'ทองอินทร์' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเส้นทางวิญญาณ
ผมเป็นคนบ้านหมี่ จ.ลพบุรีครับ ใครอย่ามาเรียกเราว่า 'ลาวพวน' เชียวนะโกรธจริงๆ ด้วยเอ้า! เพราะผู้ใหญ่เล่ากันสืบมาว่า คนลาวก็เรียกเราว่า 'ไทยพวน' ทั้งๆ ที่พวกพวนน่ะอยู่กันมาก่อนหน้านั้นหลายชั่วอายุคนแล้ว
ชาวพวนอพยพมาอยู่บ้านหมี่ตั้งแต่ปลายกรุงศรี อยุธยา มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานจากการก่อตั้งวัดหินปักใหญ่ในปี 2306 โดยชาวพวนเป็นผู้สร้าง ส่วนวัดวังใต้นั้นชาวไทยเวียงที่อพยพตามหลังมา สร้างไว้ในปี 2307
ต่อมากลายเป็นชุมชนใหญ่เมื่อครั้งปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ในสมัย ร.3 เพราะเข้ามาอยู่ในดินแดนนี้มากมายขึ้น ปกติน่ะพวกพวนมักจะอพยพเข้ามาเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยนะครับ
ละแวกย่านบ้านผมนี่มีแยะเชียว ทั้งบ้านหมี่, ทับคล้อ, ทุ่งโพธิ์, วังหลุม...
ใครว่าจังหวัดมีชื่อมากมาย บ้านหมี่แม้จะเป็นอำเภอก็ตาม ตอนแรกๆ เรียกว่าสนามแจง ต่อมาเปลี่ยนเป็นห้วยแก้ว ล่าสุดคือชื่ออำเภอบ้านหมี่เมื่อปี 2482 มาจนถึงทุกวันนี้
เคยได้ยินมาว่าภาคอีสานกับภาคใต้เขามีประเพณีทำบุญทุกเดือน ภาคกลางหรืออำเภอบ้านหมี่ก็ไม่น้อย หน้าใครนะครับ
เดือนอ้ายบุญข้าวจี่, เดือนยี่บุญข้าวหลาม, เดือนสามกำฟ้า, เดือนห้าบุญสงกรานต์, เดือนหกบุญกลางบ้าน, เดือนแปดบุญเข้าพรรษา, เดือนเก้าบุญห่อข้าวสารทพวน, เดือนสิบเอ็ดตักบาตรเทโว, เดือนสิบสองใส่กระจาดเทศน์มหาชาติ...ทั้งได้บุญ ทั้งสนุกสนานกันเต็มอิ่มเลยเชียว
ชาวพวนนับถือศาสนาพุทธ และนับถือผีปู่ตากับผีบรรพบุรุษ โดยจะแยกหิ้งพระไว้คนละส่วน ในหมู่บ้านก็มีศาลผีปู่ตาทุกแห่ง นิยมสร้างไว้ตามเนินสูง เช่น ตามโคกหรือจอมปลวกใหญ่ๆ สะดุดตา บางแห่งเรียกว่า 'หอบ้านก็มี'
ที่บ้านหินปัก ใกล้ๆ โพนทองบ้านผม เขาจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีกันทุกปี ผมเคยตามพ่อไปเยี่ยมญาติเคยเห็นหมอผีวัยชรา หรือผู้ทำพิธี เรียกว่า 'เจ้าจ้ำ' มานำชาวบ้าน ทำพิธีกรรมต่างๆ
เชื่อว่าถ้า 'เซ่นไหว้ดี-ทำพลีถูกต้อง' ผีปู่ตาจะคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข...การจุดธูปเทียนและเซ่นไหว้ทำให้เด็กๆ อย่างผมขนลุกก็แล้วกันครับ
ไหนจะมีพิธีกรรม 'เลี้ยงผี' อีกล่ะ!
นั่นคือการทำบุญสารทหรือเทศกาลทำบุญสิ้นเดือนสิบ เป็นประเพณีกลางปี...วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น จนได้
เทศกาลของชาวพวนจะตรงกับวันแรม 14 ค่ำเดือน 9 ส่วนสารทลาวถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 แต่สารทไทยช้ากว่าเพื่อน คือวันแรม 15 ค่ำเดือน 10
พวกเราจะไปทำบุญกันที่วัดใกล้บ้าน โดยมีการทำ 'ข้าวสารท' หรือ 'ข้าวพญาสารท' ที่คนไทยเรียก 'ข้าวกระยาสารท' นั่นแหละครับ (กินกับกล้วยไข่ถูกกันที่สุด)
หลังจากถวายภัตตาหารพระสงฆ์ ฟังเทศน์แล้ว พวกเราชาวบ้านไม่ว่าหนุ่มสาวเฒ่าแก่ก็ล้อมวงกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย พูดคุยยั่วเย้ากันอย่างมีความสุข
มาเกิดเรื่องขนหัวลุกก็เมื่อถึงทำพิธีเลี้ยงผีนี่เอง!
นั่นคือ เมื่อคนกินอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงภูตผีปีศาจ รวมทั้งสัมภเวสี ผีเร่ร่อนให้ได้รับส่วนบุญด้วย
พวกเรานิยมทำเป็นประเพณีห่อข้าว อาหารคาวหวาน อีกทั้งหมากพลู บุหรี่ จะขาดก็แต่สุราเท่านั้นแหละ ห่อด้วยใบตองเป็นรูปสี่เหลี่ยม แล้วนำไปวางตรงทางสามแพร่ง เพราะเชื่อกันว่าเป็นทางผีผ่าน...ไม่ว่าจะรู้ทีรอท่าหรือผ่านมาก็จะได้อิ่มท้องเสียที
อ้อ! บางคนเชื่อว่าผีจะมาด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างโบสถ์ เลยเอาห่ออาหารไปวางไว้ที่นั่น
คิดแล้วไม่ว่าไทยหรือพวนก็เชื่อเรื่องทางสามแพร่งตรงกัน คือเชื่อว่าเป็นทำเลอัปมงคล สิ่งชั่วร้ายหรือภูตผีจะมาสิงสู่อยู่กันที่นั่นแหละ ถึงได้หลีกเลี่ยงการปลูกบ้านในทำเลเช่นนั้น ยกเว้นแต่จะจนปัญญาจริงๆ เพราะหาที่ทางไม่ได้แล้ว เช่นในกรุงเทพฯ ปัจจุบันนี้เป็นต้น
ที่เชื่อตรงกันอีกอย่างก็คือ ภูตผีย่อมมีความหิวโหยเหมือนผู้คนทั้งหลาย จึงได้มีการเอาอาหารเซ่นผีตั้งแต่ยังไม่ได้เผา หลังจากนั้นก็ยังทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผี รวมทั้งผีไม่มีญาติอีกด้วย
วันนั้น พวกผู้ใหญ่เขาจัดการแจกข้าวให้ผีแล้วก็พากันกลับ น้องชายผมอายุราว 7-8 ขวบ เดินไปพลางหันไปมองข้างหลังบ่อยๆ จนแม่ถามว่ามองอะไรหรือ? คำตอบเล่นเอาเราหยุกกึกไปตามๆ กัน
'ใครไม่รู้ มาแย่งกันกินข้าวห่อกันใหญ่เลย...'
น้องชายผมไม่ได้พูดเฉยๆ แต่ชี้มือให้ดู ทุกคนหันขวับไปมอง นอกจากเสียงลมพัดคร่ำครวญ เมฆหนาบดบังแสงแดดจนร่มครึ้มแล้ว เราก็ไม่เห็นอะไรเลย...แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่รู้ซีครับ?!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด