"นายอ้น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า นนทบุรี
บ้านผมอยู่เมืองนนท์ เป็นบ้านเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเตี่ยยังหนุ่มๆ อยู่เลยครับ ถึงวันนี้ก็ห้าสิบกว่าปีแล้ว เราอยู่กันอย่างอบอุ่น ปลอดภัยสบายดี ทั้งๆ ที่มีเสียงร่ำลือว่าที่ดินแถบนี้น่ะแรงมากๆ
ไม่แรงได้ไง สมัยก่อนที่นี่เป็นป่าช้าครับ! เตี่ยเล่าว่าบ้านเราน่ะไม่ใช่เขตป่าช้าหรอก สมัยเตี่ยหนุ่มๆ อยู่นั้น ป่าช้าอยู่ถัดจากแถวบ้านเราไป เวลาเตี่ยกลับบ้านจะต้องเดินผ่านโกดังเก็บศพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เตี่ยไม่กลัวเพราะเชื่อมั่นในคำพูดที่ว่า "คนดีผีคุ้ม"
คงจะจริงนะครับเพราะไม่มีภูตผีปีศาจมาหลอกหลอนเลย ยกเว้นแต่จะเจอสิ่งแปลกประหลาด เหนือธรรมชาติต่างๆ นานา ที่ทำให้รู้ว่าพื้นที่ถิ่นนั้นไม่ธรรมดา
มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่เตี่ยผมจำได้ไม่เคยลืมจนถึงทุกวันนี้!
ตอนนั้นเพิ่งจะยี่สิบหยกๆ เย็นวันหนึ่ง เตี่ยเดินกลับบ้านมาตามลำพัง พอใกล้เขตป่าช้าร่มครึ้มด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่และเก่าแก่ มีเจดีย์ใส่อัฐิเรียงราย บรรยากาศวังเวงน่าดู เตี่ยก็เห็นเด็กผมจุกคนหนึ่ง หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู ตัวนิดเดียวเหมือนตุ๊กตา กำลังวิ่งเล่นตามประสาซน...
ครั้นสบตากัน เด็กผมจุกก็มีท่าทีชวนเตี่ยเล่นด้วย ความที่เป็นคนใจดี เตี่ยก็เลยนึกสนุก ยอมวิ่งไล่จับกับเด็กน้อยอย่างสนุกสนาน แต่จู่ๆ เด็กผมจุกแสนน่ารักก็หัวเราะเสียงใส...ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ดื้อๆ ยังงั้นแหละครับ
เตี่ยยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย...
เด็กวิ่งตื๋อเหมือนจะพุ่งชนต้นไม้จังๆ จนน่าตกใจด้วยซ้ำ แต่ร่างของแกกลับกลืนหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่นั่นราวกับเล่นกลก็ไม่ปาน!
ไม่มีอะไรน่ากลัว ความร่าเริงยังอวลอยู่ในบรรยา กาศรอบๆ ตัว...เตี่ยเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกทึ่งในเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เจอเข้ากับตัวเองอย่างเต็มหูเต็มตา
หลังจากนั้นไม่นานก็มีการล้างป่าช้า...โกดังศพถูกรื้อไป มีรถใหญ่มาถมที่และปรับดินจนราบเรียบเสร็จแล้วก็สร้างโรงเรียนเทคนิคขึ้น ดำเนินการสอนมาจนถึงทุกวันนี้
ป่าช้าและโกดังหายไป มีโรงเรียนกับบ้านเรือนผุดขึ้นมาแทนที่ ครอบครัวของผมก็ยังอาศัยอยู่ตรงนี้เหมือนเดิม เตี่ยทำอาชีพค้าขาย เราทุกคนในบ้านรวมทั้งผมกับพี่สาวช่วยกันทำมาหากิน เรียนหนังสือด้วยและช่วยเตี่ยทำงานไปด้วย
ผู้คนแถวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่อยู่มานานอย่างเตี่ย จะรู้กิตติศัพท์ความแรง หรือ "เฮี้ยน" ของที่ดินบริเวณนี้ ดี...อาถรรพณ์ยังอยู่ แม้ป่าช้าจะไม่มีแล้วก็ตาม!
คืนหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ตอนห้าทุ่มกว่าๆ พวกเราเตรียมตัวเข้านอนเพราะต้องตื่นแต่เช้า เวลาห้าทุ่มนับว่าดึกมากแล้วสำหรับเรา ผมกำลังเก็บของ เสร็จเมื่อไหร่จะได้อาบน้ำนอนซะที
ทันใดนั้น มีเสียงเขย่าประตูรั้ว มันเหมือนกับมีคนจับด้ามที่เปิดประตูแล้วเขย่าแรงๆ
"อ้น...ไปดูซิว่าใครมาดึกๆ ดื่นๆ" พี่สาวบอกผมพลางชะเง้อไปที่ประตูรั้ว...ผมรีบลุกขึ้นไปดูทันที แล้วก็ต้องใจหายเพราะเพิ่งรู้ว่าประตูรั้วไม่ได้ล็อก!
อ้อ! แล้วใครมาเขย่าประตูเรียกเราน่ะหรือครับ? ไม่มีหรอก...ไม่มีใครสักคนเดียว! ผมเปิดประตูไปดูซ้ายขวา ไม่มีแม้แต่เงา...เป็นไปไม่ได้เลย ว่าจะมีใครมาเรียกแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้
พวกเราขนลุก และสรุปเอาเองว่า...เจ้าที่เจ้าทางมาเตือนว่าเราลืมล็อกประตู!
ผมนึกไปถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ เมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นม.4
คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง แน่ละครับ คืนวันพระ! ผมกำลังทำงานเพลินๆ ก็มีเสียงเคาะประตูรั้ว ปังๆๆ! เอามือเคาะนะครับ แรงมากด้วย
"อ้น! ไปดูเร้ว...ใครมา?" พี่สาวผมนั่นแหละ ร้องสั่งเสียงใส
ผมเดินแกมวิ่งไปเปิดประตูผาง...ไม่มีใครซักคน!
ท่ามกลางแสงจันทร์สว่างเรืองรอง อย่างที่มีสำนวนว่า "สว่างแทบจะจับมดได้" แต่มองไม่เห็นใครเลย! ครั้นแล้วก็นึกได้...ไม่มีใครมาแกล้งแน่ๆ นอกจาก...
"เจ้าที่คงมาเตือนให้เราระวัง!"
ครับ...อาจจะมีเหตุเภทภัยอะไรก็ได้...โจรผู้ร้าย หรือฟืนไฟ! เมื่อท่านมาเตือนเราก็ไม่ประมาท จัดการดูแลสิ่งต่างๆ เช่น ล็อกประตูหน้าต่าง ดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า ปิดแก๊ส ปิดน้ำให้เรียบร้อย และเข้านอนอย่างสบายใจ
ผมรู้สึกเสมอว่ามีบางสิ่งบางอย่างคอยคุ้มครองเรา ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะมีความเชื่อฝังใจเหมือนเตี่ย ที่เชื่อมาตลอดชีวิตว่า...คนดีผีคุ้มครอง!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด