แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kindaieiji เมื่อ 2011-12-28 18:38
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kindaieiji เมื่อ 2011-12-28 18:35
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kindaieiji เมื่อ 2011-12-28 18:33
การแพทย์ไทยกล่าวไว้ว่าสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลนี้ ประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟและอากาศถ้าขาดธาตุใดธาตุหนึ่งก็จะเสียสมดุล หรือธาตุหนึ่งธาตุใดพร่องหรือแกร่งเกินไปก็จะส่งผลให้เสียสมดุลเช่นเดียวกัน
ธาตุน้ำมี 12 ประการด้วยกันคือ | 1.น้ำดี
2.เสลด
3.น้ำหนอง
4.เลือด
5.เหงื่อ
6.มันข้น | 7.น้ำตา
8.มันเหลว
9.น้ำลาย
10.น้ำมูก
11.น้ำไขข้อ
12.น้ำปัสสาวะ |
ส่วนศาสตร์การแพทย์จีนได้กำหนดไว้ในทฤษฎีปัญจธาตุ
ซึ่งบอกไว้ว่าสรรพสิ่งต่างๆในจักรวาลประกอบด้วยธาตุทั้ง 5 คือ ธาตุน้ำ,ธาตุไม้,ธาตุไฟ,ธาตุดิน, ธาตุทอง และได้เปรียบเทียบไตและกระเพาะปัสสาวะ อยู่ในธาตุน้ำคอยควบคุมการหมุนเวียนน้ำในร่างกาย ถ้าธาตุไม่สมดุลไตและกระเพาะปัสสาวะก็มีปัญหาและก็ลามไปสู่อวัยวะอื่นๆด้วย
เท่ากับว่าถ้าท่านหนัก 60 กิโลกรัม ต้องดื่มน้ำให้ให้ประมาณ 1.9 ลิตรต่อวัน หรือ เกือบ 10 แก้วนั่นเองครับ
ส่วนน้ำอัดลมนั้น ท่านดื่มแล้วรู้สึกเย็นซ่าชื่นใจ จนบางคนติด ไม่ดื่มไม่ได้ จะดื่มทีก็ต้องดื่มแบบเย็นจัด แช่ตู้เย็นแถมใส่น้ำแข็งเพิ่มไปอีก ท่านลองคิดดูซักนิดว่าท่านได้อะไรจากน้ำอัดลมบ้าง นอกจากความเย็น น้ำตาล สารแต่งสี สารแต่งกลิ่น มีแต่สิ่งไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นเลย น้ำอัดลมดื่มได้ครับแต่ขอให้ดื่มกับพอรู้รสชาติ อย่าได้ดื่มกันเป็นกิจวัตรจนแทนน้ำ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรงดไปเลยดีกว่าครับ และนม ที่หลายท่านพยายามสอนให้ลูกให้หลานดื่มกันด้วยความเชื่อว่านมนั้นมีประโยชน์เหลือหลาย ว่าจะทำให้ตัวโตแข็งแรง แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ชาวเอเชียเมื่อหย่านมแล้วร่างกายจะไม่ย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม และสารเคซินในนมจะเหนียวจับตัวเป็นลิ่มเป็นก้อนทำให้กระเพาะอาหารทำการย่อยสารเหล่านี้ลำบาก และยังนิยมดื่มนมที่มีรสหวาน ดื่มนมแช่เย็นกันอีก ความหวานและความเย็นจากนมที่ท่านชอบดื่มกัน ก็สามารถสร้างปัญหาให้ร่างกายท่านได้ไม่ต่างอะไรจากน้ำอัดลมเช่นเดียวกัน
ขั้นตอนที่ 4.ดื่มน้ำให้ถูกเวลา - 15 นาทีก่อนทานอาหาร - ระหว่างทานอาหาร - รับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
1. ระหว่างทานอาหารควรดื่มน้ำแต่น้อย อย่างมากไม่เกิน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำย่อยมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารได้เต็มที่ 2. หลังทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ เพื่อให้กระเพาะได้ทำการย่อยอาหารเสียก่อน 3. และที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น ในการย่อยอาหารนั้นกระเพาะต้องใช้ไฟในการย่อยอาหาร และเป็นสาเหตุให้อาหารไม่ย่อย บางท่านอาจจะบอกว่าเวลาไปทานร้านอาหาร เขาก็ให้แต่น้ำเย็นทั้งนั้น ก็ขอให้ท่านดื่มแต่น้อยดีกว่าครับ กระเพาะอาหารมีธาตุไฟ “ปริณามัคคี” คือไฟสำหรับย่อยอาหาร ที่จะย่อยอาหารให้เป็นสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายถ้าไฟธาตุนี้พิการ อาหารก็จะไม่มีไฟในการย่อย ก็จะเกิดอาหารท้องอืด ท้องพอง ผะอืมผะอมอาเจียน ร้อนในอกในใจ บวมตามมือตามเท้า บางคนไอไม่หายเพราะกินแต่ยาแก้ไอซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด เพราะต้นเหตุที่แท้จริงคือกระเพาะอาหารย่อยอาหารไม่ได้ แล้วเกิดการหมักหมมเกิดเป็นแก๊สพิษ Toxin ในร่างกาย และกระแสเลือดผมมีตัวอย่างผู้ป่วย 2 ท่านที่มีอาการเจ็บป่วยจากน้ำเป็นสาเหตุ ให้ท่านลองพิจารณาดูกันว่าน้ำจะเป็นสาเหตุของอาการป่วยได้อย่างไรบ้าง ท่านแรกเป็นผู้ชาย อายุ 32 น้ำหนัก 57 กก มีอาการเจ็บใต้น่อง ตั้งแต่เส้นกระเพาะปัสสาวะ เดิน ยืดขาตรงๆไม่ได้ต้องงอขาเอาไว้ เคยเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้วนวดแล้วก็หาย แต่ 2-3 เดือนที่แล้วอาการกำเริบขึ้นมา กีฬาที่เคยเล่นทั้งแบดมินตัน บาสเกตบอลปัจจุบันนี้เล่นไม่ได้เลย เพราะแม้แต่ยืนยังไม่ไหว ปวดตั้งแต่ก้นกบ สลักเพชร ลงไปที่ขา มันเป็นเพราะสาเหตุจากอะไร เราลองมาดูพฤติกรรมของผู้ป่วยท่านนี้กันนะครับ เริ่มตั้งแต่เช้า นอนดึก ตื่น 7 โมง ไม่ทานอะไรเลย ไม่ว่าน้ำหรืออาหาร แต่มาทานอาหารเอาตอน 11โมง และตอนหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม ดื่มน้ำเฉพาะตอนทานหลังอาหารเท่านั้น จะไม่ดื่มน้ำเวลาอื่นเลย ระหว่างวันก็จะไม่ค่อยดื่ม น้ำที่ดื่มก็เป็นน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง เขาทานอาหารสองมื้อ ดื่มน้ำรวมกันแล้ว 3แก้ว บางครั้งก็ทานน้ำอัดลมบ้าง สัปดาห์ละ2-3ครั้ง ไม่ทานกาแฟ ดื่มเบียร์บ้าง ถ่ายอุจจาระทุกวัน ปัสสาวะไม่บ่อย เพราะดื่มน้ำน้อยก็ไม่รู้จะเอาปัสสาวะมาจากไหน โดยปกติแล้วน้ำหนักตัวอย่างผู้ป่วยท่านนี้ต้องดื่มน้ำเกือบ 8-10 แก้วต่อวัน ถึงจะทำให้เลือดเดินได้ดี เลื่อดจะได้ไม่หนืดไม่ข้น และเลือดจะได้พาอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่ายกายได้
ผมลองจับตัวเขาดู ช่วงบนของร่างกายมีอาการร้อนบ้าง แต่ช่วงล่างตั้งแต่ท้องน้อยลงนี่เย็นเยือกเลย เท้าซึ่งปกติจะต้องมีสีแดงหรือสีชมพูแสดงว่าเลือดไหลได้ดี แต่เท้าของเขาสีซีดขาวเลย ไม่มีเลือด ขาไม่มีกำลัง ขาหนัก เหมือนท่อนไม้ไม่มีชีวิตชีวา แสดงว่าเลือดลมไหลฝืดมาก ผมลองจับเส้นชีพจรที่ขาหนีบ ก็พบว่าเส้นเลือดเต้นได้ค่อย และน้อยมาก
การบำบัดรักษาให้ผู้ป่วยท่านนี้ ก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาเสียใหม่ โดยให้ทั้งสองท่านดื่มน้ำให้มากขึ้น วันละประมาณ 10 แก้ว เช้าตื่นมาก่อนแปรงฟันก็ดื่มน้ำอุ่นซัก 2-5 แก้ว จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น การหมุนเวียนของน้ำก็จะดีขึ้น อาการต่างๆก็จะดีขึ้น เพราะว่าน้ำจะพาเลือดซึ่งเป็นอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายก็จะได้รับอาหาร เมื่อได้รับอาหารแล้วมันก็จะทำงานไปตามหน้าที่ของมัน เป็นการปลุกอวัยวะต่างๆให้ลุกขึ้นมาทำงานได้ปกติ คือการสร้างพลังบำบัดให้ร่างกายเรา โดยไม่ต้องไม่พึ่งยามากนัก จะมีบ้างบางกรณีที่ต้องใช้ยา เช่น ยาคลายเส้น เพื่อให้ขับถ่ายเอาของเสีย เอาลม เอาเสมหะ เอาอุจจาระออกจากร่างกาย เพื่อให้รับของใหม่ได้เต็มที่ ของใหม่ก็จะถูกสร้างเป็นอาหาร เปรียบเสมือนว่าถ้าร่างกายสกปรกเกินไป ก็จะมีแบคทีเรีย มีจุลินทรีย์เสียๆ อยู่ ถ้าไม่เอาของเสียออกจากร่างกายแล้ว เราจะใส่อะไรลงไป เชื้อโรคเหล่านั้นก็จะทำให้ของดีๆเสียหมด แต่ถ้าเราเปลี่ยน เอาของไม่ดีออกจากร่างกายเสียก่อน อาหารที่ทานเข้าไปก็จะไปสร้างจุลินทรีย์ที่ดีๆขึ้นมา ถ้าเราใส่ของดีเข้าไปร่างกายก็มีสุขภาพดีตลอด ของเสียที่ค้างอยู่ในร่างกายก็จะถูกลากออกไปอยู่ที่ว่าพวกใครมากกว่ากัน
ถ้าพวกดีมากร่างกายก็จะได้ของดีถ้าพวกไม่ดีเยอะกว่าร่างกายก็จะได้แต่ของไม่ดีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยวิธีง่ายๆแค่นี้ครับเอาของเสียออกจากร่างกาย ผลัดเก่าเป็นใหม่ โรคภัยต่างๆก็จะค่อยๆดีขึ้นเองครับ
|