บาปรัก….ตอนที่ 1 ความเป็นหนุ่มของผมช้ามากอายุเกือบจะเบญจเพศแล้วยังไม่เคยเสียตัวให้กับใครเลย ทั้งที่ร่างกายของผมก็ปกติดีทุกอย่าง ออกจะสมส่วนด้วยซ้ำ สาว ๆ บางคนมองผมจนเหลียวหลังก็มี มกราคม 2539 ผมมีโอกาสลาพักร้อน 1 สัปดาห์ผมวางแผนที่จะไปเที่ยวยังภูกระดึง ความที่เป็นคนเงียบ ๆ และสันโดด การไปเที่ยวครั้งนี้ผมจึงไม่ปริปากให้เพื่อนๆ ร่วมงานได้รับรู้เลย ไม่แน่ใจถ้าเอ่ยปากชวนจะมีใครไปด้วยกับผมหรือเปล่าก็ไม่รู้เลยไม่ชวนดีกว่า ผมขับรถออกจากกรุงเทพประมาณหกโมงเช้า ถึงเมืองเลยประมาณ หนึ่งทุ่มเห็นจะได้ผมเข้าพักที่โรงแรมภูหลวงเพื่อเตรียมตัวขึ้นภูกระดึงในวันรุ่งขึ้น เมืองเลยเป็นเมืองเล็ก ๆ ในหุบเขา รู้สึกถนนนกแก้วเป็นถนนเส้นเดียวที่มีสินค้ามากหน่อยนอกนั้นก็กระจัดกระจาย ขับรถออกมานอกเมืองมาไม่กี่นาทีก็มืดสนิดไม่ค่อยมีคนอาจเป็นเพราะอากาศค่อนข้างเย็นก็เป็นได้ ผมตื่นขึ้นมาประมาณตีห้ามองออกไปนอกหน้าต่างยังมืดสนิดเหมือนเดิมผมรีบอาบน้ำแต่งตัวและเก็บสัมภาระต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวขึ้นขึ้นภูกระดึงผมขับรถผ่าสายหมอกของเมืองเลยไปยังอำเภอภูกระดึงทันที สองข้างทางมองไม่เห็นอะไรเลยทั้งที่เจ็ดโมงเช้าแล้วมีแสงไปจากรถยนต์ที่วิ่งสวนไปมา เพราะหมอกลงจัดมากนั่นเอง ผมถึงเชิงภูกระดึงประมาณเจ็ดโมงกว่า ๆ ผมไปฝากรถกับเจ้าหน้าที่และจองที่พักพร้อมกับจ้างเขาแบกสัมภาระที่จำเป็นขึ้นไปก่อน ผมเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ และเดินชมธรรมชาติและถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ แบบไม่เร่งรีบ จนมาถึงถึงซัมแฮ็ก ซึ่งเป็นที่พักจุดแรกในการเดินขึ้นภูกระดึงซึ่งก็แฮ็กสมชื่อ เพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน ผมสังเกตมีแม่ค้านั่งขายมะขามป้องและน้ำดื่มซึ่งคงเป็นหญิงชาวบ้านสองคนนั่งขายอยู่ข้างทาง ผมหาที่นั่งพักเหนื่อยได้สักครู่พลันสายตาผมก็ไปเจอเข้ากับเด็กหนุ่มอายุประมาณ 17 นุ่งกางเกงเดินป่าขาสั้นสีครีมกับเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ๊ดลายสก็อต นั่งนวดข้อเท้าตัวเองอยู่ด้วยหน้าตาที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด จริงอย่างที่ผมคิดเด็กหนุ่มคนนั้นข้อเท้าแพลงแน่นอน พลันเด็กหนุ่มคนนั้นก็เงยหน้าแล้วมองมาทางผมพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ ผมหันหน้าหันหลังมองหาคนว่าเขายิ้มให้ใครแต่ก็ไม่มีใครอยู่เลย นอกจากแม่ค้าขายมะขามป้อมและเครื่องดื่มที่นั่งอยู่ไกลออกไป ผมหันกลับไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วก็ยิ้มตอบกลับไปและก็ไม่ได้สนใจอีกเลย สักครู่เด็กหนุ่มคนนั้นก็มานั่งข้าง ๆ ผมเมื่อไรไม่รู้ “ขอโทษครับพี่” “มีอะไรหรือครับ” “พี่พอจะมียาหม่องมั้ยครับหรือยานวดมั้ยครับ ผมเดินพลาดหกล้มข้อเท้าแพลง” ผมก้มมองดูที่ข้อเท้าเด็กหนุ่มข้างที่ปวดเนื่องจากเป็นเด็กผิวขาวจึงเห็นเป็นรอยแดง ๆ ชัดเจนมาก “สงสัยกล้ามเนื้อฉีกด้วยนะดูเป็นทางยาวตามน่องนี่” “ครับพี่ปวดมากเลย” “ผมมีแต่ยาหม่องนะคงจะใช้ได้” ผมล้วงลงไปในเป้ใบเล็กที่สะพายหลังมาหยิบยาหม่องให้กับเด็กหนุ่มทันที ผมเห็นท่าทางแล้วคงไม่ได้เรื่องเพราะเด็กหนุ่มทางเพียงเบา ๆ เท่านั้นเองคงจะปวดมากนั่นเอง “ทาเบา ๆ อย่างนั้นมันไม่คลายกล้ามเนื้อหรอกครับต้องนวดแรง ๆ ” “มันปวดมากเลยครับพี่” “มาเดียวผมนวดให้ครับ เออ…แล้วเพื่อน ๆ ไปไหนละครับถึงอยู่คนเดียว” ผมถามเด็กหนุ่มพร้อมกับทายาหม่องลงไปที่น่อง “ผมมาคนเดียวครับ โอ้ย” “ขอโทษ…เจ็บมากเหรอครับมันต้องนวดแรง ๆ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ” “ครับ” “ทนอีกนิดนะเดี๋ยวกล้ามเนื้อก็คลายแล้วก็จะไม่ค่อยปวด” “ขอบคุณพี่มากครับรู้สึกร้อน ๆ และค่อยยังชั่วแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้ผม “ผมเอ้ครับ มาจากขอนแก่น” “ผมชื่อต๊ะครับมาจากกรุงเทพ” “ผมขอเรียกว่าพี่ต๊ะนะครับ” “ได้ครับ” “พี่ต๊ะมาคนเดียวหรือครับผมเห็นพี่นั่งอยู่คนเดียว” “ครับ….พี่หนีเขามา” “พี่หนีใครมาหรือครับ” เอ้ถามขึ้นด้วยใบหน้าตื่น ๆ “หนีน้ำท่วมครับ” เพราะปีนั้นเป็นปีอะไรไม่รู้กรุงเทพน้ำท่วมอย่างหนัก ที่ไม่เคยท่วมก็ท่วม ส่วนที่เคยท่วมกลายเป็นทะเลไปเลย “ฮ่า ฮ่า พี่เล่นมุกก็ไม่บอก” “หัวเร๊าะได้แสดงว่าหายเจ็บแล้วซิ” “ยังจี้ด ๆ อยู่เลยครับ” “แล้วนี่เอ้จะทำยังไงครับจะไปต่อหรือถอยกลับ” |