เขียนเรื่องสั้นอย่างไรให้ได้ใจและได้เงิน
ดร.ริชาร์ด ไวส์แมน นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเฮิร์ตฟอร์ดไชน์ ของอังกฤษ จัดอันดับเรื่องสั้นขำขันที่เรียกเสียงฮาได้มากที่สุด ในโลก โดยให้ประชากรกว่า 1 แสนคนจากทุกมุมโลก อ่านเรื่องขำขันที่ ดร.ไวส์แมน รวบรวมเข้ามาในเว็บไซต์ที่ทำขึ้น แล้วลงคะแนน กันตามความชอบ ปรากฏว่า เรื่องกวนๆของ 2 สหายนักสืบ เชอร์ล็อค โฮล์มส กับ ดร.วัตสัน ได้รับคะแนนมากที่สุด โดยเรื่องมีอยู่ว่า ...วันหนึ่งเชอร์ล็อค โฮล์มสกับ ดร.วัตสัน ไปพักแรมด้วยกัน ทั้งสองจัดการปักเต้นท์นอนภายใต้ดวงดาวที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้า แล้วทั้ง สองก็หลับไป จู่ๆโฮล์มสก็ปลุก ดร.วัตสันขึ้นมากลางดึกแล้วถามว่า “เฮ้ วัตสัน มองขึ้นไปที่หมู่ดาวสิ แล้วบอกฉันทีว่าแกอนุมานว่า อย่างไรบ้าง” ...ดร.วัตสันตอบโดยไม่รีรอว่า “ฉันเห็นดาวนับล้านๆดวง เชื่อว่าต้องมีบางดวงในจำนวนนั้นที่เป็นดาวเคราะห์ ในจำนวนดาวเคราะห์
เหล่านั้น ต้องมีบางดวงที่มีลักษณะคล้ายโลกของเรา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวเหล่านั้น”
...ไม่ทันสิ้นคำ โฮล์มสก็ตะโกนลั่น “วัตสัน แกมันบ้าไปแล้ว ถ้าขืนแกนอนอยู่แล้วมองเห็นดวงดาว ก็หมายความว่า มีคนขโมยเต้นท์ ของเราไปแล้วสิวะ” ...นี่เป็นตัวอย่างของเรื่องสั้นที่ผู้เขียนเองรู้สึกชอบมาก เพราะด้วยความสั้นเข้าขั้นน่าเกลียดของเรื่อง ประกอบกับการเอาสองนักสืบ คู่หูผู้ยิ่งใหญ่ที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัวมากระเซ้าเล่นได้อย่างน่ารัก ทำให้ผู้เขียนยกให้เรื่องสั้นข้างต้นเป็นเรื่องสั้นชั้นครูเรื่อง หนึ่ง ...แม้ตัวละครนักสืบผู้ยิ่งยงนามเชอร์ล็อค โฮล์มส จะเป็นเครื่องตอกย้ำความหลงใหลในนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนของผู้เขียน อย่างถึงที่สุด แต่จุดเริ่มต้นจริงๆของความชอบนี้ กลับเริ่มขึ้นก่อนหน้าที่ผู้อ่านจะได้มีโอกาสมาอ่านงานของเซอร์อาร์เธอร์ โคแนนดอยล์ดนานหลายปีทีเดียว ...เมื่อประมาณปี พ.ศ.2538 ผู้เขียนไปร้านหนังสือนายอินทร์ สาขาท่าพระจันทร์ แล้วไปสะดุดตากับนวนิยายเล่มหนึ่ง เป็นนิยายแนว สืบสวนสอบสวนชุดทนายนักสืบ เพอร์รี่ เมสัน ไม่รู้อะไรในตัวผู้เขียนสั่งการให้ต้องควักเงินในกระเป๋าเพื่อไปจ่ายเป็นค่าหนังสือเล่มนั้น และเมื่อผู้เขียนเริ่มต้นอ่านนิยายเล่มนั้น ด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกตื่นเต้นบวกกับสำนวนการแปลที่ได้อารมณ์ ทำให้การอ่านครั้งนั้น เป็นการ อ่านแบบรวดเดียวจบ หลังจากนั้น ผู้เขียนก็มีความคิดที่อยากจะเป็นนักเขียนขึ้นมาทันทีและยังคงอยากเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้
...มีหลายตำราที่ว่าด้วยเรื่องการเขียนเรื่องสั้นและเรื่องยาวมากมายหลายหลาก ทั้งจากนักประพันธ์ที่ประสบความสำเร็จออกมาแชร์ ก็ดี หรือจากข้อมูลความรู้ทั่วไปก็ดี ผู้เขียนก็สรรหามาเพื่อเพิ่มรอยหยักของสมองซีกขวาอันเป็นซีกที่มีความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ งานวรรณกรรม
...แต่ไม่ว่าตำราหรือคำแนะนำจากนักเขียนมืออาชีพจะมีความวิจิตรพิสดารมากขนาดไหน ก็ไม่ทำให้คนที่อยากประสบความสำเร็จ ด้านงานเขียนเป็นนักเขียนจริงๆขึ้นมาได้ หากคนๆนั้นไม่เริ่มต้นลงมือเขียน
...ตัวผู้เขียนเองก็ไม่ได้จัดว่าโด่งดังหรือประสบความสำเร็จในงานด้านนี้แล้วแต่อย่างใด แต่ที่ผู้เขียน(บังอาจ)ขอแสดงความคิดเห็น ในเรื่องนี้โดยใช้ชื่อตอนว่า “เขียนเรื่องสั้นอย่างไรให้ได้ใจและได้เงิน” นั้น เพียงแค่อยากจะบอกว่า สำหรับคนที่อยากจะยึดอาชีพ เป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จในบรรณพิภพนี้ ล้วนต้องฝ่าด่านที่สำคัญ 2 ด่านด้วยกันแทบทั้งนั้น นั่นคือ 1.บรรณาธิการ ผู้พิจารณาต้นฉบับ และ 2.ผู้อ่าน ครับ ...ในโลกของงานประพันธ์ ใช่ว่าคุณเขียนงานออกมาดี มีจิตวิญญาณสูงส่ง จะทำเงินได้มากมายเสมอไป งานเขียนบางชิ้นแม้จะเป็น งานเขียนที่ดี แต่คนก็ยังไม่ยอมควักตังค์มาซื้อหรอกครับ แล้วยิ่งในโลกออนไลน์ที่รับใช้เจตจำนงค์ของการประหยัดค่าหนังสือ ยิ่ง ทำให้ร้านหนังสือรวมไปถึงสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่เจ๊งเร็วขึ้นครับ แต่นั่นก็เป็นโจทย์ที่บรรดาร้านหนังสือต้องหาทางแก้ไข ในโลกที่ทุก อย่างต้องเร็ว หากปรับตัวเข้ากับกระแสการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คงต้องพาธุรกิจไปพบกับจุดจบอย่างไม่ต้องสงสัย ...หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้งานของตนถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยบรรณาธิการ จึงไม่ยอมส่งผ่านไปยังสำนักพิมพ์ แต่อาจเลือกใช้ พื้นที่สาธารณะอย่างเช่นบล็อกในการลงผลงานของตนแทน ซึ่งต้องบอกก่อนว่าการทำเช่นนี้คงไม่เกิดเป็นกำรี้กำไรอะไรในชีวิต เพราะผู้สร้างสรรค์คงได้แต่ลงผลงานเพื่อแบ่งปัน เป็นการซ้อมมือมากกว่า จะหามีใครมาให้เงินให้ทองในฐานะเป็นนักเขียนที่ประสบ ความสำเร็จ แต่อย่างใดไม่ ...แต่ในมุมที่มองกันไกลไปอีกสักหน่อย ถ้าหากผู้เขียนผลงานนั้นสร้างสรรค์ผลงานอย่างอดทน และมีการพัฒนาในฝีมือมากขึ้นไป เรื่อยๆ ไม่แน่นักว่า ในอนาคตอาจมีแมวจากสำนักพิมพ์มามองและทาบทามเอาผลงานไปตีพิมพ์ก็เป็นได้ ซึ่งก็ได้ผลเป็นการยอมรับ จากสำนักพิมพ์อยู่ดี เพียงแต่ใช้กระแสความแรงจากบรรดาผู้อ่านมาเป็นจุดเริ่มต้น ...แต่ในมุมปกติ หากผู้สร้างสรรค์ผลงานยอมส่งผลงานไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆเพื่อใบรรณาธิการของแต่ละสำนักพิมพ์ได้สำรวจตรวจ สอบ และทำการตัดสินว่าสามารถนำไปทำตลาดต่อได้หรือไม่ งานของคนๆนั้นก็จะได้รับการตีพิมพ์ครับ แต่อาจต้องใช้เวลาอยู่สัก หน่อย เนื่องด้วยทางสำนักพิมพ์ไม่ได้มองแค่การเขียนดีอย่างเดียว แต่งานที่ดีนั้นต้องขายได้ด้วย ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ถ้าให้นักเขียน ส่วนใหญ่ไปทำหนังสือด้วยตนเองก็คงเจ๊งไม่เป็นท่า เพราะขาดความสามารถในการวิเคราะห์ความต้องการของตลาด ซึ่งมีผู้อ่านที่ ยอมควักเงินในกระเป๋าเพื่อสนับสนุนผลงานของนักเขียนคนนั้นเป็นผู้ตัดสิน ...ดังนั้น ไม่ว่าผู้ที่อยากเป็นนักเขียนเลือกที่จะพิสูจน์ผลงานของตนผ่านช่องทางไหนก็ตาม ก็ล้วนแต่ต้องผ่านบททดสอบที่จำเป็นนี้ด้วย กันทั้งสิ้น และต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการไม่ละทิ้งความฝันด้วยการหยุดความพยายามครับ ...ตัวผู้เขียนเองก็เป็นคนที่ศึกษางานเขียนจากสิ่งต่างๆรอบตัว สังเกตเห็นว่าถ้าเขียนเพื่อให้ได้เขียน เพื่อเป็นการปลดปล่อยพลังด้าน บวกในตัว เขียนเพื่อพัฒนาฝีมือก็จะเป็นสุขใจได้ไม่ยาก แต่การจะเขียนให้ได้ทั้งใจและเงินอย่างเช่นที่นักเขียนอย่างเจ.เค.โรลลิ่ง นักประพันธ์ที่โด่งดังและร่ำรวยจากนวนิยายเฟรนไชส์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนักหนาเอาการอยู่ ...ถ้าว่ากันด้วยเคล็ดลับ ผู้เขียนขอนำคำที่พ่อของอาโป นักรบมังกรในภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่น เรื่อง กังฟูแพนด้า มากล่าวเพื่อสรุป เอนทรี่นี้ก็แล้วกัน ...อาโปเป็นหมีแพนด้าที่เติบโตมาในร้านขายบะหมี่ แต่มีความฝันอยากมีวิชากังฟูที่เก่งๆเหมือน 5 ผู้พิทักษ์ แต่ก็ไม่เคยได้ลองฝึกกังฟู ด้วยตนเองสักครั้ง ทำได้มากที่สุดก็แค่สะสมของต่างๆที่เกี่ยวกับ 5 ผู้พิทักษ์ และศึกษารวบรวมข้อมูลของกังฟูเข้าไว้ เรียกว่าวิชาการนี่ แน่นทีเดียว แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำให้อาโปสำเร็จวิชากังฟูสมดังที่ใจตนปรารถนาสักที เปรียบเสมือนคนอ่านตำราว่ายน้ำ แต่ไม่เคยลงว่ายน้ำจริงๆครับ ...แต่ด้วยความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ (ที่มาของคำนี้เป็นเช่นไร หาคำตอบได้จากในหนังครับ) ก็ทำให้อาโปได้มีโอกาสเป็นถึงนักรบมังกร ซึ่งเป็นตำแหน่งที่5 ผู้พิทักษ์รวมไปถึงอาจารย์ชิฟูต้องให้การยอมรับ จริงๆแล้ว อาโปต้อง ผ่านอะไรเยอะมากครับเพื่อพิสูจน์ความมีดีในตัวของเขา และบททดสอบสุดท้ายก็คือการต้องเอาชนะไต้ลุง ตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีวิชา ดัชนีที่สามารถสยบ 5 ผู้พิทักษ์หรือแม้แต่อาจารย์ชิฟูได้อย่างสบาย ...ตอนที่อาจารย์ชิฟูได้ข่าวการกลับมาของไต้ลุง จึงเอาคัมภีร์มังกรมอบให้แก่อาโป ด้วยหวังว่าจะใช้วิชาในคัมภีร์มาต่อกรกับไต้ลุงได้ แต่เมื่ออาโปเปิดดูภายในคัมภีร์ กลับพบแต่ความว่างเปล่า ซึ่งในหนัง มีโฟกัสให้เป็นแสงสะท้อนย้อนกลับมาเห็นเป็นหน้าตัวอาโปเองอยู่ แว้บหนึ่ง แม้อาจารย์ชิฟูและอาโปจะประหลาดใจ แต่ก็ต้องยอมรับชะตากรรมว่าฝีมืออาโปเท่าที่มีอยู่ตอนนี้ไม่สามารถรับมือไต้ลุงได้แน่ นอน จึงสั่งให้อาโปพาคนในหมู่บ้านอพยพไปให้หมด ...ระหว่างที่อาโปเตรียมพาพ่อของเขาหนีอยู่นั้น พ่อของเขาก็ปลอบใจด้วยการบอกว่าถึงไม่ได้เป็นเจ้าแห่งวิชากังฟูที่อาโปปรารถนา อาโปก็สามารถเป็นคนทำบะหมี่ที่อร่อยที่สุดได้ ซึ่งอันจริงแล้วอาโปทำบะหมี่ได้อร่อยจริงๆ แต่ไม่รู้ตัว เมื่ออาโปถามพ่อของเขาว่า ”แล้วการทำบะหมี่ให้อร่อยมีเคล็ดลับอะไร?” พ่อของเขาตอบว่า“เคล็ดลับ ก็คือ ไม่มีเคล็ดลับ ...แค่เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งพิเศษ ผลที่ได้ก็จะพิเศษ” ...เมื่ออาโปได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าใจเคล็ดวิชาที่คัมภีร์มังกรอันว่างเปล่าซ่อนอยู่ นั่นคือ จงเป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุดครับ ไม่มีใคร สามารถประสบความสำเร็จในรูปแบบของคนอื่นได้ แต่เขาสามารถประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ในรูปแบบของเขาเอง ...เมื่อเข้าใจแล้ว อาโปจึงมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น และสามารถใช้ความเป็นหมีแพนด้าที่บ้ากังฟูของเขา เอาชนะวิชาดัชนีที่คน อื่นทั้งหมดต้องพ่ายแพ้ให้ แต่ใช้กับอาโปไม่ได้ผล เพราะชั้นไขมันที่หนามากของเขา และพอคนมันบรรลุวิชา หยิบจับอะไรก็เป็นอาวุธ ได้หมด ...ด้วยการกำหนดใจว่าได้ทำสิ่งที่พิเศษทุกครั้งที่จดปลายนิ้วสัมผัสแป้นพิมพ์ ทุกตัวอักษรที่ปรากฏก็กลายเป็นสิ่งที่พิเศษสุดๆแล้วครับ สำหรับตัวผู้เขียนเอง หวังว่าเรื่องราวของอาโปและเคล็ดลับที่การ์ตูนอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้แฝงมาให้จะทำให้เหล่าผู้ที่อยากประสบความ สำเร็จบนเส้นทางนักเขียนได้ประโยชน์บ้างนะครับ ...ขอทิ้งท้ายด้วยเรื่องสั้นชั้นครูอีกเรื่องที่ถูกถ่ายทอดด้วยความรู้สึกที่พิเศษเช่นเดียวกันครับ ขอบอกครับว่านี่คือเรื่องสั้นจริงๆ ในเรื่อง สั้นนี้ซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับงานเขียนอยู่ หาให้เจอนะครับ เรื่องสั้น (Short Story) ...อาจารย์สอนภาษา บอกแก่ลูกศิษย์ว่า มีสิ่งที่จำเป็น 4 อย่างที่จะนำความสำเร็จมาสู่การเขียนนวนิยาย สิ่งต่างๆนั้นได้แก่ พระผู้เป็น เจ้า ราชวงศ์ เซ็กส์ และเรื่องลึกลับ ...จากนั้นอาจารย์ก็ให้ศิษย์ขียนเรื่องสั้นมาส่งหนึ่งเรื่อง ให้เวลาเขียน 3 ชั่วโมง แต่แค่ 5 นาทีผ่านไปเท่านั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งแถว หน้าก็ยกมือขอส่งเรื่องแล้ว เรื่องสั้นของเขามีใจความว่า “โอพระเจ้า” ท่านดัชเชสพูดขึ้น “ดิฉันท้อง นี่ใครเป็นคนทำละนี่” ขอให้มีความสุขกับการทำสิ่งที่พิเศษในชีวิตครับ ...แมวเหมียวสิบชีวิต... |