แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kindaieiji เมื่อ 2012-2-2 14:46
===> เรื่องจริงของมัมมี่ <===
ผู้เขียนเชื่อแน่ว่า คำว่า “มัมมี่” คงเป็นที่คุ้นหูหรือเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับท่านผู้อ่านเกือบทุกคน และเป็นศัพท์ที่พูดแล้วก็นึกภาพออกได้ทันที ว่ารูปร่างหน้าตาของมัมมี่เป็นอย่างไร เมื่อนึกถึงมัมมี่ก็มักจะนึกถึงปิรามิด สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ ที่ตั้งสูงทมึนอยู่ท่ามกลางทะเลทรายอันเวิ้งว้างคู่ไปด้วย เพราะว่าสิ่งสองสิ่งนี้มันเป็น สิ่งมหัศจรรย์ ที่เป็นสมบัติแห่งความลึกลับของชนชาวอิยิปต์โบราณ แม้จะมีการศึกษาเรื่องราวของมัมมี่มาเป็นเวลานานแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันนี้การศึกษาความลับของมัมมี่ก็ยังคงกระทำอยู่ เพราะวิทยาการที่สูงขื้น เครื่องไม้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น ยิ่งทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปสู่ความลับในประวัติศาสตร์นี้ได้มากขึ้น เราสามารถเห็นนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีเป็นจำนวนมากก้มหน้าก้มตาศึกษา เรื่องราวของมัมมี่อย่างจริงจัง เช่น ที่โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ที่พิพิธภัณฑ์ศูนย์วิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งโบราณคดี ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย หรือว่า ที่สถาบัน -ศิลปศาสตร์แห่งเมืองดิทรอยท์ เป็นต้น การศึกษานอกจากจะใช้วิธีผ่าศพมัมมี่โดยตรง ก็ยังมีการนำเอาระบบการถ่ายภาพจากแสงเอกซเรย์ 3 มิติ ที่เรียกว่า Computerized Axial Tomography (CAT) มาใช้ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องทำลายมัมมี่ที่ใช้ศึกษาอยู่แล้ว ยังสามารถให้รายละเอียดได้อย่างชัดเจนด้วย จากความเชื่อของมนุษย์นับเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของร่างกาย และวิญญาณ โดยที่เชื่อว่าการตายก็คือการที่วิญญาณได้หลุดลอยออกจากร่างที่เคยอาศัยอยู่ ความเชื่อถือของชาวอียิปต์โบราณ คิดว่าวิญญาณที่ได้หลุดลอยออกจากร่างเมื่อถึงเวลาหนึ่งได้เข้าไปสู่โลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งอาจจะเรียกว่า “โลกของพระเจ้า” และในวันหนึ่งข้างหน้าวิญญาณนั้นก็จะกลับมา ข้อสำคัญเมื่อวิญญาณกลับมาแล้วก็ต้องอาศัยร่างกายอยู่ และร่างกายที่จะอาศัยอยู่ได้ก็คงจะต้องเป็นร่างกายของตนเอง ซึ่งครั้งหนึ่งตนได้เคยอาศัยอยู่แล้ว จากความเชื่อถือนี้ การรักษาร่างกายให้คงสภาพไว้ เพื่อรอการกลับมาของเจ้าของเดิม จึงเป็นสิ่งที่ชาวอียิปต์โบราณหาวิธีการทีจะทำให้ได้ ทุกสิ่งมีวิวัฒนาการ มัมมี่ก็เช่นกัน ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ ร่างกายของคนตายได้ถูกห่อไว้ด้วยผ้าหรือเสื่ออย่างลวก ๆ และถูกฝังไว้ในหลุมแคบ ๆ ภายใต้พื้นทรายลึกลงไปไม่กี่ฟุต หลุมที่ฝังก็อาจจะขุดกันอย่างหยาบ ๆ อาจจะมีการก่ออิฐหรือปูด้วย ไม้กระดานบ้าง แต่ก็ไม่มีศิลปะอะไร การฝังศพแบบนี้ชาวอียิปต์ในยุคนั้นก็ได้พบความจริงข้อหนึ่งว่า ภายใต้ความร้อนระอุของพื้นทรายที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าเผาอยู่ตลอดเวลา ศพภายในหลุมหยาบ ๆ นั้นมีสภาพเหมือนถูกอบหรือตากแห้ง และมีผลทำให้ศพนั้น ยังคงสภาพอยู่ได้เป็นเวลานาน การที่ศพไม่เน่าเปื่อยและจากความคิดความเชื่อถือที่ว่า วันหนึ่งวิญญาณที่จากไปก็จะกลับคืนมาอีก ญาติพี่น้องก็เลยกลัวว่าถ้าศพฟื้นขึ้นมาเมี่อไร ก็อาจจะกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไปก็ได้ ก็เลยฝังพวกหม้อข้าวหม้อแกง เพชรพลอยหรือแม้แต่เครื่องใช้เครื่องมือในการทำมาหากินเอาไว้ให้ด้วย
เมื่อนานวันเข้า ความตายเป็นสิ่งมนุษย์เริ่มพิถีพิถันกันกับมัน พิธีรีตองเกี่ยวกับคนตายก็ชักจะมีมากขึ้น หลุมฝังศพชนิดที่ว่าสักแต่ขุดให้มันเป็นรูปเป็นโพรงก็ชักจะไม่เข้าทีเสียแล้ว หลุมศพจึงเริ่มพัฒนาตัวมันเอง เริ่มจากการที่ต้องขุดอย่างมีศิลปะ มีการก่ออิฐทำผนังหลุม และก็พยายามจัดทำให้เหมือนกับเป็นห้องๆ หนึ่ง และเพื่อให้คนตายได้นอน อย่างสบาย ๆ เหยียดแข้งเหยียดขาได้เต็มที่ แทนที่จะต้องถูกมัดให้คุดคู้อยู่ในหลุมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งผู้ตายพูดได้ก็คงจะบ่นว่าอึดอัดเหลือทน หลุมที่ฝังก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นลักษณะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ศพเลยสามารถที่จะเหยียดร่างได้เต็มที่ ไม่จบเพียงแค่นั้น เพื่อให้คนตายมีความรู้สึกว่าอาศัยอยู่ในบ้านจริง เหนือหลุมฝังศพก็เลยต้องก่อสร้างให้รูปทรงคล้ายกับบ้าน มีหลังคามีฝาผนังทำนองนั้น ที่มีฐานะหน่อยก็อาจจะสร้างให้คล้ายๆ กับวังไปเลย เมื่อหลุมศพถูกวิวัฒนาการมาเป็นอย่างนั้น ศพที่เคยถูก “อบแห้ง” โดยธรรมชาติภายใต้ผิวทรายร้อน ๆ ก็เลยเป็นอันว่าจบกัน ปัญหาเรื่องศพเน่าเปื่อยก็เลยตามมา
ในยุคของราชวงศ์อียิปต์แรก ๆ (ก็ราวๆ เกือบ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช) ศพจะถูกห่อ และมัดอย่างแน่นหนาด้วยผ้าลินินซึ่งอาบน้ำยา ศพถูกห่อไว้ด้วยผ้าหนามากจนแลดูกลมกะลุกปุ๊ก ถ้าจะเรียกว่ามัมมี่ก็คงเป็นมัมมี่ตุ๊ต๊ะ ล่วงเลยมาจนถึงราชวงศ์ที่สองแห่งอียิปต์ (ประมาณ 2800 ปีก่อนคริสตศักราช) ความพยายามที่จะแต่งตัวให้มัมมี่ดูหล่อขึ้นก็เริ่มกันตอนนี้ มีการห่อศพด้วยผ้าลินินชุบน้ำยาอย่างพิถีพิถัน การห่อก็ไม่ใช่สักแต่ว่าห่อ ๆ ไป มีการพัวหัวพันขาแขน หรือพันรอบหน้าอก หน้าท้องเป็นส่วน ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือพันให้เห็นเป็นรูปทรงของคน ไม่ใช่พันแบบให้ต้องเดาว่าภายในห่อผ้านั้นเป็นหมูหรือเป็นคน แม้แต่นิ้วมือนิ้วเท้าก็พยายามพันเน้นให้เห็นนิ้วทั้ง 5 (จะได้ไม่เข้าใจผิดว่าก่อนตายอ้ายหมอนี่นิ้วด้วนหรือเปล่า) ความพยายามของการศึกษาของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ค้นพบว่าสาเหตุของการเน่าเปื่อยของศพ อวัยวะภายในมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นการทำความสะอาดภายใน จึงเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ศพถูกรักษาให้คงทนได้ยาวนานขึ้น ดังนั้นในปลายราชวงศ์ที่สามแห่งอียิปต์โบราณ (ราว 2600 ปีก่อนคริสตศักราช) การล้วงตับล้วงไส้ ของศพ-ออกมา จึงเป็นกรรมวิธีสำคัญของนักแต่งศพชาวอียิปต์ ในหลุมฝังศพของราชินีที่สี่แห่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ พระนาม “ราชินีเฮเตเฟเรส” (Hetepheres) ซึ่งเป็นพระชายาแห่งสเนฟรู (Snefru) หรือว่าเป็นพระชนนีของกษัตริย์คืออปส์ ได้มีการค้นพบภาชนะหินปูน ซึ่งภายในบรรจุอวัยวะภายในของราชินี แช่ไว้ด้วยของเหลวที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) ซึ่งเป็นสารละลายของโซดาชนิดหนึ่ง เป็นที่น่าทึ่งที่ว่าภาชนะนี้มีการปิดผนึกอย่างดีจนของเหลวดังกล่าว อยู่ในนั้นได้เป็นเวลา 4000 ปี ดอง เครื่องในของพระราชินีให้คงสภาพไว้ได้อย่างนานแสนนาน ในช่วงประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 4-5 (2570-2450 ปีก่อนคริสตศักราช) เทคนิคของการทำมัมมี่ได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมัมมี่ของเพตริค (Peric) ซึ่งค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษชื่อ วิลเลี่ยม เอ็ม เอฟ เพตริค (William M.F.Petric) แสดงให้เห็นถึงเทคนิคของการทำมัมมี่ในยุคของราชวงศ์ที่ 5 ศพจะถูกพันมัดด้วยแถบผ้าลินินอย่างประณีต มีการแสดงถึงรูปลักษณะภายนอกด้วยยางสนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความคงทนถาวรมาก ขนาดคิ้ว หรือหนวดของผู้ตายก็ยังแสดงออกให้เห็น สภาพมัมมี่อยู่ในลักษณะเหยียดตรงเต็มส่วนสูง อวัยวะภายในถูกคว้านออก มีการทำความสะอาดแล้วอัดให้แน่นด้วยก้อนผ้าลินินอาบน้ำยา เทคนิคต่างๆ ที่ใช้ก็มีผลในการรักษาอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้คงสภาพอยู่ได้อย่างถาวร แม้แต่รูปลักษณ์ที่ปรากฏภายนอกก็พยายามจัดทำให้คงสภาพไว้ (มัมมี่ของเพตริคนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่วิทยาลัยศัลกรรมหลวงในกรุงลอนดอน แต่เป็นที่น่าเสียดาย ว่าถูกทำลายไปในสงครามโลกคราวที่กรุงลอนดอนถูกโจมตีทางอากาศในปี ค.ศ. 1941) หลักฐานมัมมี่มีอีกชิ้นหนึ่ง ที่แสดงถึงความเจริญของวิชาการด้านนี้ในยุคราชวงศ์ที่ 5 ค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวอเมริกันชื่อ ยอร์ช เอ ไรส์เนอร์ ซึ่งขุดเจอที่ปิรามิดแห่งกิซา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า มัมมี่ที่พบนี้เป็นศพของเยนตี้ (Yenty) อัครมหาเสนาบดีในยุคนั้น มัมมี่ได้ถูกประจุไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินแกรนิต ถึงแม้ว่าสภาพของมัมมี่จะถูกทำลายไปโดยฝีมือของคนร้าย ที่ทำมาหากินกับการขุดสมบัติในสุสานของอียิปต์โบราณ แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยของเทคนิคชั้นสูงในการทำมัมมี่ให้เห็นอยู่ โดยเฉพาะเค้าหน้าของมัมมี่ถูกรักษาไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้อย่างน่าทึ่ง ที่นี้ก็มาถึงยุคราชวงศ์ที่ 6 บ้าง (ราวปี 2340 ก่อนคริสตศักราช) เริ่มมีการใช้ปูนปลาสเตอร์ฉาบหน้าหรือศีรษะ บางทีก็พอกมัมมี่ทั้งตัว ใบหน้าที่พอกฉาบด้วยปลาสเตอร์ มีการรเขียนและตกแต่งเป็นรูปใบหน้าอย่างสวยงาม หลังจากพอกหนัก ๆ เข้า สัปเหร่อปัญญาชนก็เลยมองเห็นลู่ทางอื่นในการตกแต่งใบหน้าของมัมมี่ ด้วยการทำเป็นหน้ากากสวม หน้ากากที่ว่านี้ทำด้วยสารคาร์ตันเนจ (Cartonnege) ซึ่งเป็นส่วนผสมของกระดาษปาปีรับ (Papyrus) ผ้า และปลาสเตอร์รวมกัน หน้ากากที่ทำนี้มีน้ำหนัก แข็งแรง และความคงทนมากกว่า รวมทั้งสามารถตกแต่งให้สวยงามได้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นจะมีการทำหน้ากากคาร์ตันเนจออกขายหรือเปล่า ใครตายแล้วอยากจะสวมหน้ากากแบบไหนจะได้หาซื้อไว้ ภายหลังไม่ใช่แต่เฉพาะศีรษะหรือใบหน้าเท่านั้นที่ปกปิดไว้ด้วยหน้ากากคาร์ตันเนจ เทคนิคนี้ลามลงไปจนถึงปิดไปทั่วตัวและนี่คือที่มาของโลงศพรูปคน เทคนิคของมัมมี่ดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในช่วงราว 2050-1990 ก่อนคริสตศักราช หรือที่เรียกว่าเป็นช่วงอาณาจักรยุคกลางของอียิปต์โบราณ จวบจนถึงยุคอาณาจักรของพระเจ้าทีบส์ (Thebes) ในราว 1550 ปีก่อนคริสตศักราช เทคนิคของมัมมี่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นอกจากอวัยวะการภายในจะถูกนำออกมาแล้ว จัดกลับเข้าไปด้วยผ้าอาบน้ำยายังมีการดูดมันสมองออกจากกะโหลกอีกด้วย เทคนิคของการใช้สารเคมีต่าง ๆ มีมากขึ้น สารเคมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อที่จะรักษาสภาพของผิวหนังให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลอยู่ได้นาน ๆ จากการฝังศพลงไปในหลุมที่ขุดอย่างหยาบ ๆ ภายใต้พื้นทรายอันร้อนระอุ ค่อยเปลี่ยนแปลงมาเป็นหลุมที่มีการตกแต่งผนังให้ดูเรียบร้อย เหนือหลุมฝังศพก็มีการก่อสร้างจำลองเป็นรูปบ้าน ลักษณะของหลุมศพในยุคอียิปต์ต้น ๆ ค่อนข้างเล็ก ซึ่งคิดว่าศพคงต้องนอนคุดคู้อยู่ภายใน ต่อมาก็จึงเปลี่ยนมาเป็นหลุมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซึ่งกว้างยาวพอที่ศพจะนอนเหยียดได้อย่างเต็มที่ ต่อมาศพก็ค่อยเลื่อนขั้นขึ้น มีการบรรจุลงในหีบศพซึ่งมีทั้งหีบไม้ หินปูน จนถึงหินแข็งอย่างหินแกรนิต ความคิดของชาวอียิปต์ ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ จากหีบศพที่เรียบ ๆ เริ่มมีการตกแต่งจัดทำรอบ ๆ หีบศพให้ดูมีลักษณะเหมือนพระราชวัง บวกกับความเชื่อถือทางศาสนา หีบศพบางอันจึงมีการเขียนรูปดวงดาวคู่หนึ่งไว้ด้วย ด้วยเกรงว่าเจ้าของหีบศพไม่สามารถทัศนาโลกภายนอกอันสดใสได้ ภายหลังหีบศพไม่เพียงแต่แกะสลักหรือวาดรูปแต่เฉพาะภายนอก แม้แต่ภายในก็มีการตกแต่งประดับประดาด้วย คงจะคิดว่าบ้านจะน่าอยู่ไม่ใช่แต่จะแต่งเฉพาะภายนอก ภายในก็ต้องหรูด้วย และสิ่งที่จะขาดไม่ได้ก็คือ คำจารึกเหนือ -หีบศพ เป็นคำสวดอ้อนวอนขอให้พระเจ้าได้ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ที่อยู่ในหลุมนั้นด้วย แน่นอน ถ้าหีบศพเปรียบเสมือนบ้านก็คงจะมีแต่ตัวบ้านเฉย ๆ ไม่ได้ ก็มีการวาดภาพเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องมือ เฟอร์นิเจอร์ ตลอดจนอาวุธที่ใช้ป้องกันตัวบนแผ่นหินข้างหีบศพด้วย ทั้งนี้เพื่อเอาไว้ให้ผู้ตายได้ใช้สอย จะเห็นว่าความคิดทีจะจัดเตรียมของใช้ต่าง ๆ ไว้ให้สำหรับคนตาย ยังมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ในพิธีกงเต๊กของคนจีน บรรดาเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยกระดาษถูกเผาในพิธีเพื่อจัดส่งให้คนตายนำไปใช้ในภพหน้า และก้าวหน้าจนถึงขั้นในปัจจุบันนี้สิ่งที่เผาส่งไปให้นอกจากบ้านพร้อมที่ดิน แล้ว ยังมีรถคันใหญ่ ๆ (บางทีก็ระบุยี่ห้อเบนซ์หรือวอลโว่ลงไปด้วย) ที.วี. สีตลอดจนตู้เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า คิดว่าในอนาคตข้างหน้าโรงไฟฟ้าในเมืองผีมีหวังต้องขยายโรงงานแน่ และน้ำมันก็คงจะต้องขึ้นราคาเพราะใช้รถกันเยอะ ต่อมาหีบศพก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาทำจำลองเป็นรูปคน มีการแกะสลักหน้าตาอวัยวะต่าง ๆ ส่วนใหญ่มักจะทำเป็นรูปคนยืนเหยียดตรง มือทั้งสองผสานไว้ที่หน้าอก หีบศพรูปคนเหล่านี้เก็บไว้ภายในหลุมฝังศพที่ก่อสร้างเป็นรูปอาคารอีกทีหนึ่ง บางทีอาจมีหลาย ๆ หีบรวมอยู่ในหลุมเดียวกันก็ได้ ภายหลังเมื่อมีการคว้านเอาอวัยวะภายในของศพก่อนจะทำเป็นมัมมี่ อวัยวะเหล่านี้ก็ต้องถูกเก็บรักษาด้วย จึงจะต้องมีการจัดทำภาชนะเพื่อที่จะเก็บอวัยวะเครื่องในเหล่านี้ ภาชนะพวกนี้มีชื่อเฉพาะเรียกว่า คาโนปิค (Canopic) มาจากชื่อของคาโนปัส (Canopus) นักรบแห่งเมนาเลียส (Menaleus) ซึ่งศพของเขาถูกเก็บไว้ในภาชนะรูปทรงคล้ายตุ่ม (คือป่องกลาง) มีฝาครอบทำเป็นรูปหัวคน ด้วยเหตุนี้คาโนปิคจึงมีลักษณะคล้ายตุ่มมีฝาครอบ แต่มีทั้งหมด 4 ฝาด้วยกัน เนื่องจากตัวภาชนะบรรจุเครื่องในเหล่านี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็บรรจุอวัยวะสำคัญ 4 อย่าง ด้วยกันคือ ตับ กระเพาะ ปอดและลำไส้ใหญ่ (ถ้าเป็นเครื่องในหมูฟังแล้วชวนให้หิวข้าว) และ แต่ละช่วงที่บรรจุ -เครื่องในเหล่านี้ มีน้ำยาที่เรียกว่าเนตรอน (Natron) อยู่ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าอวัยวะดังกล่าว 4 อย่างนี้ ไม่มีหัวใจอยู่ด้วย เนื่องจากนักแต่งศพชาวอียิปต์ถือว่า ห้ามควักหัวใจ-ออกจากตัวศพ ในตอนต้น ๆ ฝาครอบหรือฝาปิดของคาโนปิคทำเหมือนๆ กันหมด ต่อต่อมาฝาครอบเหล่านี้เริ่มมีการแกะสลักเป็นรูปของ ผู้คุ้มครองทั้ง 4 ซึ่งได้แก่อิมเซตี้ (Imsety) แกะสลักเป็นรูปหัวคน เดวาอุเตฟ (Dewau-mautef) แกะสลักเป็นรูปหัวหมา ฮาปิ (Hapy) แกะสลักเป็นรูปหัวลิงและ สุดท้ายเคเบห์สเนเวท (Kebehsnewet) แกะสลักเป็นรูปหัวเหยี่ยว (แต่ละห่านล้วนแต่ออกชื่อยาก ๆ ทั้งนั้น ขออภัยด้วย) ผู้ปกป้องทั้งสี่ก็ดูแลอวัยวะสำคัญแต่ละอย่างไป สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่คนเป็นทำให้คนตายในความเชื่อถือของอียิปต์โบราณก็คือ คนใช้ เพราะคิดว่าถึงแม้คนตายจะมีเครื่องใช้ไม้สอยที่จัดทำไว้ให้แล้วมากมาย แต่ถ้าขาดคนรับใช้ชีวิตก็คงไม่สุขสบายเท่าที่ควร ดังนั้นในพิธีศพสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือจัดหาคนใช้ให้กับผู้จากไปด้วย ในตอนแรก ๆ ก็ใช้วิธีการวาดภาพเอา ต่อมาก็จัดทำเป็นรูปปั้นซึ่งอาจจะทำด้วยดินเหนียว สีผึ้ง หรือแกะสลักด้วยไม้ ต่อมาในราวยุคราชวงศ์ที่ 12 แห่งอียิปต์โบราณ ตัวแทนที่จะส่งไปเป็นคนรับใช้ของผู้ตาย ก็ทำเป็นรูปมัมมี่ด้วย มีการพันด้วยผ้าลินินและบรรจุไว้ในหีบศพจำลองขนาดเล็ก ๆ รูปลักษณ์เหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “ชาวับติ” (Chawabti) ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้ขานรับ” เพื่อที่ว่ายามใดที่ต้องการใช้เมื่อเรียกขึ้นมาแล้ว ผู้รับใช้นี้ก็จะขานรับคำสั่ง ชาววับติมักทำเป็นรูปมัมมี่บางทีมือทั้ง 2 ข้างประสานไว้ที่อก หรือบางทีก็ทำเป็นรูปเครื่องมือต่าง ๆ เช่น จอบ เสียม ตะกร้า ให้ถือเอาไว้ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือคำจารึกคำสวดที่พอจะแปลได้ตามความหมายว่า
“โอ..ชาวับติเจ้าเอ๋ย ถ้านาย..(ออกชื่อคนตาย) เรียกใช้เจ้าเมื่อไร ไม่ว่าจะให้ทำไร่ไถนา ทดน้ำขนส่งทราย เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็ขอให้เจ้าขานรับว่า.. ข้าพร้อมที่จะทำแล้วขอรับ”
จากความเชื่อของชนชาวอียิปต์โบราณ ในเรื่องของชีวิตหลังความตายว่าวันหนึ่งชีวิตนั้นจะกลับคืนมา เป็นแรงบันดาลใจให้ชาวอียิปต์โบราณคิดค้นหาวิธีจะรักษาร่างกายเอาไว้ เพื่อรอการกลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และชาวอียิปต์โบราณทำได้ด้วยวิทยาการสมัยโบราณ ที่แม้คนสมัยนี้ซึ่งเวลาได้ล่วงเลยมาแล้วสี่พันปีก็ยังต้องทึ่ง และจากการศึกษาเราทราบว่า กว่ามัมมี่จะวิวัฒนาการจนถึงสูงสุดของมัน มันก็ต้องใช้เวลาในการทำเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงขีดสูงสุดของมันก็ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเหมือนกัน และถึงแม้จนถึงปัจจุบันนี้ มัมมี่จากหลุมตลอดจนจากปิรามิดต่างๆในอียิปต์ ไม่มีสักร่างเดียวที่จะฟื้นขึ้นมา เพื่อบอกความลับในยุคนี้กับนักวิทยาศาสตร์ของเรา จากเรือนร่างที่คงทนต่อสู้กับ ความเน่าเปื่อยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ก็พอเพียงแล้ว นักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีของเรา พยายามอ่าน ถึงประวัติศาสตร์ในยุค และเดี๋ยวนี้วิทยาการทางด้านการวิเคราะห์ด้วยแสงเอกซเรย์ ทั้งแบบธรรมดา และ axial tomography ถูกนำมาใช้ด้วย ก็ยิ่งทำให้เราศึกษาและรู้เรื่องราว ของชนชาติอียิปต์โบราณได้มากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านโบราณคดีหรือ -นิเวศน์วิทยา เช่น จากการศึกษามัมมี่ของเซเคเนนเรที่ 2 ของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ (Erhard Metnel) โดยการใช้แสงเอกซเรย์พบว่า สมองของเซเคเนเรที่ 2 ได้รับบาดเจ็บจากรอยแผลที่เกิดขวาน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ระบุว่าเขาบาดเจ็บจากสนามรบ และพบต่อไปว่าแขนข้างหนึ่งของเขาเป็นอัมพาตไป ซึ่งก็คงเนื่องจากบาดแผลที่สมอง แต่จากการวิเคราะห์ที่ละเอียดพบว่ามีบาดแผลที่เกิดจากหอกปรากฏอยู่ที่หลังใบหูซ้าย จึงช่วยสงสัยว่าเซเคเนนเรที่ 2 อาจถูกลอบสังหารทางข้างหลังก็ได้ นอกจากนี้การศึกษาด้วยแสงเอกซเรย์ทำให้เรารู้ว่าฟาโรห์แต่ละคนในอดีต มีสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง เช่น เราสามารถนึกถึงภาพว่าฟาโรห์ซิบตาห์ (Siphtah) คงจะไม่สามารถเสด็จไปไหนมาไหนด้วย ลำพังพระองค์เอง หรือไม่ก็อาจจะต้องมีไม้เท้ายัน เพราะจากแสดงเอ็กเรย์พบว่าฟาโรห์ซิปตาห์เป็นโรคโปลิโอ หรือนึกถึงภาพของฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 (Ramessesll) พระองค์ต้องเป็นคนที่แข็งแรงกระฉับกระเฉง เพราะตรวจพบว่าพระองค์มีเส้นโลหิตที่แข็งแรงมาก แถมฟันก็คงทนถาวร รับกับประวัติศาสตร์ที่ระบุว่าฟาโรห์ราเมเสสที่ 2 มีชีวิตยืนยาวถึง 90 ปี โดยสิ้นพระชนม์ในปี 1216 ก่อนคริสตศักราช หรือจากการวิเคราะห์ซากมัมมี่นิรนามที่เรียกว่า PUM ll (มัมมี่ตัวที่ 2 ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย) พบว่ามัมมี่ตัวนี้เป็นโรคปอด ซึ่งเกิดจากสารคาร์บอนและซิลิกาที่เกาะแน่นสะสมอยู่ ซึ่งก็พอจะเชื่อได้ว่าชาวอียิปต์โบราณคงจะเป็นโรคปอดกันมาก อันเนื่องมาจากต้องสูดหายใจเอาละอองทรายและเศษผงของหินเข้าปอดเป็นประจำ ส่วนคาร์บอนที่ค้นพบในปอด ก็สันนิษฐานว่ามาจากควันของการก่อกองไฟ และจากควันของตะเกียงน้ำมัน ใน PUM ll ยังค้นพบไข่ของพยาธิตัวกลมอีกด้วย (บางท่านอาจจะสงสัยว่าไข่ของพยาธิทำไมถึงอยู่อึดนัก ทนอยู่ได้เป็นเวลาตั้งหลายพันปี ทั้งนี้เนื่องมาจากยางที่สัปเหร่อปัญญาชนใช้ในการรักษาศพมัมมี่ มีผลทำให้ไข่ของพยาธิเหล่านี้ถูกรักษาเอาไว้ได้ด้วย) ซึ่งพยาธิตัวกลมนี้เป็นพยาธิที่พบได้ทั่วไปในประเทศร้อน ซึ่งมีลักษณะดินชื้น และไข่ของมันแพร่หลายได้ดีโดยติดไปกับอุจจาระ แสดงว่าสุขาภิบาลในยุคของอียิปต์โบราณก็ยังไม่ดีนัก นอกจากนี้การใช้เทคนิคของแสงเอกซเรย์ ยังเป็นการช่วยลำดับญาติโกโหติกาของฟาโรห์ในประวัติศาสตร์อีกด้วย อย่างเช่นจากการวิเคราะห์ของ อาจารย์เจมส์ อี. แฮร์ริส (James E. Harris) แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนด้วยการใช้เทคนิคการฉายแสงเอกซเรย์ เพื่อถ่ายภาพของกะโหลกศีรษะในรูปของ 3 มิติ พบว่ามัมมี่ตัวหนึ่งที่ขุดพบในหลุมฝังศพของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 (Amunhotep ll ) ซึ่งเดิมทีไม่ทราบว่าเป็นมัมมี่ของใคร จากการวิเคราะห์นี้เขาลงความเห็นว่ามัมมี่นี้คือราชินีไทย (Tiye) ก็คือพระชายาของฟาโรห์อมุนโฮเตปที่ 2 เนื่องจากมีการเปรียบเทียบโครงสร้างของกะโหลกศีรษะของพระนางกับพ่อแม่ และเมื่อยิ่งมีการวิเคราะห์สารเคมี ในเส้นผมเ ปรียบเทียบกับเส้นผมที่เก็บไว้ในล็อคเกต ซึ่งฝังไว้ในหลุมศพของตุตันคามัน (Tutankhamun) พระญาติของเธอด้วยแล้ว ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ มัมมี่ในสุสานแห่งอียิปต์โบราณ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักโบราณคดีเท่านั้น แต่ยังเป็นยอดสนใจของเหล่ามิจฉาชีพที่ต้องการจะค้นหาสมบัติจากมัมมี่และสุสานที่ฝังอีกด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือพวกเหล่านี้หากินกับผี ทั้ง ๆ ที่สถานที่เหล่านั้นวังเวง ลึกลับ น่าสะพรึงกลัว แต่ความโลภซะอย่างสามารถทำอะไรต่อมิอะไรก็ได้ แม้แต่จะเลื่อยเศียรพระพุทธรูปแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วหลายราย โดยไม่เกรงกลัวต่อบาปต่อกรรม
|