เมื่อเร็วๆ มานี้ มีคนไข้รายหนึ่ง มาปรึกษาหารือเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เธอเล่าให้ฟังว่าไม่ทราบว่าเป็นอะไร มีอาการปวดหลัง ปวดเอว และท้องผูกเป็นประจำ เคยไปหาหมอมาหลายครั้งหลายหน ก็ไม่เห็นอาการจะทุเลาเบาบางลงบ้างเลยเธอก็ถามกระผมว่ามีต้นไม้ใบยาหรือใบหญ้าอะไรดีๆ บ้าง กระผมบอกเธอไปว่ามีเป็นยาสมุนไพร เธอรีบหยิบปากกาขึ้นมาจดทันทีพร้อมกับถามกระผมอีกว่า “ยาสมุนไพรอะไร” “สมุนไพรชนิดนี้บอกแล้วจำได้ไม่ต้องจดหรอก ....” “อะไรเล่าคะ” เธอซักต่อ “การดื่มน้ำยังไงเล่าครับ” พร้อมกับกระผมหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่ต่อหน้าเธอ ...เธอยิ้มพร้อมกับสีหน้าฉงนๆ และใจเธอคงจะคิดว่า (กระผมเดาเอาเอง)“พุทโธ่เอ๋ย” นึกว่าต้นไม้ ใบยา ใบหญ้าที่วิเศษวิโสอะไร ที่แท้ก็การกินน้ำนี่เอง... คนเราจะสุขภาพแย่ที่สุด หากไม่ดื่มน้ำวันละ 6 – 8 หรือ 10 แก้ว เป็นประจำ ถ้าดื่มน้ำน้อยเกินไปไตทั้ง 2 ข้างมันจะโกรธเอา และเกลียดคนที่ดื่มน้ำน้อยด้วยนะครับ... กระผมกระซิบเธอ...เธอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเธอก็พูดว่า... “ดิฉันนี่แปลกนะคะ วันหนึ่งๆ ไม่รู้สึกอยากดื่มน้ำเลย บางทีทั้งวันไม่ดื่มน้ำ เอ...อย่างงี้ดิฉันคงเหมือนอูฐ นะคะ...” คนที่ทำตัวเหมือนอูฐที่สุดก็ต้องไปอ้อนวอนคุณหมอที่โรงพยาบาลให้ช่วยหายาแก้ปวดหลังและความไม่สบายต่างๆ ของเขา...ละทิ้งนิสัยอูฐเสียเถอะ เพราะคนกับอูฐนั้นน่ะรูปร่างไม่เหมือนกัน สมมติว่าคณะรัฐบาลชุดนี้โดยมี ฯพณฯ ท่านพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นหัวหน้าคณะ เดี๋ยวท่านฟิตเปรี้ยขึ้นมาตัวท่านและคณะของท่านออกกฎหมายประกาศห้ามคนในสยามประเทศดื่มน้ำวันละ 10 แก้ว... พวกเราคงพากันดื่มน้ำกันยกใหญ่ หรือไม่ก็คงเรียกร้องสิทธิเกี่ยวกับการคุ้มครองสุขภาพขึ้นมาทันทีทันใดเชียวแหละ... ดีไม่ดีอาจมี “แบล็คมาร์เก็ต” ขออภัยเดาะฝรั่งกับเขาบ้าง ก็ตลาดมืดไงละครับ ก็คงค้าน้ำกันเป็นการใหญ่... ก็นับว่าจะเป็นสิ่งแปลกมหัศจรรย์ที่สุด... มนุษย์เราก็แปลกอย่างงี้แหละ คนไทยเราจึงอยากจะเป็นหมอกันนัก ทั้งนี้ก็เพราะจะได้มีโอกาสศึกษาความประหลาด มหัศจรรย์ของมนุษย์โดยละเอียดตั้งแต่ผิวหนังไปจนถึงกระดูกเชียวแหละครับ... เมื่อพูดถึงผิวหนัง มันมีหน้าที่ของมันหลายอย่างครับ เช่น ควบคุมความร้อนในร่างกาย ขับเหงื่อออกในเวลาอากาศร้อน เมื่อเหงื่อออกผิวหนังก็เย็น ดังนั้น ร่างกายเราก็สูญเสียน้ำเป็นจำนวน 2-3 ลิตรต่อวัน ถ้าอากาศหนาวก็จะสูญเสียน้ำประมาณ 1 ลิตรต่อวัน เมื่อร่างกายของเราสูญเสียน้ำไปเช่นนี้แล้ว เราก็ต้องหาเอาน้ำมาเพิ่มเติม ถ้าเราไม่เพิ่มเติมมัน เราก็จะหาความเดือดร้อนต่างๆ นานามาใส่ตัวเราเองแหละโทษใครเขาไม่ได้หรอก... เช่นเดียวกับแบตเตอรี่ที่ใช้กับรถยนต์จำเป็นต้องเติมน้ำอยู่เสมอ ถ้าไม่เติมมันเสียแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นเล่าครับ... ร่างกายของมนุษย์เราประกอบด้วยน้ำถึง 70-75 เปอร์เซ็นต์ และราวครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำนี้อยู่ในกล้ามเนื้อ เลือดเป็นของเหลวที่ให้ชีวิตแก่เรามีน้ำผสมประมาณ 1 ใน 14 ส่วนของของเหลว เซลล์ของสมอง (โบราณเรียกปรมาณูของสมอง) มีอยู่ประมณ 15,000 ล้านเซลล์ เป็นน้ำเสีย 70 เปอร์เซ็นต์ ถ้าน้ำในร่างกายของเราตกต่ำลงถึงขีดอันตรายจะทำให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ ก็เพราะน้ำและอารมณ์ หรือจิตใจของคนเรานั้นใกล้ชิดกันเกินกว่าที่จะคาดถึง ถ้าท่านท้องผูก ตื่นนอนดื่มน้ำ 2 แก้ว จะช่วยระบายท้องดีกว่ากินยาถ่าย การดื่มน้ำอุ่น ผู้ยังไม่ชินกับการดื่มน้ำอุ่น ขอแนะนำว่าอย่าดื่มรวดเดียว 2 แก้ว กระเพาะยังไม่เคย อาจทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้ ควรดื่มแต่น้อยๆ วันแรกๆ ก่อน เช่น แก้วหนึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เราดื่มสัก 1 ส่วนก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มทีละน้อยๆ จนดื่มครบ 2 แก้ว วันหนึ่งๆ ควรดื่มน้ำ ดังนี้ - ดื่มน้ำ 2 แก้ว เมื่อเวลาตื่นนอน
- ดื่มน้ำ 2 แก้ว เมื่อหลังอาหารมื้อเช้า
- ดื่มน้ำ 2 แก้ว เมื่อหลังอาหารมื้อกลางวัน
- ดื่มน้ำ 2 แก้ว เมื่อหลังอาหารเย็น
- ดื่มน้ำ 2 แก้ว เมื่อก่อนเข้านอน
ถ้าท่านดื่มน้ำสมุนไพรชนิดนี้อย่างเคร่งครัด ท่านสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอันไม่จำเป็นเกิดขึ้นได้หลายอย่าง ถ้าท่านผู้ใดไม่พยายามฝึกการดื่มน้ำให้เป็นนิสัย ท่านก็จะกลายเป็นคนขี้โรค และขี้บ่น เรื่องที่ท่านจะบ่นมากคือ “เรื่องของไตทั้ง 2 ข้าง” โดยเฉพาะทางภาคเอเชีย เรานี้ในเรื่องการดื่มน้ำควรระวังอันตรายอันเกิดจากการดื่มน้ำที่ไม่สะอาดไว้ด้วย เชื้อโรคที่แพร่ไปโดยทางน้ำมีหลายชนิด จึงไม่ควรดื่มน้ำในแม่น้ำลำคลอง บ่อบึง หรือน้ำที่ขังไว้ในถัง ในโอ่งนานๆ โดยมิได้ต้มให้เดือดอย่างน้อยสัก 5 นาที ก็จะเป็นน้ำที่สะอาดและปลอดภัย หรือน้ำที่กรองอย่างถูกวิธีถือว่าเป็นน้ำที่ดื่มได้โดยปลอดภัย กลับมาว่าเรื่องการรักษาพื้นบ้านกันดีกว่า กลัววิตามินกินสมุนไพรแทน มีนักศึกษาวิชาสมุนไพรท่านหนึ่งถามว่า ถ้าคนเราลงขาดวิตามิน เอ.บี.ซีและดี แล้วแต่กลัววิตามินเหล่านี้ เพราะรู้ว่าถ้ากินมากและเป็นเวลานานๆ มีพิษมีภัยเหมือนดาบ 2 คมเหมือนกัน เมื่อมีคุณมากก็ต้องมีโทษมากเช่นกัน จึงขอทราบว่าจะกินสมุนไพรอะไรดี สมุนไพรที่อุดมไปด้วย วิตามิน เอ มีสมุนไพรดังต่อไปนี้ คือ - น้ำนม, ไข่แดง, ข้าวโพดเหลือง, หัวผักกาดเหลือง, และมะเขือเทศ - ผักที่มีใบสีเขียว ก็มีวิตามิน เอ. มาก ถ้าต้มสุกแล้วประมาณครึ่งถ้วยตวงก็จะมีวิตามิน เอ. มากเกินกว่าจำนวนที่ร่างกายต้องการในวันหนึ่งๆ ถึง 5 เท่า - เพื่อความมั่นใจควรกินผักที่มีสีเขียว, สีเหลือง, สีส้ม, สีแดง เป็นประจำทุกวัน สมุนไพรที่อุดมไปด้วย วิตามิน บี มีสมุนไพรดังต่อไปนี้ คือ - ข้าวซ้อมมือ - ผัก ผลไม้ ก็ให้วิตามิน บี. เช่นกัน วิตามิน บี. จะสูญเสียไปในน้ำที่ใช้ต้มผักโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสูญเสียเร็วขึ้น ถ้าในการต้มผักนั้นผู้ต้มเติมโซดาลงไปเพื่อให้ผักเขียวสดในการต้มเพื่อวิตามิน ควรใช้น้ำแต่น้อย ต้มให้เดือดเสียก่อน ใส่ผักลงไปปิดฝาแล้วเปิดฝาครอบออกก็ใช้ได้น้ำที่ต้มผักนั้นไม่ควรเททิ้งควรใช้ปรุงอาหารอื่นๆ ต่อไป สมุนไพรที่อุดมไปด้วย วิตามิน ซี มีสมุนไพรดังต่อไปนี้ คือ - ผลไม้จำพวกส้ม เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มโอ มะนาว มีวิตามินซีมากที่สุดแหละครับ - มะเขือเทศ กะหล่ำปลี และผักเขียวต่างๆ ก็มีวิตามิน ซี. มากเหมือนกัน แต่วิตามินพวกนี้จะสูญเสียไปในการต้มหรือทำให้สุก การต้มจะทำให้สูญเสียวิตามิน ซี. ไปในน้ำประมาณ 30 – 40 เปอร์เซ็นต์ กระผมจึงขอย้ำว่าในการต้มควรใช้น้ำน้อยที่สุด และใส่น้ำแต่น้อย ควรกินผลไม้สดเพื่อวิตามินจะได้ไม่สูญเสียไป สมุนไพรที่อุดมไปด้วย วิตามิน ดี มีสมุนไพรดังต่อไปนี้ คือ - แสงแดด อุดมไปด้วยวิตามิน ดี. เพียงพอทุกวัน - การเพิ่มวิตามิน ดี. เข้าในอาหารบางอย่าง เช่น น้ำนม จะช่วยเพิ่มคุณค่าของอาหารนั้นให้สูงขึ้น ไข่แดง ครีม มีวิตามิน ดี. น้อย เอ้าถามไปก็ตอบมา จบกันเพียงเท่านี้ครับ
|