...ภัยพิบัติทั้งหมดเกิดจากการที่มนุษย์อาศัยอยู่ในโลกอย่างไม่เคารพธรรมชาติ ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นผ่านหนังฟอร์มยักษ์น้ำดีเรื่อง Avatar ฝีมือผู้กำกับมือทองของฮอลลีวู๊ด เจมส์ คาเมรอน ครับ
...ตัวหนังแสดงให้เห็นมนุษย์ผู้ไม่เคยเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนมี จนกระทั่งสูญเสียดาวโลกที่อุดมสมบูรณ์ในฐานะที่อยู่อาศัยไป จึงได้ออกเดินทางไปค้นหาดาวดวงอื่นที่อุดมสมบูรณ์แหล่งใหม่เพื่อปล้นชิงทรัพยากรมาเป็นของตน
...ฉากที่ทำให้ผู้เขียนอึ้งกับสิ่งที่เจมส์ คาเมรอนนำเสนอก็คือ ฉากที่เนทิรีต้องฆ่าสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายหมาจิ้งจอกเพื่อช่วยเจค พระเอกของเรื่องก็ดี หรือฉากการล่าและฆ่าสัตว์อื่นมาเพื่อเป็นอาหารสำหรับดำรงชีวิตก็ดี จะมีการกล่าวคำพูดเพื่อส่งดวงจิตของสัตว์ที่ถูกฆ่าให้ไปสู่สุคติ เหมือนเป็นการขอขมาเพื่อนร่วมโลก และบอกให้เขารู้ว่าถึงจะเป็นการเบียดเบียนชีวิตกัน ก็เบียดเบียนเท่าที่จำเป็นเพื่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น ไม่ใช่เบียดเบียนกันตามกิเลสเพื่อเหตุผลอื่น เมื่อทำแบบนั้น การฆ่าถึงจะเป็นการฆ่าที่บริสุทธิ์ ซึ่งการกระทำนี้แทบจะมีจุดประสงค์เช่นเดียวกับการแผ่เมตตาในพุทธศาสนาเลยก็มิปาน
...ที่ผู้เขียนแปลกใจก็เพราะเจมส์ คาเมรอนเองเป็นชาวตะวันตก แต่กลับเข้าใจในกฎของการอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยในระบบนิเวศเป็นอย่างดีและสามารถนำมาถ่ายทอดความเชื่อในพุทธศาสนาในภาพยนตร์ของเขาได้อย่างลงตัว
...มุมมองเกี่ยวกับการอนุรักษ์ที่ตัวหนังมอบให้คนดูถูกวางไว้อย่างแยบยลผ่านองค์รองคือการแก้ความขัดแย้งในใจของเจคผู้เสียขา แต่ไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง และองค์หลักคือความขัดแย้งระหว่างมนุษย์โลกผู้หิวกระหายและทะนงตนกับชาวแพนโดร่าผู้รักสันติและมีวิถีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
...เมื่อเหตุการณ์ถักทอมาจนถึงจุดที่เจคจะต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับมนุษย์สายพันธุ์เดียวกันในการรุกรานผู้อื่นเพื่อเติมเต็มความกระหายที่ไม่มีวันจบสิ้น หรือจะเข้ากับชาวแพนโดร่าที่ต่างสายพันธุ์ แต่มีวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ซึ่งความเรียบง่ายของที่นั่นทำให้จิตใจของเจคพบความสงบ
...ผู้อ่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “วิกฤตคือโอกาส” มาบ้างแล้วใช่ไหม ทำไมวิกฤตที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราจึงเป็นโอกาสล่ะ ผู้เขียนขอเฉลยคำตอบผ่านภาพยนตร์เรื่อง Armageddon หนังฟอร์มยักษ์อีกเรื่องของไมเคิล เบย์ ผู้กำกับหนังตลาดเอาใจคนดูซึ่งถือได้ว่าเป็นผู้กำกับคู่บุญผู้อำนวยการสร้าง เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์ ครับ
...วิกฤต ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายไว้ว่า “ขั้นอันตรายที่อยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อขั้นแตกหัก จะไปทางดีหรือทางร้ายก็ได้” และโอกาส ความหมายคือ ”ช่อง, ทาง ,เวลาที่เหมาะ, จังหวะที่เหมาะ” ถ้ารวมความหมายของคำทั้งสองง่ายๆก็คือ “เหตุการณ์ที่อยู่ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งต้องตัดสินใจขั้นแตกหัก เพื่อฉกฉวยเอาเวลาที่เหมาะหรือจังหวะที่เหมาะมาเป็นของตน”
...เหตุการณ์ต่างๆรอบตัวเรา เมื่อมันพัฒนาระดับของมันไปจนถึงจุดที่เรียกได้ว่า “วิกฤต” แล้ว มันต้องการ “การตัดสินใจ” ที่จะทำหรือไม่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดของใครบางคนเสมอ “โอกาส” จะเกิดขึ้นกับคนสองกลุ่มนี้แน่นอนครับ
...กลุ่มที่ 1 คือคนที่อาศัยวิกฤตนั้นเพื่อจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรลงไปสักอย่างถ้าไม่ใช่เพื่อตนเอง ก็เพื่อคนอื่นๆ กรณีนี้ขอยกตัวอย่างการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะเป็นคนอยู่กดรีโมทระเบิดนิวเคลียร์ด้วยตนเองของแฮรี่ (รับบทโดยบรูซ วิลลิส) แทนเอ.เจ. (รับบทโดยเบ็น เอฟเฟร็ค) ซึ่งเป็นคู่รักของบุตรสาวตน แม้ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องงานจะทำให้คนทั้งคู่มีปัญหากันตลอด แต่ในเวลาที่ต้องตัดสินใจ แฮรี่ก็เลือกที่จะมอบความสุขให้กับลูกสาวโดยการส่งตัวแฟนหนุ่มกลับไปอย่างปลอดภัยแทน
...การตัดสินใจเป็นคนกดรีโมทระเบิดนิวเคลียร์ด้วยตนเองของแฮรี่นั้น นอกจากเป็นการตัดสินใจที่ทำเพื่อคนที่ตนรักแล้ว ยังเป็นการตัดสินใจเพื่อตนเองในขณะเดียวกันอีกด้วย เพราะตอนที่ทรูแมน (รับบทโดยบิลลี่ บ็อบ ฮอร์นตัน) ถามว่า “บอกซิ คุณไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง?” แฮรี่ตอบไปว่า “ผมไม่เคยทิ้งงาน แค่นี้พอไหม” ...คำพูดนี้เป็นคำตอบที่ไม่ได้อวดอ้างคุณภาพของคนๆหนึ่งเกินจริงไปเลยแต่อย่างใด เพราะเขาไม่ได้รับปากว่าจะทำให้สำเร็จ สมมติว่าเขาบอกว่าจะทำให้สำเร็จแล้วปฏิบัติการเกิดล้มเหลว คนที่ผิดหวังคนแรกก็คือทรูแมน ในใจของแฮรี่ตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่าถ้าขึ้นไปอยู่บนดาวหางแล้วจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่จากความสำเร็จในอดีตเป็นผลมาจากการที่เขาไม่ทิ้งงานกลางครัน ด้วยเหตุนี้ การตัดสินใจที่จะอยู่เป็นคนสุดท้ายเพื่อจบภารกิจด้วยตนเองจึงเป็นการตัดสินใจเพื่อจะคงไว้ซึ่งเกียรติยศในชีวิตของเขา
...กลุ่มที่ 2 คือคนที่ได้ประโยชน์จากการตัดสินใจทำหรือไม่ทำอะไรของใครบางคนหรือบางกลุ่ม อย่างเช่นทรูแมน ได้ประโยชน์จากการตัดสินใจของแฮรี่ เพราะเมื่อเอ.เจ.กลับมาถึงโลก เขานำเอาป้ายติดแขนเสื้อนักบินอวกาศที่ปฏิบัติภารกิจซึ่งแฮรี่ฝากมามอบให้กับทรูแมนติดกลับมาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรูแทนปรารถนาที่จะได้ และเอ.เจ.ก็ได้ประโยชน์จากการตัดสินใจอย่างกล้าหาญของแฮรี่ที่จะอยู่กดระเบิดรีโมทแทนตน
...วิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องพิสูจน์ธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์เราได้เป็นอย่างดี ว่าในช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ เราเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเสียสละ เป็นคนขี้ขลาดหรือคนกล้า เป็นคนมีเกียรติหรือไร้เกียรติ อย่างเช่นเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯล่าสุด เราก็ได้เห็นทั้งความเห็นแก่ตัวและความเสียสละของคนมากมาย และในห้วงแห่งเวลาที่โลกกำลังแตกตื่นกับวันสิ้นโลกที่จะมาถึง จนกลายเป็นวัฒนธรรมวันสิ้นโลก(Doomdays Culture) คงมีอีกหลายมหันตภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทยอยมาพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของเราอย่างต่อเนื่อง
...ปัญหาต่างๆเกิดจากการที่คนไม่เข้าใจว่าโลกเราประกอบด้วย “โลกธรรม 8” อันได้แก่ มีลาภ คู่กับเสื่อมลาภ, มียศ คู่กับเสื่อมยศ, มีสุข ก็คู่กับ มีทุกข์ และสุดท้าย มีสรรเสริญ ก็ต้องมีนินทา หากมนุษย์เรามีขอบเขตในการแสวงหาสิ่งต่างๆมาเพื่อเติมเต็มความสุขความต้องการของตน โดยไม่ไปเบียดเบียนใคร ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คงไม่ยากเกินจะควบคุม แต่เพราะมนุษย์ตักตวงทุกอย่างรอบตัวมาเป็นของตนอย่างไร้การควบคุม เมื่อสมดุลถูกทำลาย ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงยากที่ใครจะควบคุมได้ครับ
...โลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ก็อยู่ในกฎของไตรลักษณ์ครับ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ดังนั้น ผู้เขียนจึงกล้าการันตีครับว่า วันหนึ่งข้างหน้า โลกใบนี้จะต้องแตกสลายลงไปแน่นอน แต่โลกธรรม 8 ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีอยู่คู่กับคนในโลก เป็นธรรมชาติที่ใจเราต้องเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับโลกให้ได้อย่างมีความสุขนั้น จะไม่มีวันเสื่อมสลายไปอย่างแน่นอนครับ และตราบใดที่เรายังไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกธรรม 8 ต่อให้มนุษย์จะย้ายถิ่นฐานไป ณ ดาวดวงใด ดาวดวงนั้นก็จะมีคำนายเรื่องวันสิ้นโลกเกิดขึ้นไม่ต่างกับโลกเราตอนนี้แน่นอนครับ
...มีคำกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าเราจะมีกี่ปีในชีวิต แต่สำคัญว่าในปีเหล่านั้น เราใช้มันอย่างไรต่างหาก” เป็นคำกล่าวที่ผู้เขียนอยากฝากไว้ เพื่อที่พวกเราจะได้ใช้ชีวิตในแต่ละวันกันอย่างมีสติมากขึ้น
...นับถอยหลังจากวันนี้ไปอีกไม่ถึงแปดเดือน โลกจะถึงกาลอวสานตามคำทำนายหรือไม่ ยังคงเป็นคำถามที่พวกเราทุกคนต้องรอดูคำเฉลยพร้อมกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียน Confirm ได้เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง Armageddon ก็คือมีฉากหนึ่งในหนังที่ทำเอาน้ำตาผู้เขียนซึมทุกครั้งครับ ไม่ว่าจะดูรอบที่เท่าไหร่ก็ตาม
...ฉากที่ว่านั้นก็คือตอนที่ชิค (รับบทโดยวิล แพตตัน) ไปหาลูกเพื่อจะเอากระสวยของเล่นไปให้ก่อนที่จะต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในวันรุ่งขึ้น ผู้เป็นแม่บอกกับลูกชายว่า “เขาเป็นเซลล์แมน” แต่เมื่อภรรยาเห็นสามีไปทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องโลกจากการถูกดาวหางพุ่งชน ไม่ใช่เป็นเพียงสามีไม่เอาไหนที่ติดการพนันคนเดิม เลยตัดสินใจบอกความจริงให้ลูกชายได้รับรู้ว่าชายที่มาหาไม่ใช่เซลล์แมน แต่เป็นพ่อของเขา อารมณ์ของชิคช่วงที่เห็นเอ.เจ.มีเกรซวิ่งมาสวมกอดต้อนรับเมื่อมาถึงโลก ช่างเปล่าเปลี่ยวนัก เพราะเขาไม่คิดว่าสามีที่ไม่เอาไหนอย่างเขา จะมีใครมารอรับเหมือนเช่นคนอื่น แม้จะรู้สึกแปลกใจที่เห็นลูกชายและภรรยามารอรับ แต่เขาก็รีบสวมกอดลูกชายทันที ถึงซีนนี้ทีไร เก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่สักที (ต้องขอบคุณคนทำดนตรีประกอบครับ ที่เอาเครื่องสายมาบรรเลงได้ไพเราะเหมาะเจาะแก่เวลามาก)
...ชิคก็เป็นอีกคนหนึ่งครับที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตในครั้งนี้ครับ แม้เขาจะตัดสินใจเข้าร่วมในภารกิจระดับโลกครั้งนี้เพราะต้องการความตื่นเต้นตามประสาคนติดการพนันก็ตาม แต่เมื่อเขาได้พิสูจน์ให้ผู้อื่นเห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหน ผลตอบแทนที่เขาได้รับกลับมาก็คือ..ครอบครัว..ครับ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับทุกวิกฤตที่เข้ามาในชีวิตครับ
...แมวเหมียวสิบชีวิต...