แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย uchihachin เมื่อ 2011-4-3 09:45
ก่อนรักจะจางไป ภาค ประธานปากเสียกับเด็กหนุ่มหน้าสวย โรงเรียนสหายวิทยา เป็นโรงเรียนชายล้วนที่แสนธรรมดา ที่ไม่ว่าเด็กนักเรียนที่นั่นจะโง่ขนาดไหน ก็ยังสามารถจบมาได้ แถมยังเหมือนโรงเรียนที่เรียกได้ว่า ดงนักเลง มีเรื่องทะเลาะวิวาทเป็นหนึ่งในใต้หล้า และในวันนี้ผมกำลังจะก้าวเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้เป็นวันแรก อวยพรให้ผมรอดด้วยนะ นิยามที่ 1 จุดเริ่มของการเริ่มต้น และคู่หูคู่กัด! “ฟองเต้ๆ ตื่นได้แล้วลูก” เสียงผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยาของพ่อผมเคาะประตูเรียกอีกฟากนึงของประตูของห้องนอน “ครับแม่” ผมตอบกลับไปเสียงนั้นเงียบลง ผมลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียเดินเข้าห้องน้ำไป วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรกทำให้ผมผู้ซึ่งเป็นประธานนักเรียนต้องตื่นก่อนเวลาอันสมควรเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับรุ่นน้อง
อ้อ ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ ฟองเต้ สูงร้อยแปดสิบห้า หนักหกสิบห้า หน้าตาถือได้ว่าหล่อขั้นเทพ ออกแนวฝรั่งนิดๆยกเว้นตาที่ตี่ๆเหมือนแม่ ผมเป็นประธานนักเรียน โรงเรียนสหายวิทยา ส่วนเรื่องความรัก ผมรักฝ่ายเดียวกับรุ่นพี่โรงเรียนเก่าของผมที่ตอนนี้จบไปแล้ว แต่ขอยังไม่บอกว่าชื่ออะไร (แต่บางคนอาจจะรู้แล้ว) ผมย้ายโรงเรียนมาเรียนต่อมอปลายชายล้วนที่นี่ วันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันแรก ตอนนี้ผมศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกแล้ว ซึ่งการเลือกคณะกรรมการนักเรียนของเมื่อปีที่แล้วผลปรากฏว่าผมได้ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเพราะผมเป็นมาตั้งแต่มอห้าแล้ว(จะคุยว่าตัวเองแน่ว่างั้นเถอะ)
อีกอย่างนึงผมคิดว่าโรงเรียนผมเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุด และผมรักโรงเรียนนี้มาก เอาเป็นว่าฟังประวัติผมแค่นี้พอเดี๋ยวผมจะไปเรียนสาย ตอนนี้ผมขออาบน้ำก่อน
“แม่จะมารับตอนเย็นนะลูก” เสียงของผู้หญิงที่ห่วงผมที่สุดกล่าวอย่างอ่อนโยน “ครับแม่ ผมรักแม่นะครับ” ผมหอมแก้มแม่หนึ่งทีก่อนลงจากรถ “ลูกไม่คิดจะยิ้มบ้างหรอ แม่ว่าเวลาลูกทำหน้าขรึมๆแล้วมันดูขัดกับหน้าสวยๆของลูกนะ” “แม่ครับ”ผมพูดแบบเหนื่อยหน่ายกับคำพูดประโยคนี้ของแม่ ที่ยิ่งนับวันยิ่งบ่อยขึ้น “จ๊ะๆแม่ขอโทษ” แม่ผมพูดจบแล้วขับรถออกจากหน้าบริเวณที่จอดรถของโรงเรียนใหม่ของผม ผมได้แต่ส่ายหน้ากับประโยคนั้นของแม่
งั้นผมขอแนะนำตัวเลยนะครับ ผมชื่อ รัน สูงร้อยหกสิบ (ใครแอบคิดว่าผมเตี้ยขอให้คุณหยุดสูงแค่นั้น สาธุ) หนักสี่สิบห้า หน้าตาที่ออกไปทางผู้หญิงทำให้ถูกเข้าใจผิดบ่อยๆว่าเป็นผู้หญิง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำหน้าขรึมๆ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมดูหน้าดุขึ้น(มั้ง) ผมได้ฉายาว่าสาวยิ้มยาก(ไม่รู้จะถูมิใจดีรึเปล่า)
เรื่องความรักผมเคยมีมันแค่ครั้งเดียวและผมคิดว่าครั้งนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย ผมเลยหันมาสนใจแต่เรื่องเรียนให้มากขึ้น ที่ผมต้องย้ายมาเรียนที่นี่เพราะแม่ผมถูกย้ายมาประจำสาขาที่นี่
และแม่ผมก็รู้จักกับรองผู้อำนวยการของโรงเรียนนี้ด้วย
ถ้าพูดตามความจริงโรงเรียนนี้ถือว่าแย่มากในสายตาผม เด็กที่นี่ไม่ตั้งใจเรียนแถมยังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับโรงเรียนใกล้เคียงบ่อยๆอีกด้วย แย่จริงๆ เอาเป็นว่าผมขอเม้าท์เรื่องโรงเรียนนี้แค่นี้ก่อนนะครับ
ผมยืนเข้าแถวกลางสนามหญ้าของโรงเรียนหลังจากที่ผู้อำนวยการจอมบ้าน้ำลายทำการต้อนรับนักเรียนจนน้ำท่วมโลก พวกคณะกรรมการนักเรียนหรืออีกอย่างที่ผมเรียกก็คือ พวกขี้เก๊กบ้าอำนาจ ก็ทำการตรวจเครื่องแบบนักเรียน ผมน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว อยากตรวจก็ตรวจเพราะผมมั่นใจตัวเองเต็มร้อยเรื่องความเป็นระเบียบและการแต่งตัว “นายเข้าใหม่หรอ” ผมเงยหน้ามองคนที่ถามผม (คนอะไรสูงชิบ) เค้าเอามือที่บังแสงแดดออกเผยให้เห็นใบหน้าที่...ที่... ขี้เหร่สุด...สู๊ด ผู้ชายอะไร สูงเป็นเปรตหน้าก็ออกจะฝรั่งแต่ตาดันตี่ ดูแล้วหน้าจะกวนทีนน่าดูซ่ะด้วย “ผมถามหน่ะ ไม่ได้ยินรึไง” ไอ้เสาไฟฟ้านั่นปลุกผมจากภวังค์ความคิด “แล้วเคยเห็นรึเปล่าหล่ะ ถ้าเคยก็แปลว่าเด็กเก่า ถ้าไม่เคยก็แปลว่าเด็กใหม่” ผมย้อนไอ้เสาไฟฟ้าอย่างเจ็บแสบ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเก่าหรือใหม่ เพราะหน้านายมันโหลๆ” ไอ้เสาไฟฟ้าย้อนตะเข็บผมอย่างเจ็บแสบเช่นกัน ผมได้แต่มองอย่างอึ้งๆ เมื่อคนตรงหน้าไม่หลงเสน่ห์ผม “โหย ใครอ่ะไอ้หรั่ง น่ารักเป็นบ้าเลย เฮ้ยพวกเรามาดูนี่ดิ” เพื่อนของไอ้เสาฟ้าเรียกพวกคณะกรรมการนักเรียนให้มาดูผม ผมรู้สึกไม่ชอบใจเลยเพราะมันทำให้ผมดูเป็นตัวประหลาด “โหย น่ารักอ่ะ “เออว่ะ แมร่งน่ารักโคตร” “ถามน้องเค้าดิว่ามีแฟนยัง” เสียงวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของผมไม่หยุดแค่นั้น ผมไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆออกมาทางสีหน้าและแววตา “ขอโทษนะครับ คือผมมาเรียนต่อมอหกที่นี่ ผมก็มั่นใจว่าที่นี่คงไม่มีนักศึกษาปริญญาตรี เพราะฉะนั้นโปรดใช้สมองที่เหลืออันน้อยนิดพิจารณาด้วยว่า ไม่สมควรเรียกผมว่าน้อง และอีกอย่างผมก็เป็นผู้ชาย และนี่คือโรงเรียนชายล้วน แต่ผมชักไม่เข้าใจว่าที่นี่เป็นโรงเรียนหรือโรงพยาบาลบ้ากันแน่ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ผมเดินฝ่าพวกบ้าอำนาจขี้เก๊กออกมาปล่อยให้พวกมันเรียงคำพูดของผม โดยใช้สมองเม็ดทรายนั้นคำนวณ แต่ฝ่าออกมาได้ไม่ไกล ก็ “ปากเสียยังไง เค้าก็รักตัวนะ” หนึ่งในพวกบ้าอำนาจขี้เก๊กตะโกนบอกผม ตามด้วยเสียงหมาที่เห่ากันเกรียว เซ็งจริงๆนี่แค่วันแรกนะเนี่ย “โหย เป็นอะไรของแกว่ะ หน้าบูดเป็นหม้อข้าวเน่าตั้งแต่ตรวจแถวแล้วนะ” ผมถูกไอ้แจ๊คเพื่อนร่วมห้องแสนจะหลงตัวเองถามขึ้นขณะที่นั่งประชุม (นี่ขนาดประชุมมันยังกล้าชวนคุยอีกนะ เดี๋ยวก็ปลดซ่ะนี่) ผมไม่ตอบอะไร แล้วทำการประชุมต่อจนเสร็จ กว่าจะเสร็จก็เล่นซ่ะเกือบเที่ยง ผมเลยเดินตรงไปที่โรงอาหารเพื่อที่จะทำการสวาปามอาหารเที่ยงซ่ะที แต่แล้วผมก็ต้องอารมณ์เสียรุนแรงขึ้นเมื่อ สายตาผมไปจ๊ะเอ๋ เบบี๋ กับผู้ชายหน้าสวยแต่แสนปากร้าย กำลังยืนสั่งข้าวร้านประจำของผมอยู่ ผู้ชายอะไรไม่รู้ผิวขาวนวล หน้าเรียว ปากเรียวเล็ก สีปากสีชมพู
แต่ปากเรียวเล็กนั้นคือปากที่เสียโคตรๆ
ผมเดินไปสั่งอาหารเหมือนไม่เห็นคนๆนั้น นายนั่นก็ไม่มองผมเช่นกัน เชอะ สู้พี่ว่านก็ไม่ได้ ยังจะมาทำหยิ่งอีก
อ๊ายยยยยยย อะไรเนี่ย อย่างนี้ก็รู้แล้วซิว่าคนที่ผมแอบรักฝ่ายเดียวชื่อว่าน
ผมนั่งกินอาหารร่วมกับเพื่อนในกลุ่มผม ถัดจากโต๊ะผมไปสองสามโต๊ะก็พบหมอนั่นนั่งอยู่คนเดียว สมแล้วหล่ะ ปากเสียจนไม่มีใครคบหน่ะซิ
ผมไม่ได้ตังใจมองนะ แค่..แค่..ตรวจสอบความเป็นระเบียบในโรงอาหารเฉยๆ ผมมองเห็นเด็กรุ่นน้องคนนึงเดินไปที่โต๊ะของไอ้หน้าแต๋วนั่น พร้อมกับยืนเก้ๆกังๆอยู่แถวๆโต๊ะของไอ้หน้าแต๋ว “เอ่อ พี่ครับ พี่มีเบอร์มือถือรึเปล่าครับ”รุ่นน้องคนนั้นกล่าวแล้วทำตัวบิดเขินอายเหมือนกับกำลังบอกรักสาวสวยอยู่ แต่ไอ้แต๋วไม่ได้ชายหางตามองแม้แต่นิดเดียว เห็นแล้วอยากจะลุกไปกระโดดถีบให้ล่วงแล้วเอาข้าวราดหน้าให้หายหยิ่งซักที “พี่มีแฟนยังครับ” “นี่น้องครับ” ผมทำเป็นหันหน้ามองไปทางอื่นกลัวไอ้แต๋วนั่นรู้ว่าผมแอบมองอยู่แต่หูผมอ่ะ ชนลิ้นไก่มันแล้ว “พี่เป็นผู้ชายนะครับ” “ครับผมชอบผู้ชาย” โอ้โห แจ๋วมากน้องนี่นายกล้ามากที่บอกความจริง ดีกว่าไอ้พวกที่เป็นและแอบอยู่ในมุมมืด ไม่กล้าแสดงตัว เห็นพวกมันแล้วเซ็ง ชอบทำเป็นพูดว่า ‘ไม่ได้เป็นครับ ผมไม่ได้เป็น’ แต่พอตอนกลางคืนออกมาซ่ะยิ่งกว่าพวกที่บอกว่าตัวเองเป็นซ่ะอีก “แต่พี่ไม่ชอบ แล้วน้องก็ควรคิดถึงพ่อแม่น้องด้วยว่า เค้าจะรู้สึกยังไงที่น้องมาชอบผู้ชาย พี่ไปหล่ะ” ไอ้แต๋วนั่นตัดพ้อเด็กหนุ่มรุ่นน้องแล้วเดินออกจากโต๊ะอาหารปล่อยให้ไอ้เด็กนั่นยืนเอ๋อทำปากหว๋อเหมือนลิงปากเจ่อเกาเห็บจากหัว ผมรู้สึกขำกับการกระทำของไอ้แต๋วนั่น ดูแล้วคงจะเป็นคนตรงๆ แต่เรื่องปากร้ายนี่ยังไงผมก็รับไม่ได้อยู่ดี (ก็พี่ว่านพูดเพราะอ่ะ) -///- “น้องสวยเรามีคนมาจีบด้วยว่ะ” ไอ้แจ๊ครีบพูดเหมือนกลัวใครจะแย่งบท “แบบนี้แหล่ะ พี่ชอบ” แล้วทั้งโต๊ะก็คุยแต่เรื่องไอ้แต๋วตลอดเวลา จนผมรู้สึกเบื่อ แทนที่จะเอาเวลามาคุยเรื่องซ้อมบาส ดันมาคุยเรื่องผู้ชาย ผู้ชายโรงเรียนนี้มันกลายพันธุ์หมดแล้วรึไงนะ ผมเดินออกจากกลุ่ม เพื่อไปยังพื้นที่ที่สงบ เป็นพื้นที่ที่เงียบที่สุดในโรงเรียนนี้
ผมรู้สึกรำคาญพวกปากนกปากกาที่ส่งเสียงแซวตลอดเส้นทางที่ผมเดิน คงไม่มีที่ไหนที่จะสงบสุขแล้วในโรงเรียนนี้ เพราะแม้กระทั่งห้องสมุดก็ยังส่งเสียงดังได้แบบที่เรียกว่างานวัด หรือว่าตลาดสดเลยทีเดียว แล้วยิ่งมีไอ้พวกเดินตามเป็นขบวนแล้วร้องเพลงแซวผมยิ่งรำคาญใหญ่แต่ผมเลือกที่จะไม่บ่งบอกสิ่งใดทางใบหน้า จนผมแอบวิ่งมาทางหลังตึกเก่าคร่ำครึ ที่ดูเหมือนน่าจะเป็นตึกเก็บของบรรยากาศ และเสียงที่ไร้มลภาวะ เหมือนเป็นตัวดึงดูดใจให้ผมก้าวต่อไปยังหลังตึกนั่น
โอ้โห OoO ภาพอันสวยงามเหมือนสวรรค์บนโรงเรียนนรกที่นี่ ข้างหน้าผมคือสนามหญ้ากว้างที่ถูกตัดจนสั้นเท่าสนามบอล อากาศถ่ายเท และที่สำคัญมันไม่มีคน ผมนั่งลงอย่างเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องที่ไม่ว่าผมจะอยู่โรงเรียนไหนก็จะเป็นแบบนี้ นี่ยังดีที่มันเป็นโรงเรียนชายล้วน เพราะตอนที่ผมเรียนโรงเรียนสหะผมเคยโดนผู้หญิงตบ เพราะแฟนของเธอชอบผม แล้วบอกเลิกเธอ มันไม่ใช่ความผิดของผมเลยที่จะต้องโดน ผมหยิบเอาหนังสือที่จะเรียนในคาบต่อไปมากางอ่าน ลมเย็นๆพัดผ่านตัวผม ความสูงของตึกเป็นกำบังแดดที่ร้อนจ้าได้อย่างดี ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะเอาที่นี่เป็นฐานทัพลับของผม “ผมว่าที่นี่เป็นความลับของผมนะ” เสียงยียวนดังมาจากด้านหลังผม ผมหันหลังเพื่อมองเจ้าของเสียงปริศนานั่น แล้วก็ต้องรู้สึกหงุดหงิดเมื่อคนที่พูดเมื่อกี้คือไอ้เสาไฟฟ้า “ไม่เห็นมีใครเอาป้ายมาติดนี่ว่าเป็นสถานที่ส่วนตัวของนาย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงยียวนเช่นกัน “นายมันปากเสียชะมัด” ไอ้เสาไฟฟ้าด่าผม “แต่ปากนายมันเน่า” “ถ้าเป็นเมื่อก่อน นายคงลงไปนอนจมกองเลือดแล้ว” ไอ้เสาไฟฟ้าโฆษณาสรรพคุณความเป็นนักเลงของตัวเอง “แต่ขอโทษนะที่นายตอนนี้ไม่ใช่นายเมื่อก่อน” “คนอย่างนายมันไม่เห็นใจใครอยู่แล้ว อยากจะตอกหน้าหรืออยากจะด่าใครก็ไม่คิดจะเห็นหัว พูดกับนายก็เปลืองน้ำลาย ปล่อยนายนั่งหน้าตายแบบนั้นดีกว่า” ไอ้เสาไฟฟ้าไม่พูดอะไรต่อล้มลงนอนไม่ไกลจากตัวผมมากนัก ผมก็เลยก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เราอยู่ตรงนั้นด้วยกัน แต่มันเหมือนเป็นเวลานานเมื่อมีคนพูดทำลายบรรยากาศที่แสนสงบนั่นอีกครั้ง “นายชื่ออะไร” “ฮะ @_@” ผมรู้สึกงง และผมไม่ค่อยแน่ใจกับสิ่งที่ได้ยินเลยพยายามที่จะทวนคำถามอีกครั้ง ไอ้เสาไฟฟ้าลุกขึ้นมานั่งแล้วมองหน้าผม “นาย ชื่อ อะ ไร” ไอ้เสาไฟฟ้าทำเป็นพูดช้าๆเน้นๆทีละตัว “ทำไมจะจีบผมหรอ” ผมเย้ยใส่ไอ้เสาไฟฟ้าอีกที มาไม้นี่กันหลายคนแล้วทำเป็นไม่ชอบๆแต่สุดท้ายก็แกล้งเพื่อมาตีสนิท ผมไม่ใช่นางเอกในนิยายการ์ตูนน้ำเน่าที่จะมาชอบอะไรประมาณนั้น ถ้าผมเป็นนางเอกแล้วละก็ นิยายเรื่องนั้นคงไม่มีพระเอก “หลงตัวเองไปหน่อยรึเปล่า ที่ผมถามเพราะต้องการทำความรู้จักเพราะเป็นเด็กโรงเรียนเดียวกัน” เพล้งๆ เสียงอะไรก็ไม่รู้แตก จะอะไรซ่ะอีกก็หน้าของผมหน่ะซิผมรีบเก็บเศษหน้าแตกๆ แล้วซ่อนมันไว้ในใบหน้าที่เรียบเฉยทันที ผมไม่เคยเจอคนที่กล้าตอกหน้าผมแบบนี้ ไอ้เสาไฟฟ้านายแน่มาก “ผมชื่อรัน” “ชื่อก็เพราะดี ไม่เหมาะกับปากนายเลยนะ” โธ่ ไอ้เสาไฟฟ้าปากเสีย “แล้วหรั่งนี้ หมายถึง หรั่งเร็วรึเปล่า” ผมตอกกลับไอ้เสาไฟฟ้าทันที “เปล่าความจริงผมชื่อ ฟองเต้ หรั่งเป็นแค่ฉายา” “ชื่อดูดีกว่าหน้าบานเลยเนาะ หมายถึงชื่อดูดีกว่าบานนะ และหน้านายก็บานด้วย” “ผมก็เข้าใจนายนะรัน เพราะปกติแล้วคนแคระมักจะทำตัวเป็นคนปากเสียเพื่อปกปิดปมด้อยของตัวเอง” จบประโยคนั้นผมก็นั่งหน้าราบเรียบและไม่มีประโยคใดๆกล่าวขึ้นมาจากปากของเราสองคนอีก ไอ้หรั่งบ้ามาว่าเราเตี้ย ขอให้มันสูงเฉียดฟ้า มือใหญ่เท่าใบลาน ปากจู๋เท่ารูเข็มเถอะ สาธุ! - -* “ออดๆๆๆๆๆ” เสียงออดดังเป็นสัญญาณของการเข้าเรียน ผมลุกขึ้นปัดเศษหญ้าที่ติดกางเกงแล้วเดินออกมาจากจุดนั้น ปล่อยให้ไอ้หน้าแต๋วหรือนายรันนั่งเป็นหนอนหนังสืออยู่คนเดียว แต่พอผมเดินมาได้ไม่นาน ไอ้แต๋วนั่นก็ยังเดินตามผมอยู่ จนผมกำลังขึ้นบันไดของตึกที่ผมเรียน ผมเลยหันที่จะไปถามตรงๆว่าตามผมมาทำไม “นายตามผมมามีอะไร”ผมยืนกอดอกถามในสิ่งที่ต้องการคำตอบ “หลงตัวเองไปหน่อยรึเปล่า ผมก็เรียนที่ตึกนี้เหมือนกัน” ไอ้แต๋วนั่นตอบเสร็จก็เดินผ่านแล้วเอาไหล่กะทบกับหน้าอกผมเพราะว่ามันเตี้ย (แล้วยังไม่เจียม) ขึ้นไปยังห้องที่ผมจะเรียน ผมเดินตามขึ้นไปแล้วได้แต่คิดทบทวนกับคำพูดของไอ้หน้าแต๋ว เรียนห้องนี้เหมือนกันหรือว่า ม่ายยยยยยยยยนร๊า T_T แล้วมันก็เป็นไปตามที่ผมคิดเมื่อเราสองคนก้าวเข้าห้องเดียวกัน “เฮ้ยๆ พวกเรา น้องรันมาแล้วเงียบๆหน่อย” เสียงไอ้แจ๊คสั่งเพื่อนในห้องผมให้เงียบและก็เป็นผลทุกคนในห้องเงียบหมดทันทีผมเป็นประธานนักเรียนสั่งให้เสียงแหบยังไงพวกมันก็ไม่ยอมเงียบ (ไอ้เพื่อนเฮงซวย) “น้องรันจ๊ะ วิชานี้มีที่นั่งรึยัง ถ้าไม่มีมานั่งในใจพี่เอามั๊ยจ๊ะ” หนึ่งในนักเรียนในห้องผมปล่อยมุขเห่ยๆ จนสามารถเรียกเสียงโฮ่ได้ทั้งห้อง สงบได้แปปเดียวจริงๆไอ้พวกลูกลิง ไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆบนใบหน้าของนายรัน แต่ผมว่าเค้าคงจะเบื่อหน่ายกับการแซวอยู่เหมือนกัน ผมนั่งลงที่ประจำของผม ซึ่งโต๊ะข้างๆก็ไม่มีใครนั่งประจำอยู่แล้วเนื่องจากผมไม่ชอบเสียงดังหรือคุยกับใครเวลาเรียน ถึงผมจะเรียนไม่เก่งแต่ผมก็ตั้งใจเต็มที่ ผมไม่มีพรสวรรค์ แต่ผมก็มีพรแสวงหาความรู้ “ไอ้นนท์ แกไปนั่งกับไอ้หรั่งเลย ข้าจะนั่งกับน้องรัน” “อะไร แกนั่นแหล่ะลุกไปนั่งกับไอ้หรั่งเลย ส่วนน้องรันเดี๋ยวพี่นาวคนนี้จะเป็นคนจัดการเอง” ไอ้นาวไม่พูดเปล่ายังทำหน้าหื่นๆใส่ไอ้หน้าแต๋วหรือที่พวกมันเรียกว่าน้องรัน อึ๋ยๆ พูดแบบนี้แล้วขนลุก แค่นั้นยังไม่พอ โต๊ะอื่นๆก็ยังคงหยอดไอ้เด็กใหม่หน้าแต๋วตลอดเวลา ไอ้หมอนั่นก็ไปยืนทำหน้าตายให้เค้าแซวอยู่ได้แทนที่จะหาที่นั่ง แต่น่าแปลกพอคนเยอะมากๆหมอนี่จะไม่พูดหรือไม่ด่าอะไร หรือว่าจะกลัวโดนรุมสกรีนยี่ห้อรองเท้านักเรียนทั้ง บาทา นานยัง เบรกเก๋ โธ่เราก็นึกว่าแน่ที่แท้ก็กลัวตรีนนี่หว่า ผมก้มลงฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียน เพราะอาจารย์ยังไม่มา ขอซักงีบก็ยังดี ก็คนมันปรับตัวไม่ทันนี่พึ่งเปิดเรียนวันแรกก็ต้องตื่นเช้า ว่าแล้ว ก็ คร่อกๆๆฟี้
- - zZZ “นายวรวุติๆ” เสียงอาจารย์ประจำวิชาเรียกไอเสาไฟฟ้าที่ก้มหน้านอนน้ำลายไหลยืดอยู่ข้างๆตัวผม ที่ผมต้องมานั่งตรงนี้เพราะว่าทั้งห้องไม่มีที่ว่างแล้วนอกจากโต๊ะข้างๆบุคคลสังคมรังเกียจคนนี้ ตอนแรกที่ผมยืนให้ไอ้พวกบ้านั่นแทะเล็มจนตัวเหลือแต่กระดูกก็เพราะผมชั่งใจไม่อยากจะนั่งใกล้ไอ้หมอนี่ ไม่รู้ว่าสวรรค์แกล้งหรือนรกสั่งให้เหลือที่นั่งตรงนี้แค่ที่เดียว อาจารย์ยังเรียกไอ้หนุ่มขี้เซาต่อ ผมเลยอาสาที่จะช่วยอาจารย์โดยที่ไม่บอกกล่าว แล้วเอามืออันนุ่มนิ่มแต่แฝงพลังนั่นฟาดเข้ากลางกบาลหมอนั่นอย่างแรง (แบบใส่หมดแม๊ก) “ใครตีว่ะ” ได้ผลไอ้เสาไฟฟ้าลุกขึ้นมาโวยวาย ผมทำเป็นตั้งใจอ่านตำราต่อ พอมันเห็นว่าอาจารย์อยู่ตรงหน้าก็ทำหน้าจ๋อยทันที โดนอาจารย์เทศน์ไปหนึ่งจบก่อนจะกลับเข้ามาสู่บทเรียน แต่จะว่าไปอาจารย์ที่นี่ก็สอนเข้าใจดีกว่าโรงเรียนหลายๆโรงเรียนที่ผมเรียน เรียนจบคาบนี้ก็เป็นเวลากลับบ้าน ผมทำการเก็บอุปกรณ์การเรียนที่อยู่บนโต๊ะ แล้วไอ้เห่ยก็เดินมาหาผมพร้อมกับเสยผมแล้วยืนทำตาปิ๊งๆจนผมรู้สึกขนลุก “น้องรันครับ กลับบ้านยังไงให้พี่แจ๊คไปส่งดีรึเปล่า” ไอ้เห่ยหรือไอ้แจ๊คพูดเสียงเกือบจะหล่อออกมาพร้อมกับแนะนำชื่อตัวเองไปในตัว (ไม่ได้อยากจะรู้เลย รกสมองจริงๆ) “ไม่เป็นไร แม่มารับ” ผมบอกปัดความปารถนาดีไป “โอ้ โห ดีเลยพี่จะได้ไปถามแม่เรื่องสินสอดทองมั่น ว่าจะเรียกเท่าไหร่”
@_@ “นี่นาย ก็บอกแล้วไงว่าผมเป็นผู้ชาย” ผมรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำพูดที่แทะโลมผมมากลงทุกทีจนแทบจะแสดงออกมาทางสีหน้าแต่ต้องเก็บมันไว้จะไม่ให้ใครเห็นผมในหลายแง่มุมเด็ดขาด ผมเดินฝ่าฝูงแร้งออกมายังคงมีเสียงแซวเป็นระยะๆพอให้ผมได้ยิน ผมเลือกที่จะรอแม่ตรงประตูสอง เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องน่ารำคาญผมนั่งรอในขณะที่ทำการบ้านที่อาจารย์สั่งไปด้วย จนกระทั่งถึงเวลาหกโมงเย็น กับอีกสามสิบนาที “ทำไมแม่ยังไม่มาอีกนะ” ผมหยิบมือถือจากกระเป๋านักเรียนเปิดเครื่องแล้วทำการติดต่อกับภรรยาของพ่อทันที “แม่ครับ รันรอแม่อยู่นานแล้ว แม่ทำไมไม่รีบมาซักที” ผมกรอกเสียงใส่หูโทรศัพท์เมื่อมีผู้รับสาย “แม่ขอโทษนะลูก แม่ยังประชุมไม่เสร็จเลยนี่ก็ขอออกมาเข้าห้องน้ำว่าจะโทรหาลูก แต่พอดีว่าลูกโทรมาก่อน แม่คงจะอีกนานกว่าจะกลับลูกนั่งรถกลับเองได้รึเปล่าจ๊ะ แม่ขอโทษจริงๆนะ” “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมเข้าใจเดี๋ยวผมนั่งรถกลับเองก็ได้ครับ งั้นแค่นี้นะครับแม่” “แม่รักลูกนะ” “ผมก็รักแม่ครับ” ผมกดวาสายแล้วมานั่งคิดว่าจะนั่งรถอะไรกลับบ้าน ก็ผมพึ่งย้ายมาอยู๋ที่นี่ยังไม่รู้ซ่ะด้วยซ้ำว่ารถไหนสายไหนไปที่ไหน ผมเลยคิดที่จะรอแม่จนกว่าจะประชุมเสร็จแล้วค่อยให้แม่มารับ ผมไม่โกรธแม่หรอกเพราะผมเข้าใจว่าแม่ทำงานหนักเพื่อใคร แสงตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า พื้นดินเหมือนกำลังกลืนกินดวงตะวันให้หายไปภายใต้โลก เมื่อไร้ซึ่งแสงตะวันตรงที่ผมนั่งก็พลันมืดมีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวเท่านั้นที่เปล่งแสงออกมาให้ผมได้มองเห็นอะไรลางๆ สภาพโรงเรียนที่ดูเก่าแก่ ทำให้ในช่วงเวลากลางคืนดูน่ากลัว สำหรับคนตาขาวอย่างผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องดีเลย ผมนั่งกดโทรศัพท์เล่นท่ามกลางความมืด “นายยังไม่กลับอีกไง”เสียงหนึ่งทักผมจากด้านหลัง ทำเอาผมสะดุ้งหันไปมองต้นเสียง “แล้วนายทำไมยังไม่กลับหล่ะ” ผมถามกลับบุคคลที่ทักผมเมื่อครู่ “อยู่ซ้อมบาสน่ะ กลับดึกแบบนี้ทุกวัน” หมอนั่นตอบผมพร้อมนั่งลงกับโต๊ะมาหินตรงข้ามกับผม “รอใครมารับหรอ” ผมเลือกที่จะเปิดประเด็นหาเรื่องคุยก่อน เพราะอย่างน้อยก็ยังดีที่มีเพื่อนคุย ดีกว่านั่งกลัวผีอยู่คนเดียว (ถึงจะเป็นไอ้ปากเสียนี่ก็เถอะ) “เปล่าหรอก มานั่งพักเอาแรงเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว ผมเอามอไซค์มา” “อื้ม” “และนายหล่ะ แม่ยังไม่มารับไง” “มาแล้วก็เห็นซิ” อึ๋ย ผมห้ามปากตัวเองที่จะตอบกวนๆไปยังคู่สนทนาที่มีหน้าตาที่กวนๆไม่ได้ “อืม สงสัยแม่นายคงจะมีธุระมั้ง” แปลกไม่มีคำตอกกลับที่เจ็บแสบเหมือนดังเคย “( _ _ ) ( - -) ( _ _ ) ( - -)”ผมได้แต่พยักหน้าไม่อยากพูดอะไรกลัวคู่สนทนาจะทิ้งผมไว้คนเดียว (ขอพักศึกไว้ชั่วคราว) “บ้านนายอยู่แถวไหนหล่ะ” “อยู่ซอยฮาราจุ๊กกุหน่ะ”ผมตอบชื่อซอยบ้านผมที่พึ่งย้ายมาใหม่ “เฮ้ย จริง อยู่ห่างจากซอยบ้านผมไปแค่สองซอยเอง” “อื้ม หรอ ดีใจอะไรถ้าอยู่ซอยเดียวกันนายไม่ฉลองเลยรึไงฮะ” อ่ะ ครั้งนี้ผมไม่ได้พูดนะ แค่คิดเฉยๆ “อื้ม” “งั้นนายตามมา เดี๋ยวพาไปส่งบ้าน” หมอนั่นลุกขึ้นยืนแล้วส่งมือมาทางผม เพื่อฉุดผมที่นั่งรากงอกติดอยู่บนโต๊ะม้าหิน ผมเลือกที่จะลุกด้วยตัวเอง หมอนั่นอามือกลับไปเช็ดกางเกงแบบเก้อๆ “มันจะดีนะ เอ๊ย มันจะดีหรอ รบกวนนายรึเปล่า” “ก็รบกวนอยู่นะ” “แต่ยังไงนายก็ต้องไปส่ง” ผมออกเสียงสั่งอย่างเผด็จการ ก็ปกติถ้าผมไม่มีรถกลับบ้านก็จะมีผู้ชายที่เข้ามาจีบผมนี่แหล่ะที่เป็นโชเฟอร์จำเป็นของผม แต่ถึงยังไงก็อย่าหวังว่าจะได้ยินคำขอบคุณจากปากผมเลย แค่ผมนั่งบนรถของพวกนั้นก็ถือว่าเป็นบุญขนาดไหนแล้ว “นายขอร้องคนอื่นแบบนี้ไง” “แล้วนายจะให้ผมลงไปกราบเท้าเลยรึเปล่าหล่ะ” ผมออกเสียงประชดหมอนั่น พร้อมกับรู้สึกประหลาดใจ ผมไม่เคยเจอใครที่ไม่ยอมไปส่งผมโดยที่ผมออกคำสั่งแล้วซักที ไอ้หมอนี่เป็นคนแรกมันทำให้ผมหัวเสียน่าดู “ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แค่นายพูดว่า ฟองเต้สุดหล่อได้โปรดช่วยไปส่งผมหน่อยนะครับ แค่นั้นก็พอ” โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าต้องการอะไร แล้วนึกหรอว่าผมจะทำ ผมก็เลยสะบัดหน้าแล้วเดินออกมาจากจุดที่เรายืน โดยไม่หันหลังกลับไปมอง “นายจะไปไหน” “เดินกลับบ้าน” ผมตอบคำถามไอ้เสาไฟฟ้าแล้วเดินจ้ำอ้าวต่อไป “โธ่ รู้แล้วๆ ไปๆไม่ต้องพูดก็ได้เดี๋ยวไปส่ง” แค่นี้ก็หมดเรื่อง ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่ “นายนี่นะ งั้นรออยู่ตรงนี้แปบ ไปเอารถก่อน” พอไอ้เสาไฟฟ้าพูดจบก็เดินไปยังลานจอดรถหลังโรงเรียน เสียงสตาร์ทรถดังมาพร้อมกับแสงไฟของรถที่ค่อยๆเข้ามาใกล้ จนมาจอดอยู่ข้างหน้าผม “รถนายสวยดีนะ” ผมมองรถของไอ้เสาไฟฟ้าที่ถูกแต่งอยางสวยงามเหมือนรถในทีวีเลยทีเดียว มันเป็นรถฟีโน๋สีส้มรถคันนี้ปลุกความทรงจำที่ผมฝังมันไว้กลับขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อผมนึกขึ้นมาทีไร ก็อยากจะร้องไห้ทุกที “จะยืนมองมันให้ขึ้นเงาเลยรึไง ขึ้นมาซักทีซิ” ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อยกับคำพูดที่พ่นออกมาจากปากของไอ้เสาไฟฟ้าแต่ผมก็ต้องจำยอมขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันงามของไอ้เสาไฟฟ้าไป “เกาะให้แน่นๆนะ เดี๋ยวร่วงไปแล้วไม่อยากเอาหนังสือพิมพ์ไปคุม” ไอ้เสาไฟฟ้ายังกวนบาทาไม่หยุด ผมกำลังจะเอ่ยปากด่ากลับนายหรั่งก็บิดรถเคลื่อนที่อออกมา ทำเป็นพูดว่าเกาะให้แน่น แต่ขับอย่างกับเต่า ผมคิดได้อย่างนั้นไม่นานพอตัวรถพ้นประตูของโรงเรียนนายหรั่งก็บิดคันเร่งแบบมีเท่าไหร่ใส่หมดจนผมเผลอกอดร่างสูงนั่นอยางไม่ได้ตั้งใจ ก็ผมกลัวนี่นา ขนาดทางโค้งไอ้หมอนี่มันยังไม่คิดที่จะเบรกเลย ผมยิ่งกอดเหมือนยิ่งแกล้งรู้สึกเหมือนความเร็วมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมอยากจะคลายแขนที่โอบกอดหน้าท้องอันแข็งแรงนั้น แต่ความกลัวที่จะร่วงแล้วโดนหนังสือพิมพ์คุมมันมีมากกว่า ผมจึงไม่สามารถคลายอ้อมกอดนั่นได้ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ รถก็ผ่อนความเร็วลง จนจอดสนิท “บ้านนายหลังไหนหล่ะ” ไอ้เสาไฟฟ้าถามผม ผมลืมตาตัวยังไม่หายสั่นจากการนั่งรถที่มีโชเฟอร์เป็นคนมือผี (เพราะมันใช้มือบิดรถ) หมอนั่นมองผมขำๆ (เจ็บใจโว๊ย) “ผมกลับเองได้”ผมลงจากรถด้วยขาที่ยังไม่หายสั่นทำให้ผมจะล้มด้วยสติที่มีอยู่ทำให้ผมเอามือคล้องคอไอ้เสาไฟฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ไอ้หมอนั่นก็เอามือมารับตัวผมไว้ เราทั้งสองสบตากัน ภายในดวงตาที่แสนตี่นั่น ทำให้ผมหลงใหลชั่วขณะนึงก่อนที่จะหลบสายตา แล้วร่างผมก็ร่วงลงกับพื้นอย่างแรง “โอ๊ยเจ็บ นายปล่อยผมทำไมเนี่ย” ผมโวยเสียงดังเมื่อร่างกายของผมกระทบกับปูนซีเมนต์เพียวๆ ผมลุกขึ้นมาสบตาอย่างเอาเรื่อง “นายปล่อยทำไม เจ็บนะโว๊ย ไอ้เสาไฟฟ้า” “นายเรียกผมว่าไงนะ” “ไอ้ เสา ไฟ ฟ้า ได้ยินชัดรึเปล่า ไอ้ เสา ไฟ ฟ้า” ผมเน้นแล้วเรียงตัวอักษรให้ไอ้เสาไฟฟ้าได้ยินและได้ฟังชัดๆ “หรอ ไอ้ หน้า แต๋ว” “แกว่าใครไอ้เสาไฟฟ้า” ผมโวยวายเมื่อได้ยินศัพท์นามที่ไอ้เสาไฟฟ้าตั้งให้ผม “ไปดีกว่า ไม่อยากอยู่ทะเลาะกับนายไอ้หน้าแต๋ว” ไอ้เสาไฟฟ้าขับรถออกไปโดยไม่หันกลับมามองปล่อยให้ผมยืนด่าอย่างหัวเสียและหมดอารมณ์ พอผมด่าจนหนำใจแล้วจึงเดินเข้าซอยเพื่อกลับเข้าบ้าน “พรุ่งนี้นายเจ็บตัวแน่ไอ้เสาไฟฟ้า” ผมแอบพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะเปิดประตูเข้าบ้านไป |