"คุณมหา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวัดป่าเมื่อ พ.ศ.2521 ข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรน้อยที่วัดป่าศาลาวิเวก อ.เมือง จ.มุกดาหาร เป็นวัดป่าที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ถนนหนทางเปล่าเปลี่ยว ไฟฟ้าไม่สว่าง ห่างไกลจากผู้คนและรถราผู้คนส่วนมากไม่ค่อยกล้าเข้าไปที่วัดนั้น ช่วงกลางคืนยิ่งไม่มีเลย
ข้าพเจ้าและเพื่อนสามเณรอาศัยอยู่วัดป่าราว 5-6 รูป ทุกๆ เย็นจะต้องเดินไปเรียนที่วัดศรีบุญเรือง ต.ในเมือง ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. เป็นประจำ
พอเลิกเรียนพวกเราก็เดินกลับวัด ถ้าเลิกไม่พร้อมกันแต่ข้าพเจ้าเลิกก่อนก็เดินกลับลำพัง รู้สึกเฉยๆ มากกว่ากลัว เพราะเดินจนชินแล้ว...เส้นทางระหว่างสองวัดนั้น มีสามล้อปั่นรับจ้างสำหรับผู้ต้องการความสะดวกอีกด้วย
อยู่มาวันหนึ่งได้ทราบข่าวว่า มีรถบรรทุกสิบล้อชนคนปั่นสามล้อตายคาที่!
ชาวบ้านเชื่อว่าคนที่ตายโหงต้องนำศพไปฝังที่วัดจนครบ 5 ปีจึงจะขุดขึ้นมาเผา ดังนั้นศพคนถีบสามล้อจึงถูกนำไปฝังใกล้ๆ กุฏิที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่
ขณะนั้น กุฏิในวัดป่าจะสร้างห่างกันมาก และข้อบังคับของทางวัดก็คือห้ามอยู่ด้วยกัน คือกุฏิหนึ่งหลังจะต้องอยู่คนเดียว
คืนนั้นหลังจากเลิกเรียน ข้าพเจ้าติดธุระกับเพื่อนสนามเณรในวัดศรีบุญเรือง พูดคุยธุระกับเพื่อนเกือบ 4 ทุ่มก็เดินทางกลับไปยังวัดป่า ช่วงนั้นถือว่าเป็นเวลาดึกมากแล้ว
ก่อนถึงวัดป่าราว 1 กิโลเมตร ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆ ท่ามกลางความมืดสลัว สองข้างทางมีแต่หมู่ไม้ดำทะมึน ได้ยินเสียงนกร้อง ลมพัดยอดไม้หวีดหวิวชวนให้วังเวงใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไร เพราะเคยเดินไปมาคนเดียวบ่อยครั้ง
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนปั่นสามล้อตามมาข้างหลัง เมื่อมาถึงใกล้ๆ ตัวก็มองเห็นสารถีมีผ้าโพกหัวสีแดง สะพายย่ามใบโต ด้านหลังมีมีดเล่มใหญ่ เขาเอ่ยปากทักขึ้นว่า เณรจะเข้าไปวัดป่าใช่ไหม?
ข้าพเจ้าตอบว่า ...ใช่แล้วโยม
แต่แล้วใจหนึ่งก็นึกวูบไปถึงคนถีบสามล้อที่ถูกรถสิบล้อชนตาย แม้เดี๋ยวนี้ศพก็ยังฝังอยู่ในวัด!
คนปั่นสามล้อเลยชวนข้าพเจ้าขึ้นรถ แต่ก็ปฏิเสธไป บอกว่าจะเดินกลับเองเพราะใกล้จะถึงวัดแล้ว แต่เขาคะยั้นคะยอจนข้าพเจ้าใจอ่อน ตัดสินใจขึ้นสามล้อจนได้
ตอนที่นั่งอยู่นั้นก็นึกสงสัยว่า เวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้ว สามล้อคนนี้จะเข้าไปในวัดทำไม?
แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่คิดอยู่ในใจ
ตลอดทางเราไม่ได้พูดจาอะไรกันเลย จนใกล้จะถึงจุดหมาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสามล้อค่อยๆ ช้าลง ช่วงนั้นมีต้นไม้ปกคลุม แสงสว่างจากไฟฟ้าก็ไม่มี มีแต่แสงสลัวจากดวงจันทร์ในความเงียบเชียบเท่านั้น
เมื่อถึงหน้ากุฏิ คนถีบสามล้อถามว่า ถึงกุฏิหรือยัง? ข้าพเจ้าตอบว่าถึงแล้ว! จอดๆ เขาก็ทำตามโดยดี ข้าพเจ้าถามว่า..เอาเท่าไรโยม? เขาบอกว่า ไม่เอาหรอกสามเณร
ขณะที่ลงจากรถ แล้วมองไปที่ใบหน้าของสารถียามดึก ก็เห็นใบหน้าเขาดำปี๋เหมือนไม่ใช่คน เล่นเอาใจระทึก แต่ก็ตอบเขาไปว่า ขอบใจมากนะ คุณโยม ก่อนจะเดินขึ้นกุฏ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เหลียวมองไปยังคนปั่นสามล้อที่หันหลังกลับ
ข้าพเจ้าสะบัดหน้างุนงง ไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า? หรือจะเป็นเพียงภาพลวงตาก็ได้ เพราะขณะนั้นดึกมากแล้ว มีเพียงแสงจันทร์ส่องสลัวเท่านั้นเอง
เหตุการณ์แปลกประหลาดในคืนนั้นข้าพเจ้าเก็บเงียบ ไม่ได้เล่าให้เพื่อนๆ หรือผู้อื่นฟังแม้แต่คนเดียว
รุ่งขึ้นเป็นวันพระ คืนนั้นเราก็ไปเรียนที่วัดศรีบุญเรืองตามเคย ขากลับก็กลับคนเดียวเหมือนคืนก่อน ปรากฏว่าได้พบกับสามล้อคนเก่า และเหตุการณ์ก็เหมือนกับคืนแรกทุกประการ
ข้าพเจ้าจึงแน่ใจว่าโดนผีสามล้อหลอกหลอนเข้าจริงๆ ถึงสองคืนติดๆ กัน
ในที่สุด จึงนำเรื่องขนหัวลุกไปเล่าให้เพื่อนๆ และเจ้าอาวาสฟัง ท่านอาจารย์จึงแนะนำให้ข้าพเจ้ากรวดน้ำแผ่เมตตาให้กับวิญญาณของสามล้อผู้นั้น ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านแต่โดยดี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบกับสามล้อผีสิงคันนั้นอีกเลย หวังว่าวิญญาณของเขาคงจะไปสูสุคติแล้ว!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด