“ชีวิตที่ผ่าน ๆ มาของเองน่ะ เองใช้มันอย่างคุ้มค่าแล้วหรือยัง???? ถ้ายังก็อย่าเพิ่งไปเบื่อ กลับไปใช้ชีวิตให้คุ้มค่าก่อน ลองผิดหวัง ล้มเหลว สอบตก โดนไล่ออก หมากัด งูฉก อกหัก แบบสุด ๆ ดูก่อน แล้วดูว่าตัวเองผ่านมันมาได้มั๊ย ถ้าผ่านมาได้ชีวิตมันก็ไม่มีอะไรน่าเบื่อแล้ว”
.
.
ผมเก็บประโยคดี ๆ แบบนี้ไว้ในสมองและใช้เป็นคติสอนใจในการใช้ชีวิตประจำวันเลยครับ ผมตีความเอาเองว่า การใช้ชีวิตให้คุ้มค่า มันต้องได้ไปในสถานที่ที่ไม่เคยไป มันต้องได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น แล้วจะทำอย่างไรล่ะ คำตอบมันก็มาตกอยู่ที่การท่องเที่ยว เที่ยวไปในสถานที่ ๆ ยังไม่เคยไป ได้สัมผัสและเห็นด้วยตาในสิ่ง ที่ไม่เคยได้เห็นและได้เคยสัมผัส และถ้ำกองลอ แขวงคำม่วน สปป.ลาว ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งครับที่ผมยังไม่เคยไปเลย พอได้เห็น (บ๊ลอกเกอร์มะอึก) จัดทริป “วันผู้ไทโลก สุขสันต์วันใหม่ ผู้ไทเยือนถิ่น สงกรานต์เรณูนคร นครพนม ๒๕๕๕” โดยมีโปรแกรม “ถ้ำกองลอ แขวงคำม่วน สปป.ลาว สอดแทรกอยู่ในหมายกำหนดการด้วย พี่มะอึกเปิดเอ็นทรี่ชักชวนพลพรรคชาวโอเคเนชั่นไปเที่ยวแบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าใครจะข้ามไปเที่ยวฝั่งลาวจะต้องมีค่าใช้จ่ายคนละ 1,500 บาท พี่มะอึกขออย่างเดียว ขอให้เป็นคนนอนง่าย กินง่าย พอ ผมก็ไม่รอช้ารีบลงชื่อสมัครโดยพลัน ไอ้ตัวผมมันก็ประเภทมีวิถีชีวิต เรียบ ๆ ง่าย ๆ กินง่าย-นอนง่าย-ตดคล่อง อยู่แล้วด้วย
.
.
.
ผมขอรวบรัดตัดความมาวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมานี่เลยแล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องก่อนหน้านั้นก็ย้อนไปอ่านในเอ็นทรี่ก่อนหน้านี้ของผมได้เลยนะครับ คณะเราเดินทางออกจาก อ.เรณูนคร ตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อจะให้การเที่ยวในฝั่งลาวแบบไปเช้าเย็นกลับไม่เร่งรีบจนเกินไป เพราะว่าการเดินทางจาก ท่าแขก แขวงคำม่วน ไปถ้ำกองลอ ระยะทางแค่ประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาเดินทางร่วม 4-5 ชั่วโมง เนื่องจากภูมิประเทศของ สปป.ลาวแถวนั้นเป็นภูเขาหินปูนสูงชัน การเดินทางก็ค่อนข้างที่จะทำความเร็วไม่ได้มาก ก็คงเนื่องมาจากความปลอดภัยของคณะผู้เดินทางด้วย คณะพวกเราเดินทางถึงท่าเรือที่ อ.เมือง นครพนม ช่วงเช้าพระอาทิตย์กำลังขึ้นมาทักทายพวกเราจากฝั่งลาว แสงยามเช้าจากดวงอาทิตย์ส่องประกายเป็นสีทองระยิบระยับบนผิวแม่น้ำโขง ทำเอาบรรดาตากล้องของคณะโอเคเนชั่นถึงกับเก็บอาการกันไม่อยู่ หยิบกล้องออกมาฟาดฟันกันอย่างไม่มีใครเกรงใจใคร ระหว่างรอเรือมารับผมก็ใช้ไอโฟนตัวเก่งของผมถ่ายภาพริมโขงแบบพอหอมปากหอมคอจนกระทั่งเรือมารับพวกเรา ขึ้นเรือปั๊ปผมรีบขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าเรือเพราะว่า อยากจะซึมซับบรรยากาศยามเช้ากลางแม่น้ำโขงให้เต็มที่สมกับที่แหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตี่ 4 แสงสีทองจากพระอาทิตย์ก็ยังส่องประกายระยิบระยับหยอกล้อเล่นอยู่กับแม่น้ำโขง ผมก็ยังเห็นคณะโอเคถ่ายภาพกันอยู่อย่างเมามัน
.
.
ข้ามมาด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน คณะโอเคบางท่านก็ยังคงเมาค้างกับการถ่ายภาพ ยังวิ่งถ่ายภาพกันแบบลืมวัยเช่นเดิม ส่วนผมเดินดูบรรยากาศ ป้ายโฆษณาพยายามตีความหมายตัวหนังสือ บนป้ายนั้น ดูโรงแรม บ้านเรือน ถนนหนทางบริเวณใกล้ ๆ มันช่างแตกต่างจากฝั่งไทยบ้านเรามากเลยครับถึงแม้มันจะดูคล้ายกับว่าฝั่งบ้านเราดูมีความศิวิไลซ์มากกว่า แต่สภาพบ้านเมืองฝั่งลาวก็มีเสน่ห์และความใสซื่ออยู่ในตัวมากทีเดียวครับ รถบัส 2 คันใหญ่มารับพวกเราที่ท่าแขก ผมเห็นคณะพวกเราบางคน ไปยืนอยู่ตรงประตูด้านคนขับ บางคนก็บ่นให้ได้ยินว่าประตูสูงขนาดนี้แล้วจะขึ้นยังงัย จนน้องมิกซไกด์สาวชาวลาวมาบอกว่าด้านนั้นมันประตูคนขับ ทางขึ้นผู้โดยสารอยูทางฝั่งขวา ผมกำลังจะเดินไปต่อคิวขึ้นด้านซ้ายอยู่พอดี เลยต้องรีบรักษาฟอร์มหนีไปขึ้นด้านขวาก่อนเพื่อนเลย
.
.
นั่งอยู่บนรถในประเทศลาวระหว่างไป ถ้ำกองลอ สองข้างทางยังอุดมไปด้วยป่าไม้ที่สมบูรณ์ แต่ก็เริ่มมีคนเข้าไปแพ้วถางทำไร่กันบ้างแล้ว น้องมิกซ์ไกด์สาว เล่าให้คณะเราฟังว่าส่วนมากจะเป็นคนจีนที่ได้รับ สัมปทานให้เข้ามาตัดป่าเพื่อทำไร่ได้ อีกหน่อยก็คงจะไม่พ้นชะตากรรมเหมือนป่าไม้บ้านเราแน่ ๆ ริมถนนหนทางฝั่งลาวก็จะมีแต่บ้านคน ปั๊มน้ำมันไม่ต้องพูดถึงครับ แทบจะไม่ปรากฎให้เห็นเลย พอรถจอดทีใครอยากเข้าห้องน้ำก็ต้องลำบากกันหน่อย ผู้หญิงต้องไปขอใช้ห้องน้ำตามร้านค้าต่อคิวกันยาวเหยียด ส่วนผู้ชายก็ต้องเข้าป่าสถานเดียว ผมขอแนะนำให้จัดการธุรส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถก็จะดีส่วนอาหารการกินแพงกว่าบ้านเราครับ ส่วนรสชาดอาหารนั้นโดยส่วนตัวผมนะ ผมว่าอาหารบ้านเราอร่อยกว่าครับ
.
.
คณะเราได้แวะทานอาหารเที่ยงด้วยเมนู แกงจืด ลาบ ไข่เจียว น้ำพริก แถวทางเข้าอุทยานป่าสงวนแห่งชาติพูหินปูน ระหว่างมื้อเที่ยงพวกเราได้จับกลุ่มกันกลุ่มละ 3 คน เพื่อลงเรือลำเดียวกันเข้าถ้ำ ตามคำแนะนำของพี่มะอึก กลุ่มผมประกอบไปด้วยตัวผมเอง บ๊ลอกเกอร์ย่าดามือถ่ายภาพขั้นเทพ ประจำโอเคนครและพี่ชายใจดีบ๊ลอกเกอร์ลูกเสือหมายเลข9 หลังอาหารเที่ยงคณะเราก็ได้เดินทาง มุ่งหน้าสู่ถ้ำกองลอ อากาศร้อนจนแสบผิวเห็นแผงลอยเกลื่อนกลาดขายของกันวุ่นวายไปหมด มีพวกแก๊งค์ต้มตุ๋นออกมาชวนนักท่องเที่ยวเล่นกำถั่วกันเต็มไปหมด เอิกเกริกมาก
.
.
.
อาจเป็นเพราะว่าช่วงวันที่พวกเราเดินทางไปเป็นวันขึ้นปีใหม่ของพี่น้องชาวลาวพอดี พี่น้องชาวลาวทุกเพศทุกวัยเลยมารวมตัวท่องเที่ยวกันที่นี่เต็มไปหมด คณะเราต้องเดินฝ่ากลุ่มคนเข้าไปปากถ้ำอย่างทุลักทุเล ร้อนก็ร้อน คนก็เยอะแยะเต็มไปหมด แอ่งน้ำปากถ้ำก็เห็นหัวคนเต็มไปหมด พอมุดเข้าปากถ้ำเข้าไปได้ อากาศร้อน ๆ กลับกลายเป็นความเย็นชื้น ๆ มีลมเอื่อย ๆ ผ่านผิวน้ำมากระทบผิวรู้สึกสบายจริง ๆ ครับ ผม ย่าดา พี่ลูกเสือหมายเลข9 ได้รับเสื้อชูชีพจากคนเรือ ล่องเข้าไปภายในถ้ำ แสงไฟจากไฟฉายเท่านั้นครับที่จะทำให้เราเห็นความสวยงามจากหินงอกหินย้อยภาพในถ้ำ นั่งเรือไปได้ซักพักคนเรือก็จอดให้เราเดินดู หินงอกหินย้อยในห้องใหญ่ ที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟไว้ได้สวยงามและลงตัว
.
.
.
.
.
.
.
กองลอ คือถ้ำน้ำลอดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศป่าหินปูน ความอลังการของถ้ำแห่งนี้เกินกว่าที่จะบรรยายได้ ต้องจินตนาการอย่างเดียวเท่านั้นครับ ธรรมชาติได้สร้างสรรค์มันขึ้นมาเพื่อท้าทายตัวของมันเองครับ
.
.
.
.
.
.
ลองจินตนาการตามดูนะครับ แม่น้ำทั้งสายที่ถูกกลืนหายเข้าไปใต้ภูเขา ด้วยระยะทางกว่า 7 กิโลเมตรกว่า ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ มีน้ำตกภายในถ้ำให้เห็นเป็นระยะ มีโค้งแม่น้ำแบบหักศอกให้ได้ตื่นเต้นท่ามกลางความมืดมิดระหว่างอยู่บนเรือ ตัวถ้ำมีขนาดความกว้างประมาณอิมแพคอารีน่า ความยาวเท่ากับสะพานโกลเดนท์เกท 3 สะพานต่อกัน สูงพอ ๆ กับวิหารนอร์เตอร์ดาม และมีหาดทราย แก่งหินให้เดินเอาเท้าแช่น้ำเล่นช่วยกันเข็นช่วยดันเรือข้ามแก่งหินที่มีน้ำไหลผ่าน ความเย็นของสายน้ำที่ผ่านข้อเท้ายังทำให้รู้สึกได้ว่า ภายในถ้ำน่าจะมีความหลากหลายทางชีวภาพด้านอื่น ๆ ที่ยังซ่อนเร้นอยู่อีกมากมาย
.
.
.
.
เท่าที่ได้พูดคุยกับคนเรือที่พาเราฝ่าความมืดเข้าไปในถ้ำ เลยได้ทราบมาว่าถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่ชาวบ้านละแวกนี้ใช้สัญจรไปมาหาสู่กันมาก่อนการท่องเที่ยวจะเข้ามาถึงครับ ซึ่งหากมองในมิติทางด้านสังคม ถ้ำแห่งนี้เปรียบเสมือนเส้นทางคมนาคมใต้พิภพที่สวยที่สุดในโลกของชาวบ้านครับ สืบเนื่องจากอีกฟากของปากถ้ำ เป็นหมู่บ้านนาตาล ถูกปิดล้อมไปด้วยภูเขาหินปูนที่สูงชัน ไม่มีถนนเข้าออก ชาวบ้านจึงได้ใช้ถ้ำน้ำลอด แห่งนี้เป็นเส้นทางคมนาคม และเมื่อการท่องเที่ยวเข้ามาถึง ถ้ำแห่งนี้ก็ได้สร้างรายได้ให้ชาวบ้านได้อย่างเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น ทำให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วยครับ แต่ถ้ามองมิติในด้านนักท่องเที่ยว ถ้ำแห่งนี้ได้สอนให้มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราเห็นและพิสูจน์ได้ว่า “ธรรมชาติยิ่งใหญ่เสมอ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
การเดินทางโดยสังเขปนะครับ เผื่อว่าใครจะอยากไปเที่ยวด้วยตัวเองดู
ข้ามเรือจากนครพนมสู่เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน หรือข้ามทางบึงกาฬก็ได้ระยะทางพอๆกันครับ
ต่อรถสองแถวจากท่าแขก (คิวรถหลักสอง) ขึ้นไปทางถนนหมายเลข 13 เหนือ สู่บ้านท่าแบ่ง
จากบ้านท่าแบ่งให้ต่อรถสองแถวสายท่าแบ่ง-หลักซาว (ชายแดนเวียดนาม) บอกคนรถว่าลงบ้านนาหิน
จากบ้านนาหิน สามารถนั่งรถสองแถวบริเวณตลาด ต่อไปยังถ้ำกองลอได้โดยตรง
ระยะทางรวมจากท่าแขก ประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 4-5 ชั่วโมง เนื่องจากเส้นทางเป็นภูเขาสูงชันหลายช่วงทำความเร็วไม่ได้มาก
ค่าเช่าเรือเข้าถ้ำ 100,000 กีบ (ประมาณ 400-450 บาท) นั่งได้ลำละ 3 คน แต่ละคนจะต้องเสียค่าทำเนียบการเข้าถ้ำอีกคนละ 5,000 กีบ (ประมาณ 25 บาท)
ที่ปากถ้ำมีบริการให้ยืมไฟฉายและรองเท้าเตะค่าเช่าไฟฉาย 5,000 กีบ รองเท้าก็ 5,000 กีบ การเที่ยวถ้ำจะใช้เรือลำเล็กใส่เครื่องยนต์แล้วขับผ่านไปตามทางน้ำ ซึ่งบางช่วงตื่นก็ต้องลงน้ำเข็นช่วยกัน ดังนั้นจะต้องเปียกแน่นอนครับ ไม่ควรใส่ชุดที่ไม่อยากให้เปียกไปนะครับ
จะไปเช้าเย็นกลับหรือจะไปพักที่บ้านกองลอก็ได้มีที่พักเช่นกัน ที่บ้านนาหินจะมีที่พักมากกว่า ราคาโฮมสเตย์อยู่ที่ประมาณคนละ 200 บาท รวมอาหารเย็นและอาหารเช้า มีมิตรไม่ตรีจากชาวบ้านเป็นของแถมให้ด้วยนะครับ