ทัศนคติบอด บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่ชนะกำลังติดตามเรื่องอยู่ เสียงของโอเปอเรเตอร์ซึ่งรับสาย ด้วยเสียงที่เป็นมิตรและอ่อนโยนกล่าวว่า “ สวัสดีค่ะบริษัทเอบีซีอิงค์ ยินดีต้อนรับค่ะ ” คุณชนะกล่าวว่า “ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิต ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หน่อยครับ” โอเปอเรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า “นั่น คุณชนะใช่ไหมคะ” ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้ เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ “ใช่แล้วครับ ขอบคุณที่จำได้ครับ” เธอกล่าวว่า “ ยินดีคะ ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ ” หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบ ชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า “คุณสมจิต ผมขอชม พนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้ เป็นการให้บริการ ที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับ ผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ และก็ไม่ได้โทรมา บ่อยๆ ขนาดที่เธอจะจำเสียงผมได้ด้วย เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ” สมจิตพูดว่า เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้คุณจะยิ่งประทับใจ สนใจฟังไหมละคะ” ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า “สนใจสิครับ ช่วยกรุณาเล่าให้ฟัง หน่อยครับ” สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี “คุณเรณูเธอตาบอดคะ เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่าง เดียวทำให้เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการและมาทำงานที่ออฟฟิศ นี่ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง ถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือน คนปกติส่วนใหญ่ก็จะมีคนตาดีอย่างพวกเราที่คอยช่วยดูสายรถเมล์และส่งเธอขึ้นรถให้ เธอไม่เคยมาสายเลยและก็ไม่เคยเรียกร้องขอรถรับส่งแต่อย่างใด ไม่เหมือนพนักงานปกติ ของพวกเราหลายคนตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง ต้องขอรถรับส่งให้ด้วยแถมหลายๆ คนที่มีรถส่วนตัวก็ยังมาทำงานสายพร้อมกับเหตุผลสารพัด คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ” เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ก่อนจะเล่าต่อว่า “คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ เธอเคย เล่าให้ดิฉันฟังว่าสำหรับเธอแล้วการรับโทรศัพท์ไม่ใช่งานแต่มันคือชีวิตเงินเดือนที่บริษัทให้ กับเธอ ทำให้เธอสามารถเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างดี นอกจากนี้เธอยังมีเงินเหลือ กว่าครึ่งสะสมไว้อีก ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคนเคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน คุณเรณูกล่าวว่าบริษัทเรา เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสังคมมอบโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ว่า เธอมีคุณค่าและสามารถมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมได้ เธอบอกว่าเธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถซึ่งรวมทั้งพยายามจำชื่อของ ผู้ที่โทรเข้ามาด้วย เธอบอกว่าทุกคืนก่อนเข้านอน เธออยากรีบนอนไวๆเพื่อจะได้รีบตื่นขึ้น มาทำงาน เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ แต่พวกตาดีๆ อย่างพวกเรากลับภาวนาให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดี เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า “เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรมกับเราฟังบ้างนะ บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่นว่างานหนักหรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่าง กับเราไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด เราทัศนคติบอดไงละ เราได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย จากนายจ้างจนเคยชินกระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของ สิ่งเหล่านั้น ยิ่งนานวันเรายิ่งเรียกร้องมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตก ต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ มันทำให้ผมนึกถึง คำพูดของ Dr. Denis Waitley ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ ‘The psychology of winning’ เขายกรายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่าผู้เกษียณอายุออกจากงานไปโดยไม่มีภารกิจอะไรทำ จะมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น พวกเขาตายเพราะความรู้สึกด้อยคุณค่าหรือภาษาชาวบ้าน เรียกว่าเฉาตายนั่นเองครับ เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก ในขณะที่คนจำนวน มากไม่มีโอกาสอย่างนั้น อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมองโดยหันมารักและหลงใหล ในสิ่งที่เราทำได้ โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้ ”
|