"อรัญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพิงสยองขวัญ
เขาว่าคนที่โดนผีหลอกมักจะอยู่ในที่เปลี่ยวๆ คนเดียว แต่ผมเคยเจอะเจอกับภาพสุดสยอง น่าขนลุกขนพองทั้งๆ ที่อยู่ริมถนน มีผู้คนไม่ใช่น้อยๆ ด้วยซ้ำ...เหตุเกิดในคืนฝนตกใหญ่ถล่มกรุงเทพฯ จนน้ำท่วมแทบทั้งเมืองเมื่อราว 5 ปีก่อนนี่เอง!
ปีนั้นฝนตกหนักเหลือเชื่อ จังหวัดใกล้ๆ อย่างพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ปทุมธานี นนทบุรี มีทั้งโดนน้ำท่วมบ้าน ทั้งขาดอาหารและเจ็บไข้ได้ป่วยสารพัดอย่าง
ยิ่งแถวพระรามหก บางอ้อ บางพลัด ชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำต้องเดือดร้อนมากกว่าคนที่อยู่ชั้นในๆ เพราะต้องหนีน้ำขึ้นไปอยู่ชั้นสอง ข้าวของที่ขนหนีน้ำไม่ทันก็เสียหาย ไหนจะมีสัตว์ร้ายที่มาตามน้ำ เช่น งู ตะขาบ ขบกัดเอาอีกต่างหาก
โจรผู้ร้ายชักอาละวาดเพราะเดือดร้อนจนหน้ามืดบ้าง เพราะสันดานโจรบ้าง
อ้าว? ภูตผีปีศาจก็พลอยโห่ร้องผสมโรงออกมารังแกผู้คนเป็นว่าเล่น...ที่ซอยร่วมศิริมิตร หรือวิภาวดี 3 ถือว่าอยู่ในตัวเมืองแท้ๆ ยังไม่วายเกิดเรื่องสยองขวัญในคืนฝนตกเหมือนฟ้ารั่วแทบจะถล่มกรุงเทพฯให้กลายเป็นเมืองบาดาลไปโดยพลัน!
เย็นนั้นผมเดินทอดน่องออกจากบ้านไปดูตลาดนัดขนาดย่อมที่สี่แยก เชื่อมระหว่างหมู่บ้านสองแห่ง ขายอาหารสด แห้ง ผลไม้ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง บรรดาลูกค้าก็คนในละแวกนั้นเอง
มาจากซอย 3 บ้าง ซอย 5 บ้าง มีพนักงานจากโรงงานของเล่นขนาดใหญ่ ซื้อของไปแกล้มเหล้า พวกปลาเผา หัวหมูต้ม หอยแครง หอยแมลงภู่ลวก ส้มตำ น้ำตก ลาบ และซุบหน่อไม้ขายดีมาก ข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง ปีกไก่ปิ้ง แม้แต่โรตีก็ขายดีเช่นกัน
ตรงหัวมุมสี่แยกไปซอย 3 มีเพิงเล็กๆ ใต้ร่มมะขามใหญ่เก่าแก่ เรียกกันว่า "มะขามเฒ่า" เป็นวินมอเตอร์ไซค์ พักผ่อนรอผู้โดยสารและที่นั่งเล่นนอนเล่น รวมทั้งเป็นที่ตั้งวงเหล้าในตอนเย็นๆ ค่ำๆ อีกด้วย
เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเห็นเพิงพักแปลกประหลาดที่สุดตรงนี้เอง!
เป็นไม้กระดานที่ปูบนยางรถยนต์เก่าๆ ซ้อนกัน มียอดมะขามโน้มลงมาคลุมหลังคาสังกะสีขึ้นสนิมอีกที ทางด้านที่จะเลี้ยวไปซอย 3 หมาดุจนคนกลัวหมาไม่กล้าเดินผ่าน
จู่ๆ ฝนก็เทโครมลงมา!
ผู้คนแตกฮือ พ่อค้าแม่ค้าเก็บของกันจ้าละหวั่น ผมวิ่งไปตั้งหลักที่ร้านสะดวกซื้อตรงสี่แยก ตอนแรกคิดว่าฝนไล่ช้าง แต่ไม่ใช่หรอกแฮะ มันกระหน่ำเกือบชั่วโมงแน่ะ ผู้คนหายเกือบหมด แสงไฟดูเยือกเย็น น้ำท่วมถนนเกือบถึงเข่า
ผมไม่อยากลุยน้ำกลับบ้านเลยสั่งเบียร์มาดื่ม มองดูพวกวินมอเตอร์ไซค์เข้าไปหลบฝนในเพิง 2-3 คน รอให้น้ำลด แต่ไม่ช้าฝนที่ซาไปหน่อยก็กระหน่ำลงมาอีก
คราวนี้มีเสียงตะโกนกันว่ากลับบ้านดีกว่า...มีคนว่าไปใกล้ๆ แถวจตุจักรหรือสะพานควาย ถ้าไปทางลาดพร้าวหรือวิภาวดีไม่มีใครยอมไป ไม่ว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ตาม...รถเสียเพราะน้ำเข้าเครื่องไม่คุ้มกันครับ
พวกเขาบอกว่าฝนตกหนักแบบนี้หาเงินได้สี่ห้าร้อยบาทในเวลาไม่นาน พี่คำขับรถลุยน้ำไปส่งผู้หญิงที่ปากซอย 3 ในราคาที่ปกติ 10 บาท แต่คราวนี้ได้ถึง 50 บาท...แกบอกว่าที่วิภาวดีรถไม่ขยับเลย ไม่รู้ว่าผู้หญิงนั่นจะหารถไปต่อได้ยังไง?
ผมชวนดื่มเบียร์ด้วยกัน พี่คำยกมือท่วมหัว ซดเบียร์แล้ววางแก้วบนลังน้ำแข็งหน้าร้าน ลุยน้ำออกไปคุยกับลุงยามอพาร์ตเมนต์ที่กลางถนน ลุงยามใจแข็งครับ ไม่ยอมดื่มเบียร์เลย อ้างว่าไม่เหมาะเพราะเป็นเวลาทำงาน
พี่คำเดินเข้ามาเติมเบียร์ มองไปทางเพิงที่เห็นชัดอยู่ในแสงไฟเยือกเย็น ร้องว่า...ไอ้ม้งกับไอ้สาคงรถเสียละมั้ง? นั่งจับเจ่าเป็นลิงติดเกาะกันอยู่สองคน! ผมมองตามแล้วหัวเราะ พี่คำเมาจนตาฝาดแล้วเรอะแค่เบียร์สองแก้วเอง เพราะที่นั่นไม่มีใครซักคน! แถมยังเห็นว่าใครเป็นใครอีกแน่ะ...แกขยี้ตาแล้วจ้องมอง ก่อนสะบัดหน้างุนงง
"มีซีคุณ! ไม่ใช่ไอ้ม้งไอ้สาหรอก ใครไม่รู้ นั่นไง..." แกชี้มือยืนยัน ผมกับลุงยามก็มองตาม เอ๊ะ! เห็นใครนั่งกอดเข่าก้มหน้าชัดเจนอยู่ในแสงไฟจริงๆ ด้วย
"ใครหว่า..." ผมพึมพำ แทบไม่ขาดคำ ร่างนั้นก็โดดลงจากเพิง ยืนขึ้นตัวตรง...แสงไฟส่องให้เห็นชัดเจนว่ามันไม่มีหัว! เราร้องเฮ้ยๆๆ ขณะที่ร่างนั้นเดินผ่านร้านที่เปิดไฟสว่าง หมาฝูงใหญ่เห่าขรมก่อนจะหอนโหย หวน เยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ
พี่คำกระโจนขึ้นจากถนนเจิ่งน้ำมาหาลุงยาม ผมเผ่นลงน้ำวิ่งโครมครามจนน้ำกระจายกลับบ้าน...นึกๆ แล้วก็เจ็บใจ ทีคนไปหลับนอนมาเป็นปีๆ ไม่รู้จักหลอก ดันเกิดจะมาเฮี้ยนเอาตอนคืนฝนตกหนักนี่เอง...น่ารื้อเพิงทิ้งชะมัดเลยครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด