แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย the_senruza เมื่อ 2011-12-23 11:26
สำหรับคนที่คิดจะไปเรียนต่อสิงคโปร์ครับ
ถ้าพูดถึงประเทศเพื่อนบ้านที่มีเด็กไทยไปเรียนต่อเยอะล่ะก็ คงต้องยกให้กับ "สิงคโปร์" เลยครับ เพราะที่นั่นวิชาการเค้าเข้มข้นสุดๆ แต่ในเมื่อเรียนกันเคร่ง แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือ "ความเครียดและกดดัน"
หลักสูตรที่โรงเรียนใช้คือระบบอินเตอร์ เพราะเป็นโรงเรียนอินเตอร์ ! 555 โอเคๆ คือใช้ระบบอินเตอร์แบบอังกฤษแหละ คือมีเกรด 7-12 ใช่ปะ ตอนเกรด 7-8 ก็ไม่ค่อยอะไรมาก เรียนไปตามที่โรงเรียนจัด พอเกรด 9-10 ใช้หลักสูตร IGCSE (O-level) ก็จะมีให้เลือกสองแบบคือแบบเรียกหนักไปทางวิทย์กับหนักไปทาง humanities ก็แล้วแต่ว่าใครเก่งอะไร หลักสูตรนี้ เรียนจบแล้วสามารถยื่นเข้ามหาลัยที่ไทยได้ แต่ได้เฉพาะที่ไทยเท่านั้นนะ เพราะในเมืองนอก หลักสูตรนี้เทียบเท่าแค่ ม.4 เอง ดังนั้นมหาลัยเมืองนอกจะไม่เอา
มาถึงสองปีสุดท้าย เกรด 11-12 ใช้หลักสูตร IB (A-level) คือนักเรียนแต่ละคนจะได้เลือก 6 วิชา โดย 3 วิชาเรียนเป็นแบบ higher level กับอีก 3 เป็นแบบ standard level รวมทั้งหมดก็คือ 6 วิชา หลักสูตรบังคับให้เรียนอย่างนั้น ถ้าเรียนตามนี้จะได้ IB Diploma ซึ่งเอาไปยื่นเข้ามหาลัยที่ไหนในโลกก็ได้ ไปได้หมด ไม่ต้องวัดระดับภาษาด้วย(ส่วนใหญ่) แต่ถ้าไม่เรียนตามนั้นก็จะได้ IB Certificate แทน ซึ่งไม่สามารถยื่นมหาลัยดีๆ หรือที่ดังได้เลย แต่ยื่นที่ไทยได้แน่นอน แต่วิชาที่เลือกๆ นี่ไม่ใช่ว่าตามใจชอบ อยากจะเรียนระดับไหนตามใจชอบนะ คือต้องไปค้นคว้าเกี่ยวกับมหาลัยที่สนใจ ดูว่ามหาลัยนั้นๆ ต้องใช้วิชาอะไรบ้างถึงจะยื่นสมัครได้ แล้วต้องเรียนระดับไหนถึงจะยื่นได้ เพราะทุกๆ ที่กำหนดไม่หมือนกัน ดังนั้นให้ดูภาพรวมแล้วเลือก
นอกจากนี้หลักสูตรยังบังคับให้เรียน TOK (Theory of knowledge) ไม่ต่ำกว่า 200 ชั่วโมง พร้อมกับต้องทำ presentation และเรียงความ 1,500 คำก่อนจบการศึกษา ยังไม่หมดๆ ยังต้องทำเรียงความ 4,000 คำ หรือที่รู้จักในนาม Extended essay (EE) ในหัวข้อที่สนใจ ไม่ใช่หัวข้อง่ายนะ ต้องเป็นหัวข้อที่ต้องทำการค้นคว้าได้ และไม่มีใครเขียนมาก่อน ยังไม่หมด นักเรียนต้องทำ CAS (creativity service action) ด้วย ต้องทำทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 30 แต้ม 1 แต้มเท่ากับ 5 หลักสูตร IB โหดมั้ยล่ะ? แต่น้อยคนที่จะเรียนรอด เพราะงานเยอะมาก ไม่อดทน ไม่ขยัน ไม่พยายาม และไม่อ่านหนังสือ ก็จะเรียนไม่รอดอย่างแน่นอน งานเยอะชนิดที่ว่าคนที่เรียนส่วนใหญ่มักจะได้นอนตอนเช้า แต่ข้อดีคือมหาลัยเมืองนอกชอบนักเรียนที่มาจากหลักสูตรนี้ ดังนั้นเวลายื่นเข้ามหาลัย จะมีฟีดแบ็คดีกว่าคนที่ไม่ได้เรียนมาหน่อยนึง แถมยังได้รับการยกเว้นให้ไม่ต้องเรียนบางวิชาหรือระยะเวลาเรียนสั้นลง เช่น 4 ปีจบ อาจเหลือแค่สามปีครึ่งหรือสามปีจบ ขึ้นอยู่กับคะแนนเกรดที่ได้
จริงๆ โรงเรียนเรามีทุนแจกให้เด็กต่างชาติด้วยนะ แต่ !! ขอบอกก่อนว่า ค่าสอบ 30,000 บาท !! ถ้าสอบไม่ติดคืนเงินครึ่งเดียว งงมั้ยล่ะว่าทำไมแพง แค่กระดาษสอบไม่กี่แผ่น และที่สำคัญ ต้องมีคุณสมบัติข้อนี้ก่อนเลยคือ ต้องมาจากโรงเรียนนานาชาติค่ะ เพราะเค้ากลัวเด็กภาษาไม่แน่นจริง สำหรับความเป็นอยู่ในสิงคโปร์ เอาตรงๆ เลยนะคือผู้คนไม่ค่อยมีน้ำใจ ที่สำคัญ!!!!! สิงค์โปร์นี่ดูเหมือนจะเรียนๆ แต่เห็นอย่างนี้เด็กใจแตกไม่น้อยนะคะ เที่ยวผับเป็นว่าเล่น แต่มันดีกว่าตรงที่เอาตัวรอดได้ และเด็กที่นี่ชอบแบบพลอดรักกันที่สาธารณะ เจอบ่อยมากๆ แบบอยู่บน MRT หันไป อ้าว คนจูบกันอย่างดูดดื่ม บางคู่ก็เด็กมาก อยู่ในชุดนักเรียน บางคู่ก็ทำงานแล้ว อย่าแปลกใจ บางคู่นี่แบบสุดๆ อ่ะ แทบอยากจะหันไปบอกว่า ไปหาโรงแรมเถอะ 5555 เพื่อนคนสิงค์โปร์บอกว่า เด็กวัยรุ่นสิงค์โปร์เห็นใส่แว่นๆ เรียนๆ พวกนี้อะ ตัวดี เก็บกด ตอนกลางคืนนี่แบบโห เด็กเรียนไปไหน ทำไมอยู่บนส้นสูงแล้ว แรงๆ ทั้งนั้น
ความเครียดอีกอย่างของการเรียนที่นี่คือ โรงเรียนที่สิงคโปร์มี Ranking หรือจัดอันดับกันด้วย หลายคนอาจจะคุ้นแต่การจัดอันดับมหาลัย แต่สิงคโปร์มีจัดอันดับโรงเรียนด้วยนะ แล้วพวกโรงเรียนรัฐบาล ต้องสอบเข้าทุกคน แม้แต่เด็กต่างชาติเองก็ต้องสอบ ถ้าใครได้เรียนโรงเรียนดัง มีชื่อเสียงก็ดี น่าเรียน น่ามา แต่ถ้าสอบเข้าโรงเรียนดีๆ ไม่ได้ ต้องไปเรียนกับโรงเรียนระดับรองลงมา มีพวกที่ไม่เก่งๆ อาจารย์ที่สอนก็จะเก่งรองลงมา เพราะอาจารย์ที่เก่งมากๆ ก็ไปสอนที่อื่นของรัฐบาลที่เก่งหมด ดังนั้นใครจะมาเรียนสิงคโปร์ แนะนำให้ดู Ranking ของโรงเรียนด้วย ถ้าอันดับไม่ดี เราแนะนำให้เรียนที่ไทยดีกว่า เรื่องนี้สำคัญมากนะ เพราะบางคนถือว่าถ้าเรียนโรงเรียนไม่ดัง ถึงขั้นอายพ่อแม่พี่น้อง อีกอย่างคือ โรงเรียนดังๆ ส่วนมากเป็นรัฐบาลด้วย ดังนั้นอย่าหวังสังคมไฮโซ เพราะรัฐบาลที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา ที่นี่ไม่มีโรงเรียนวัด ดังน้นไม่ว่าจะรวย รวยมาก จนมาก พ่อแม่ติดคุก ทุกคนมีสิทธิ์เรียนที่เดียวกันได้ แล้วมีสิทธิ์สอบเข้าเข้าโรงเรียนดีๆ ได้ เพราะโรงเรียนที่นี่ ถ้าไม่ใช่อินเตอร์แบบนุกอยู่แล้ว ก็เป็นของรัฐหมด ดังนั้นทุกคนมีสิทธิ์เข้าเรียนที่ไหนก็ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถด้วย ส่วนโรงเรียนนุกกำลังแข่งที่จะขึ้นมาติดอันดับโรงเรียนดัง กำลังไต่อันดับมาเลย สุดท้ายก็คงฝากบอกว่า ก่อนมาก็ควรจะหาข้อมูลดีๆ ฝึกภาษาอังกฤษเยอะ เพราะคนไทยมักจะโดนลดชั้นเรียนเมื่อย้ายมาเรียนที่สิงค์โปร์ และอย่างที่บอก หาข้อมูลของโรงเรียนที่อยากเข้าดีๆ มองถึงอนาคตกว้างๆ ละกัน
|