือ ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างปลง ๆ "ให้มันจริงเถอะ"


"จริงสิ"


"คำไหนคำนั้นนะ"


แคสเปอร์หัวเราะอีกครั้งก่อนจะพยักหน้า "แน่นอน แต่ก่อนอื่น พักก่อนเถอะนายน้อยของพวกเรา"


เรนกลอกตา ขยับตัวเอนหลังพิงพนักโซฟาอย่างหมดแรง พลางยกถ้วยชาอู่หลงขึ้นจิบ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของชาอุ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างช่วยไม่ได้


แต่ยังไม่ทันที่บรรยากาศสงบ ๆ จะอยู่ได้นาน เสียงสั่นของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เรนเหลือบตามองหน้าจอ วิดีโอคอลจาก เสี่ยวไป๋


"ใครโทรมา?" แคสเปอร์ถามโดยที่ยังไม่ละสายตาจากเรน


"เสี่ยวไป๋" เรนพึมพำ ก่อนจะกดรับทันที แต่พอภาพปรากฏขึ้น คนที่อยู่ปลายสายก็ไม่ได้มีเพียงเสี่ยวไป๋ แต่ยังมี ราฟาเอโร่ และ กาย นั่งอยู่ด้วยกัน


"เป็นไงบ้าง เรนคุง ดีขึ้นมั้ย?" กายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นตามแบบฉบับของเขา


เรนทำตาเป็นประกาย ก่อนจะเปลี่ยนโหมดเป็นเด็กอ้อนทันที "ฮืออ พี่กาย ฉันอยากให้พี่มารักษาฉันจัง ปวดไปหมดแล้ว~" น้ำเสียงลากยาวอย่างเว้าวอน


เสี่ยวไป๋ถอนหายใจ พลางเอนตัวพิงพนักโซฟา "ไม่ต้องมางอแงเลย เล่นหมดสภาพขนาดนั้น"


เรนยู่หน้า "ฉันทำอะไร ฉันเต็มที่ ทุ่มสุดตัวเสมอ!"


"แต่ลำบากฉัน" คราวนี้ไม่ใช่เสียงจากปลายสาย แต่เป็นเสียงของ แคสเปอร์ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ


เรนหันขวับไปมองแคสเปอร์ ขณะที่ปลายสายหลุดหัวเราะกันเบา ๆ


"เออใช่! นายเป็นยังไงบ้างล่ะ?" กายถามขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม


"ฉันก็สบายดี" แคสเปอร์เอนหลังพิงพนักโซฟา ยกขาขึ้นไขว่ห้างสบาย ๆ "แค่ต้องคอยดูแลเด็กดื้อที่เอาแต่ใจเท่านั้นเอง"


"ไม่ได้เอาแต่ใจสักหน่อย!" เรนแย้งทันควัน ก่อนจะเบนกล้องไปทางอื่นเหมือนงอน แต่ก็ยังจิบน้ำชาไปด้วย


"หืม? แล้วเมื่อกี้ที่ทำเสียงอ้อนกายล่ะ?" เสี่ยวไป๋เลิกคิ้ว


เรนชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกระแอมแล้วตอบเนียน ๆ "อันนั้นมันคนละเรื่อง"


แคสเปอร์กลอกตาอย่างปลงตก ส่วนราฟาเอโร่ที่นั่งฟังเงียบ ๆ มาตลอด ก็พูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก "พักให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้เข้ามาพบฉัน" น้ำเสียงราบเรียบ ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ


เรนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับเสียงอ่อย ๆ "ครับ ๆ"


"ดี" ราฟาเอโร่ตอบแค่นั้น ก่อนที่สายจะถูกตัดไป ทิ้งให้เรนนั่งทำหน้าเหมือนเพิ่งได้รับหมายศาล


แคสเปอร์มองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วหัวเราะเบา ๆ "กลัวล่ะสิ?"


เรนยู่หน้า "เปล๊าาาา!" แต่สีหน้าของเขาฟ้องหมดแล้วว่าโกหกไม่เนียน


"หึ เดี๋ยวฉันไปส่งนายเอง" แคสเปอร์ว่าก่อนจะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย "แต่ก่อนอื่น ไปอาบน้ำล้างหน้าให้สดชื่นก่อนจะได้ไม่ดูเหมือนลูกหมาตกน้ำ"


เรนถลึงตาใส่แคสเปอร์ก่อนจะคว้าหมอนขว้างใส่ "ใครลูกหมา!"


เสียงหัวเราะของแคสเปอร์ดังก้องทั่วห้อง ขณะที่เรนยังคงทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนล้อ แต่สุดท้ายก็ยอมลุกไปอาบน้ำแต่โดยดี










ซ่า... ซ่า…


เสียงน้ำกระทบพื้นห้องอาบน้ำดังคลอไปกับไออุ่นที่ลอยฟุ้งทั่วพื้นที่ปิด เรนยืนนิ่งใต้ฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำร้อนชะล้างความเหนื่อยล้า ผิวขาวซีดสะท้อนแสงไฟ ละอองน้ำเกาะพราวบนกล้ามเนื้อสมส่วน รอยขีดข่วนบาง ๆ ตัดกับลวดลายที่สลักลึกลงไปใต้ผิว


เขาลูบมือไปตามร่างกาย รอยสักสีดำเข้มโดดเด่นเมื่อถูกชะล้างด้วยหยาดน้ำ มังกรดำทอดตัวยาวเต็มแผ่นหลัง เปลวควันที่โอบล้อมแต่งแต้มด้วยสีแดงฉานราวกับลุกไหม้ ปีกกว้างที่แผ่ไปถึงหัวไหล่ขับให้มันดูมีชีวิต ซากุระโปรยปรายทั่วหลัง บางกลีบไหลไปตามโค้งเว้า ทุกลวดลายขยับตามแรงเคลื่อนไหวของเขา


เรนลูบผ่านอก หน้ากากเทนงูสีแดงฉานยังสลักอยู่เหนือหัวใจ แววตาเย้ยหยันที่จ้องตอบกลับมาเสมอ สายตาเลื่อนไปยังใต้ไหปลาร้าซ้าย ขนนกสีดำล้อมด้วยลวดลายบางเฉียบคล้ายสายลมพริ้ว ดูเรียบง่ายแต่น่าจับตามอง ต่างจากรอยสักอื่นบนร่างกายที่เต็มไปด้วยความดุดันและรุนแรง


นิ้วเรียวลากตามแนวเกล็ดงูสีเงินที่เลื้อยพันจากหัวไหล่จรดข้อมือ สัมผัสของมันเหมือนมีชีวิต ทุกครั้งที่เขาขยับนิ้ว มันดูราวกับจะเคลื่อนไหวตาม


เรนถอนหายใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นรับสายน้ำที่รินไหลลงมาตามไรผม ละอองน้ำชะล้างร่องรอยจากค่ำคืนที่ผ่านมา เปลือกตาปิดลงช้า ๆ ปล่อยให้เสียงน้ำกลบทุกความคิดของเขา


เรนยกมือเสยผมเปียกที่ลู่แนบกับศีรษะ ละอองน้ำเกาะพราวไหลซึมตามแนวกรอบหน้าลงมาตามลำคอ เขาหยิบผ้าขนหนูจากราวแขวนมาพันรอบเอว ก่อนจะคว้าอีกผืนขึ้นมาซับหยดน้ำที่หยาดลงมาตามผิวกาย


ไอร้อนจากห้องอาบน้ำยังลอยอ้อยอิ่ง กลิ่นสบู่อ่อน ๆ คลอเคลียไปกับไอละอองน้ำ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ร่างโปร่งใช้ปลายนิ้วขยี้ผมเบา ๆ ไล่หยดน้ำออกจากเส้นผมโดยไม่รีบร้อน แม้ร่างกายจะยังระบมจากการต่อสู้ แต่ความเหนอะหนะที่เกาะติดมาตลอดทั้งคืนถูกชะล้างออกไปจนหมด


เรนหยิบชุดคลุมมาสวมอย่างลวก ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำอย่างเชื่องช้า แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับภาพของแคสเปอร์ที่นั่งจมอยู่ในกองเอกสาร โต๊ะทำงานเต็มไปด้วยแฟ้มหนาปึก รายงานตัวเลข และเอกสารสัญญาที่กองพะเนินสูงจนแทบจะทับร่างของเจ้าของเพนต์เฮาส์ได้


“นายต้องอ่านทั้งหมดนี่เลยเหรอ?” เรนเลิกคิ้ว มองแฟ้มตรงหน้าแคสเปอร์ก่อนจะเดินไปพิงขอบโต๊ะ ขณะที่อีกฝ่ายยังคงขยับปากกาไปมาไม่หยุด


แคสเปอร์เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจากเอกสารตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าเข้มฉายแววเหนื่อยล้าแต่ก็ยังมีรอยยิ้มบาง ๆ แต้มอยู่ที่มุมปาก “นี่แค่บางส่วนนะ”


เรนกลอกตา มองกองเอกสารที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมดง่าย ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาใกล้ ๆ ขยับตัวให้สบายขึ้นแล้วถอนหายใจ “ดีแล้วล่ะที่ฉันไม่ได้เกิดมาเป็นนักธุรกิจ ไม่งั้นคงได้ปวดหัวตาย”


“นายก็ไม่ต้องคิดอะไรมากนี่” แคสเปอร์หยิบเอกสารขึ้นมาอีกปึกหนึ่งก่อนจะเซ็นต่อ “แค่ใช้กำลังอย่างเดียวก็พอ”


เรนหัวเราะเบา ๆ ขยับตัวเอนพิงพนักโซฟาพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง “ก็จริง แต่ฉันไม่ใช่คนใช้แรงอย่างเดียวสักหน่อย”


แคสเปอร์ปรายตามองก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “อืม นอกจากใช้กำลังแล้ว นายก็ยังใช้ปากเก่งด้วย”


“เฮ้!” เรนทำเสียงไม่พอใจ ขณะที่แคสเปอร์หัวเราะในลำคอ พวกเขาเถียงกันเล่นไปมาอย่างเคยชิน










วันนี้ทั้งวันแคสเปอร์ยังคงขลุกตัวอยู่กับเรน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ด้วยภาระงานที่รัดตัว เอกสารมากมายกองสูงรอให้เซ็นอนุมัติ ตารางบินที่แน่นเอี๊ยด และการประชุมที่ดูเหมือนไม่มีวันจบสิ้น


เรนนั่งอยู่ไม่ไกล สวมเสื้อยืดลำลองกับกางเกงสบาย ๆ ปล่อยตัวตามอารมณ์ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักโซฟา มองดูแคสเปอร์ทำงานเงียบ ๆ


แคสเปอร์รับรู้ถึงสายตาที่จ้องมา เขาหยุดปากกาที่กำลังขีดลงบนเอกสาร ก่อนจะเงยหน้าขึ้น


“มีอะไร”


“เปล่า แค่เบื่อ ๆ” เรนตอบสั้น ๆ


“อืม แล้วมานั่งมองฉันทำงานไม่เบื่อหรือไง”


“ก็เบื่อ… แต่ก็ดีกว่านอนเฉย ๆ”


แคสเปอร์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองเด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาอ่านไม่ออก ก่อนจะถามขึ้น “นายโอเคใช่ไหม ที่มาอยู่กับพวกเรา?”


คำถามนั้นทำให้เรนชะงักไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาคมสีน้ำตาลเข้มทอดมองไปยังวิวนอกหน้าต่างของเพนต์เฮาส์ที่เผยให้เห็นเมืองใหญ่ในยามเย็น ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แสงสีทองกระทบกระจกทำให้ทุกอย่างดูเหมือนถูกแต่งแต้มด้วยสีอุ่น แต่ในดวงตาของเรน มันไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าความว่างเปล่า


แคสเปอร์มองเรนแล้วอดนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับเด็กคนนี้ไม่ได้ ตอนนั้นเรนอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่วัยรุ่น แม้อายุยังน้อย แต่แววตากลับสะท้อนถึงปีศาจในร่างมนุษย์ มันไม่ใช่สายตาของเด็กวัยเดียวกัน มันเป็นดวงตาของคนที่เคยเห็นความตายมากเกินไป คนที่ปกปิดทุกความรู้สึกจากโลกภายนอก แม้แต่รอยยิ้มก็ใช้เวลานานกว่าจะเผยให้พวกเขาเห็น


เรนเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลยากูซ่าเก่าแก่ของญี่ปุ่น เติบโตมาท่ามกลางคมดาบและเสียงปืน สภาพแวดล้อมที่ความตายเป็นเรื่องปกติ คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ การฆ่าเป็นเพียงเรื่องธรรมดา และเขาเคยชินกับมันมากพอที่จะไม่หลับตาหรือเบือนหน้าหนีเลือดที่เปื้อนมือของตัวเอง


"ฉันโอเค" เรนตอบในที่สุด น้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่มีแววลังเล "ยังไงฉันก็ได้ประโยชน์จากพวกนายนะ… ตระกูลของฉันยังต้องมีที่ให้พึ่งพา"


แคสเปอร์เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจเบา ๆ "แล้วที่ญี่ปุ่นล่ะ?"


เรนไหวไหล่น้อย ๆ ก่อนจะเอนตัวลงกับโซฟา หลับตาพักสายตาชั่วครู่ "ก็เหมือนเดิม รายได้หลักมาจากค่าคุ้มครอง ถ้าไม่นับอสังหาริมทรัพย์ บ่อนคาสิโน ไปจนถึงเครือข่ายใต้ดิน เรื่องยาเสพติด การฟอกเงิน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามระบบของมัน… อีกหน่อยฉันก็คงต้องเรียนรู้ทั้งหมดเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นไปก่อน"


แคสเปอร์พยักหน้า รับรู้ถึงน้ำหนักของสิ่งที่อีกฝ่ายต้องแบกรับ แม้ภายนอกเรนจะเป็นคนขี้เล่น กวนประสาท ทำตัวสบาย ๆ เหมือนไม่เคยคิดมากอะไร แต่ในความจริงแล้ว เขาไม่ต่างจากคนที่เกิดมาพร้อมโซ่ตรวนล่ามไว้กับขา หลายสิ่งที่เขาแบกอยู่หนักหนากว่าที่ใครมองเห็น และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเรนถึงเลือกที่จะทำตัวไร้กังวล เพื่อไม่ให้ใครมองเห็นความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ข้างใน


“แล้วนี่หิวหรือยัง”


ประโยคนั้นทำให้คนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่ดี ๆ เปลี่ยนสีหน้าแทบจะในทันที ดวงตาที่ดูเอื่อยเฉื่อยเมื่อครู่พลันเป็นประกาย


“หิว~” เสียงลากยาวเต็มไปด้วยความคาดหวัง


แคสเปอร์เลิกคิ้ว ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ "อารมณ์เปลี่ยนง่ายเหลือเกินนะ…" เขาอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนั้น ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง “งั้นไปหาอะไรกินกัน”


เรนแทบจะกระโดดตามไปทันที ราวกับลูกหมาที่กำลังตื่นเต้นกับมื้ออาหาร ขี้เล่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นภาพที่ใครเห็นก็คงยากจะเชื่อว่าคนคนนี้คือทายาทของตระกูลยากูซ่าผู้แข็งแกร่งและโหดเหี้ยม






--






[JB’ s Part]


ผมไม่เคยชอบความเงียบ เพราะมันมักเป็นสัญญาณเตือนก่อนที่พายุจะซัดกระหน่ำ ผมยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองทอดออกไปยังเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แสงไฟจากตึกสูงสะท้อนอยู่ในดวงตา ทอดยาวไปจนสุดสายตา ทุกอย่างดูสงบนิ่งจนน่าอึดอัด ทว่าภายใต้ความเงียบงันนั้น พายุลูกใหญ่กำลังก่อตัวอย่างเชื่องช้า และผมรู้ดีว่ามันกำลังคืบคลานเข้ามาเร็วกว่าที่คิด


ช่วงนี้คิมบอมอารมณ์เสียบ่อยขึ้น ผมเดาได้ไม่ยากว่ามันเกี่ยวกับเครือข่าย ‘ขนนกสีเงิน’ พวกมันเล่นงานเราเงียบ ๆ ตัดกำลังอย่างแม่นยำราวกับรู้ทุกการเคลื่อนไหว และคิมบอมเกลียดการที่ตัวเองถูกควบคุมโดยใครก็ตาม


คิมบอมต้องการโค่น ‘กลุ่มอำนาจขนนกสีเงิน’ และยึดตลาดของพวกมันมาเป็นของตัวเอง แผนของเขารวดเร็วและรุนแรง แต่ปัญหาคือ พวกมันไม่ใช่กลุ่มที่สามารถโค่นล้มได้ง่าย ๆ พวกมันไม่เคยเคลื่อนไหวแบบตรงไปตรงมา ไม่มีเป้าหมายตายตัว ไม่มีหัวหน้าคนเดียว และที่แย่ที่สุด… มันทำให้เราเดาทางพวกมันไม่ได้เลย


ข่าวลือเกี่ยวกับ ‘ขนนกสีเงิน’ แพร่สะพัดในเครือข่ายธุรกิจใต้ดิน ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันเป็น ‘ปีศาจที่มองไม่เห็น’ เจ้าถิ่นที่ไม่มีใครล้มได้ การลักลอบค้าอาวุธ การฟอกเงิน การควบคุมคาสิโนผิดกฎหมาย ทุกอย่างอยู่ในเครือข่ายของพวกมัน ผมพยายามสืบหาข้อมูลมากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่สิ่งที่รู้ในตอนนี้มีเพียงแค่ชื่อของบุคคลที่อาจเป็นแกนกลางขององค์กร ‘ราฟาเอโร่’


ผมเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจสีเทาทั่วทั้งยุโรป ชื่อของเขาเป็นเหมือน ‘คำต้องห้าม’ ในวงการนี้ ไม่มีใครอยากเอ่ยถึง และไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับเขา แต่ดูเหมือนคิมบอมจะไม่สนใจเรื่องพวกนั้น เขาต้องการทุกอย่าง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ผมไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ความพยายามของเขาเริ่มส่งผลกระทบมากกว่าที่ควร


ผมถอนหายใจ เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูข้อความเก่า ๆ แคสเปอร์เงียบไปหลายวันแล้ว ไม่มีข้อความกวนประสาท ไม่มีการติดต่อจากเขาเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็ดีแล้ว ผมไม่ต้องการให้เขามาเป็นตัวปัญหาในช่วงเวลาที่สถานการณ์ของผมกำลังตึงเครียดขนาดนี้


ผมหยิบปืนขึ้นมา หมุนมันในมือเล็กน้อยก่อนจะไล่นิ้วไปตามโครงโลหะเย็นเฉียบ ตรวจเช็คทุกส่วนอย่างเป็นระบบ ปลดแมกกาซีนออก นับจำนวนกระสุน ก่อนจะกดกลับเข้าที่พร้อมเสียงคลิกที่ดังเบา ๆ ลำกล้องจรดแนวสายตา ผมลองเล็งไปยังจุดหนึ่งในห้อง เสี้ยววินาทีนั้นสมองคำนวณความแม่นยำโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างต้องพอดี เป้าหมายต้องล้มลงโดยไม่ต้องยิงซ้ำ


ระยะไกลคือความถนัดของผม ปืนไรเฟิลซุ่มยิงคือคู่หูที่ใช้มาไม่รู้กี่ภารกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าในระยะประชิดผมจะไร้พิษสง มีดพกที่เสียบอยู่กับซองหนังข้างต้นขาถูกดึงออกมาหมุนเล่น ไอโลหะสะท้อนแสงวาบ มันเล็กพอที่จะซ่อน แต่ใหญ่พอจะจบชีวิตใครสักคนได้ในเสี้ยววินาที มือของผมคุ้นเคยกับแรงสะท้อนของปืน คมของใบมีด และน้ำหนักของร่างที่ทิ้งลงมาบนพื้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สอนให้เรียนรู้ได้เร็วไปกว่าการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย


แต่ถ้าปืนยิงไม่ได้ มีดใช้ไม่ได้ ทางเดียวที่เหลือคือมือเปล่า ผมเคยอยู่ในจุดที่ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองมาแล้ว ผมไม่ได้อยากทำเรื่องพวกนี้ ไม่เคยอยากเลยสักครั้ง แต่ผมไม่มีสิทธิ์เลือก


การดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด มักแลกมาด้วยอีกชีวิตที่ต้องดับสูญ ในโลกที่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์อันไม่มีที่สิ้นสุด แทบไม่มีที่ว่างให้ผมได้หายใจเต็มปอดเลยสักครั้ง


ผมยังติดต่อกับฮันแจอยู่เป็นระยะ แต่ก็มีบางช่วงที่จังหวะการติดต่อขาดหายไป ไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขา แต่ทุกครั้งที่อีกฝ่ายติดต่อกลับมา เขาก็มักจะทำเหมือนทุกอย่างปกติ ผมเริ่มมีเค้าความสงสัยบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าถามออกไปตรงๆ


ครั้งนี้ผมต้องอยู่ที่อังกฤษจนกว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วง แต่ดูเหมือนเวลาจะลากยาวออกไปอย่างไม่มีกำหนด ผมนั่งจ้องกระดานที่เต็มไปด้วยเส้นโยงใยและข้อมูลทับซ้อนกันยุ่งเหยิง ค่อย ๆ ไล่เรียงแต่ละจุดอย่างใจเย็น ราวกับกำลังต่อจิ๊กซอว์ที่ยังขาดชิ้นส่วนสำคัญไปบางส่วน ก่อนที่สายตาจะพร่าเลือน ปล่อยให้ความมืดของค่ำคืนโอบล้อม ให้ผมได้พักชั่วคราว… แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี










ติ๊ด ติ๊ด…


เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นขัดจังหวะความเงียบของเช้าวันใหม่ แสงแดดยามรุ่งสางลอดผ่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้ สาดกระทบลงบนพื้นห้องเป็นลำยาว ผมกระพริบตาปรับโฟกัสเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หน้าจอที่สว่างวาบขึ้นเผยให้เห็นข้อความใหม่ที่เพิ่งเข้ามา


  [ข้อความจากฮันแจ]


คืนนี้นายต้องแฝงตัวเข้าไปใน งานปาร์ตี้หน้ากาก ที่จัดขึ้นที่ ใจกลางลอนดอน งานนี้เป็นการรวมตัวของนักธุรกิจ ขุนนาง นักการเมือง และผู้มีอิทธิพลจากหลากหลายวงการ รายชื่อแขกบางส่วนเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในเครือข่ายใต้ดิน รวมถึงข่าววงในที่ยืนยันว่า ‘ขนนกสีเงิน’ จะเข้าร่วมงานนี้ด้วย


เป้าหมายของนาย คือ ตรวจสอบและรายงาน ทุกความเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้ ดูว่าพวกมันมาติดต่อกับใคร พูดคุยเรื่องอะไร และมีใครเป็นผู้สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องบ้าง ระมัดระวังตัว อย่าทำอะไรที่เป็นจุดสนใจ ฉันเตรียมบัตรเชิญเข้างานไว้ให้นายแล้ว


รายละเอียดเพิ่มเติม:


สถานที่: โรงแรมหรูระดับไฮเอนด์ ย่าน Mayfair, London


เวลา: 09:00 PM


ระบบรักษาความปลอดภัย: มีจุดตรวจหลายแห่ง อาวุธห้ามผ่านการตรวจสอบ


อาวุธและอุปกรณ์: ฉันเตรียมของที่จำเป็นไว้ให้ นายจะได้รับมันภายในงาน


ข้อมูลเสริม: แนบไฟล์ Mission_Details.pdf พร้อมแผนผังสถานที่


นายต้องทำให้แนบเนียนที่สุด จบงานแล้วรายงานฉันทันที ห้ามพลาด


[ไฟล์แนบ]


📎 Mission_Details.pdf


📎 Blueprint_Hotel_Mayfair.pdf






--






09:00 PM


| เดอะ วอกซ์ฮอลล์ แกรนด์ โฮเทล  (The Vauxhall Grand Hotel)


ผมก้าวลงจากรถลีมูนซีนคันหรู ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากโคมระย้าและเสียงพูดคุยจอแจของแขกในงาน ด้านหน้าทางเข้าถูกประดับประดาด้วยพรมแดงทอดยาว ขนาบข้างด้วยพนักงานในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย


นิ้วเรียวหยิบหน้ากากสีดำเรียบขึ้นมาสวม ก่อนจะปรับให้เข้าที่ เส้นขอบทองที่ตัดกับพื้นผิวเข้มช่วยขับให้ดวงตาผมดูลึกลับขึ้น ผมเหลือบมองบัตรเชิญในมืออีกครั้ง มันคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ผมผ่านเข้าสู่สถานที่แห่งนี้ได้โดยไม่ถูกตั้งคำถามใด ๆ


เมื่อก้าวผ่านจุดตรวจ บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำเพียงกวาดสายตามองบัตรเชิญครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าให้ผมเดินต่อไปได้ง่าย ๆ


ผมแต่งตัวให้กลืนไปกับบรรยากาศ สูทสีเข้มเรียบเนี๊ยบ ไม่มีอะไรสะดุดตาเกินจำเป็น เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาเมื่อเดินผ่าน แต่ไม่เด่นเกินไปจนตกเป็นเป้าสายตาของใครเป็นพิเศษ


เสียงเพลงแจ๊สคลอเบา ๆ จากมุมหนึ่งของห้องบอลรูม แสงไฟระยิบระยับจากแชนเดอเลียร์ขนาดใหญ่เหนือศีรษะสะท้อนกับพื้นหินอ่อนขัดมัน ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ภายในงานเต็มไปด้วยผู้คนในชุดสูทราตรีงดงาม ทุกคนสวมหน้ากากปิดบังตัวตน ใต้เงาของความหรูหรานี้ ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร


ผมก้าวเข้าไปในกลุ่มคนโดยไม่เร่งรีบ กลิ่นน้ำหอมราคาแพงลอยอวลในอากาศ แทรกไปกับเสียงสนทนาแผ่วเบาที่เจือไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและการเจรจาธุรกิจ ผมหยิบแก้วไวน์จากถาดของบริกรที่เดินผ่านมาถือไว้ในมือ แต่ไม่ได้แตะต้องมันจริง ๆ สายตากวาดไปรอบ ๆ จับสังเกตทุกการเคลื่อนไหว


หากข่าวลือเป็นจริง สมาชิกของ ‘กลุ่มอำนาจขนนกสีเงิน’ ควรจะอยู่ที่นี่ คืนนี้อาจเป็นโอกาสเดียวที่ผมจะได้เผชิญหน้ากับพวกเขาโดยไม่ต้องเสี่ยงเอาชีวิตไปทิ้งกลางสนามรบ ผมไม่รู้ว่าพวกเขามากันกี่คน หรือมาในฐานะใคร แต่คนกลุ่มนั้นไม่ได้เป็นเพียงมาเฟียทั่วไป พวกเขาคือเครือข่ายอำนาจที่แผ่กิ่งก้านไปทั่ว พัวพันกับเศรษฐกิจใต้ดินระดับโลก


ผมหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปยืนพิงบาร์เครื่องดื่ม มองภาพผู้คนที่กำลังสังสรรค์กันในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล ท่ามกลางเสียงหัวเราะและรอยยิ้มบนใบหน้าที่ถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากาก ผมรู้ดีว่าแท้จริงแล้ว… พวกเขากำลังอ่านเกมของกันและกัน


ไม่นานนัก เสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป็นทางการ ดึงความสนใจของแขกทุกคนให้หันไปยังฟลอร์เต้นรำ เสียงเครื่องดนตรีสดบรรเลงบทเพลงวอลซ์เนิบช้า โน้ตแรกที่ดังขึ้นช่วยเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวให้ละมุนละไม ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างกำลังลื่นไหลไปตามจังหวะ คู่เต้นรำเริ่มจับจองพื้นที่ของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ แขนขาถูกประสานเข้าด้วยกันก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวไปตามท่วงทำนอง


ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีคู่เต้นรำเหมือนคนอื่น ผมกำลังชั่งใจว่าจะก้าวถอยออกจากฟลอร์ดีหรือไม่


ทว่ายังไม่ทันได้ขยับตัว แรงสัมผัสเบา ๆ บนแขนดึงให้ผมหันกลับไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างของผมเซไปตามแรงเล็กน้อย ก่อนจะได้สบตากับเจ้าของมือที่ฉุดไว้ผ่านหน้ากากปกปิดใบหน้า


ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในชุดสูทเนี้ยบ โค้งศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนที่ริมฝีปากใต้หน้ากากนั้นจะขยับเอ่ยคำขอเสียงนุ่มทุ้ม


"ให้เกียรติเต้นรำกับฉันสักเพลงได้ไหม?"


















TBC.


ฝากติดตามเป็นกำลังใจต่อหน่อยน้าา


มาลุ้นกันว่าภายใต้หน้ากากนั้นจะใช่หนึ่งในกลุ่ม 'ขนนกสีเงิน' มั้ย


แล้วคนอ่านเดาว่าเป็นใครกัน คอมเม้นต์บอกหน่อยนะ


รักคนอ่าน♥️


นายกสโมสร

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
250348
Zenny
101080
ออนไลน์
18869 ชั่วโมง
โพสต์ 4 วันที่แล้ว | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2025-4-23 02:31 , Processed in 0.217359 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้